เมื่อพูดถึงอาการ "ปวดศีรษะ" (headache) แล้ว คงมีน้อยคนในโลกนี้ที่ไม่เคยมีอาการนี้
เกิดขึ้นกับตนเลยตลอดชั่วชีวิต แต่ที่ก่อปัญหาเห็นจะเป็นอาการชนิดปวดศีรษะเรื้อรัง
อย่างที่สหรัฐอเมริกาเขาประมาณการณ์ไว้ว่า มีชาวอเมริกันประมาณ 40 ล้านคน
ที่มีอาการปวดศีรษะเรื้อรัง โดยส่วนใหญ่ไม่ไปปรึกษาคุณหมอเพราะคิดว่าเป็นปัญหาเล็กน้อย
น่ารำคาญมากกว่า บ้างก็คิดว่าป่วยการจะไปหาหมอ เพราะอากรนี้ไม่มีวิธีรักษาอยู่แล้ว
หรือถ้าหากมีการรักษาจริงตัวยาก็คงก่อให้เกิดอาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ร้ายแรงได้
บางคนไปหาหมอแต่ก็ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ทั้งนี้เพราะหมอเองก็ไม่ค่อยมีความรู้เท่าไรนัก
เกี่ยวกับการวินิจฉัยอาการปวดศีรษะจากสาเหตุต่างๆ ซึ่งรักษาไม่เหมือนกัน
พูดถึงตรงนี้ก็เห็นได้ชัดว่า ในเบื้องต้นจะต้องมีการวินิจฉัยสาเหตุของการปวดศีรษะก่อน
แล้วประเมินดูว่าด้วยอาการปวดศีรษะดังกล่าวก่อให้เกิดความยากลำบากในการดำรงชีวิตอย่างไร
กระทบคุณภาพชีวิตแค่ไหน เพื่อจะได้นำไปปรับกลยุทธิ์การบำบัดรักษาให้ได้ประสิทธิภาพที่สุด
วงการแพทย์แนะนำ ประวัติความเป็นมาของอาการปวดศีรษะมีความสำคัญมาก
เพราะสามารถทำให้คุณหมอบอกชนิดของการปวดศีรษะได้
- ความถี่และระยะเวลาของอาการปวดศีรษะ
บางคนจะมีอาการปวดศีรษะไม่บ่อยนัก และการปวดขึ้นแต่ละครั้งก็เป็นอยู่ไม่นาน
แต่ถ้าหากปวดถี่ขึ้นและแต่ละครั้งยังปวดนานขึ้น อย่างนี้หมอก็ต้องตรวจประเมินใหม่
โดยอาจต้องส่งตรวจพิเศษเช่น ถ่ายภาพระบบไฟฟ้า (MRI)
คนที่ปวดศีรษะตลอดวันอาจเป็นผลจากการรับประทานยาหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป
แต่ถ้าเป็นการปวดศีรษะข้างเดียวเป็นช่วงเวลาสั้น (ราว 35-40 นาที) และมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยเช่น
คัดจมูกข้างเดียว น้ำตาไหลและหงุดหงิดมักจะหมายถึงโรคที่เรียกว่าปวดศีรษะแบบ คลัสเตอร์ (cluster headache)
ซึ่งการรักษาทำได้ทั้งระงับปวดและป้องกันการปวดครั้งต่อไปด้วยยารักษาไมเกรนก็ได้ แต่บ่อยครั้งแล้ว
ต้องให้ยาที่รักษาปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์โดยเฉพาะ เช่น ให้ออกซิเจน, ยาเพรด นิโซน,
ยาลิเธียม เป็นต้น
อาการปวดศีรษะรุนแรงข้างเดียวแค่ช่วงสั้นๆ (5-15 นาที) แต่วันละหลายครั้ง
มักจะเกิดในผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่และมักจะมีอาการคัดจมูกและน้ำตาไหลบ่งชี้
อาการปวดศีรษะที่เรียกว่าภาวะ "พาร็อคซิสมอล เฮมิเครเนียเรื้อรัง"
(chronic paroxysmal hemicrania) ซึ่งเกือบทุกรายจะตอบสนองต่อยาอินโดเมธาซีน (indomethasine)
แต่ถ้าใช้ยาขนานอื่นๆ มักจะไม่ได้ผล
อาการปวดศีรษะอย่างต่อเนื่องและบ่อยๆ โดยไม่ตอบสนองต่อการรักษามักจะเป็นผลจาก
การบริโภคคาเฟอีนมากเกินไป ซึ่งทั้งคนไข้และหมอมักจะไม่ทราบปัญหานี้
โดยคนไข้อาจดื่มกาแฟมากพอควรแล้วไปซื้อยาแก้ปวดหรือยาสำหรับไมเกรนมารับประทาน
โดยยาดังกล่าวมีสารคาเฟอีนอยู่ด้วย ในบางรายเพียงดื่มกาแฟ 2-3 แก้ว หรือเครื่องดื่มน้ำอัดลมกระป๋อง
ที่มีคาเฟอีน 2 กระป๋องและยาเม็ด Exedrin 2 เม็ด ก็มีผลทำให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนในขนาดสูงมากพอ
ที่จะทำให้อาการปวดศีรษะกลับกำเริบขึ้นอีก
- ช่วงเวลาที่มีอาการปวดศีรษะ
คนไข้บางคนที่ตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดศีรษะแล้วหายไปโดยเร็วหลังรับประทานยา
ควรจะตั้งข้อสงสัยว่ามีเนื้องอกในสมองหรือมีพยาธิสภาพ คือโรคอื่นๆ ที่เป็นตัวเป็นตนเกิดขึ้นในสมอง
อาการปวดศีรษะชนิดที่เรียกว่า "เทนชั่น" (tension headache) มักจะเลวลงเมื่อเวลาผ่านไปในแต่ละวัน
แต่บางคนอาจตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดศีรษะแบบนี้ได้ ในขณะที่ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์
มักจะมาเป็นเวลาที่แน่นอน
อาการปวดศีรษะตอนวันหยุดสุดสัปดาห์ อาจเป็นผลมาจากการนอนมากเกินไป
หรืออาการขาดคาเฟอีน (caffeing withdrawal) ในคนที่ปกติดื่มกาแฟมากๆ แล้วอดไประยะหนึ่ง
- ลักษณะและตำแหน่งของอาการปวดศีรษะ
อาการปวดแสบๆ บริเวณท้ายทอยบ่งบอกว่าเป็นความผิดปกติทางประสาทเฉพาะที่ (focal neuropathy)
ส่วนปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์จะมีลักษณะปวดเหมือนมีอะไรแหลมคมมาทิ่มแทง ในขณะที่อาการ
ปวดศีรษะข้างเดียวและเต้นตุบๆ จะเป็นลักษณะของไมเกรนหรือปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์
ก็เป็นข้างเดียวได้
ตำแหน่งของอาการปวดอาจไม่สัมพันธ์กับตำแหน่งของพยาธิสภาพ ยกตัวอย่างเช่น
คนไข้ที่มีเนื้องอกสมองบริเวณท้ายทอยอาจปวดศีรษะบริเวณหน้าผาก ปวดศรีษะเนื่องจากพยาธิสภาพ
บริเวณกระดูกคออาจปวดที่หน้าผากได้เช่นกัน
ไมเกรนมักจะมีสัญญาณนำที่เรียกว่า "ออร่า" (aura) ทั้งทางสายตา เช่น แสงวูบวาบ
หรืออื่นๆ อาการคลื่นไส้ ไวต่อแสงหรือเสียงและการเคลื่อนไหวเป็นสิ่งที่เกิดบ่อย
ในคนกำลังจะเป็นไมเกรน
ความหงุดหงิด, อาการคัดจมูกข้างเคียงและน้ำตาไหลเป็นอาการที่เกิดขึ้นบ่อย
ขณะจะมีอาการปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ ส่วนไมเกรนอาจมีอาการเวียนศีรษะร่วมด้วย
วงการแพทย์พัฒนาและคิดค้นวิธีการประเมินดูว่า ผู้ป่วยไมเกรนแต่ละรายจะมีความรุนแรงของโรค
มากน้อยเพียงใด ใครบ้างที่ต้องให้การรักษาและควรใช้ยาอะไร เช่น ถ้าคะแนนการตรวจไมดัส (MIDAS)
สูงก็หมายความว่า คนไข้น่าจะได้รับยากลุ่ม triptans มากกว่าจะใช้ยาระงับปวดขนานธรรมดา
การทำเช่นนี้จะทำให้ผลการรักษาดีขึ้นเมื่อเทียบกับวิธีค่อยเป็นค่อยไป, ลองผิดลองถูก
เวลาหมอสั่งจ่ายยาครั้งแรก
การตรวจร่างกายทั่วไปเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อตรวจหาภาวะเจ็บป่วยอื่นๆ ในระบบต่างๆ ของร่างกาย
ที่อาจนำไปสู่อาการปวดศีรษะได้ หลังจากคุณหมอซักประวัติแล้วจะมีการตรวจร่างกายทางระบบประสาท
เป็นขั้นตอนสำคัญที่สุด คือ ถ้าเป็นอาการปวดศีรษะชนิดไมเกรน เทนชั่น คลัสเตอร์
แล้วจะตรวจไม่พบความผิดปกติ ยกเว้นบางราย
มีปัจจัยบางอย่างกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะแบบไมเกรนได้ เช่น
- การเปลี่ยนเวลาเข้านอน
- อาหารที่อุดมด้วยสารไทรามีน (tyramine)
- แอลกอฮอล์
- ช็อกโกแลต
- การออกกำลังกายหักโหมเกินไป
- ความเครียดทางอารมณ์ เป็นปัจจัยนำไปสู่อาการปวดศีรษะแบบเทนชั่น
และไมเกรนที่พบบ่อยที่สุด
- สัญญาณกระตุ้นแรงๆ บางอย่างเช่น เสียงดังๆ คลื่นแรงๆ แสงสว่างจ้า
แสงวูบวาบกระตุ้นอาการปวดศีรษะในคนที่ปวดศีรษะง่ายๆ อยู่เป็นทุนเดิม
- แรงดันบรรยากาศที่เปลี่ยนไปเช่น อาการเปลี่ยน, การโดยสารเครื่องบิน
หรือปีนเขานำไปสู่อาการปวดศีรษะได้
หลังจากที่คุณหมอซักประวัติและทำการตรวจร่างกายแล้ว ส่วนใหญ่จะให้การวินิจฉัยเบื้องต้นได้
แต่ถ้าคุณหมอเกิดสงสัยว่าอาจมีโรคหรือความผิดปกติเกิดขึ้นภายในสมองหรือช่องกะโหลกศีรษะแล้ว
คุณหมออาจต้องสั่งการตรวจพิเศษ เช่น การถ่ายภาพสมอง ซึ่งมีอยู่ 2 วิธีคือ
1. ถ่ายภาพคอมพิวเตอร์เอกซเรย์ทางสมอง (CAT scan)
2. ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI scan)
เนื่องจากคนไข้บางคนกลัวเป็นเนื้องอกทางสมองหรือโรคร้ายแรงอื่นๆ จนบ่อยครั้ง
ทำให้อาการปวดศีรษะที่มีอยู่รุนแรงขึ้น ในบางรายการลงทุนถ่ายภาพคอมพิวเตอร์ MRI
จึงอาจจะคุ้มกับเงินที่เสียไป เพราะถ้าได้ผลปกติก็จะทำให้คนไข้สบายใจขึ้นจนบ่อยครั้ง
อาการปวดศีรษะหายไป
อาการปวดศีรษะในผู้สูงอายุที่อยู่ดีๆ เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ในการพิจารณาส่งตรวจคอมพิวเตอร์เอกซเรย์หรือ MRI เพราะบางครั้งผู้สูงอายุได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ
ไม่รุนแรงนัก แต่หลายสัปดาห์หรือหลายเดือนต่อมากลับมีก้อนเลือดคั่งอยู่ในสมอง ที่สำคัญคือ
ร้อยละ 40 ของผู้สูงอายุที่มีก้อนเลือดคั่งในสมองเรื้อรังไม่เคยมีประวัติว่าได้รับบาดเจ็บที่สมอง
อีกประการหนึ่งผู้สูงอายุจะมีมะเร็งและโรคเส้นเลือดในสมองบ่อยกว่าคนหนุ่มสาว
ในคนที่มีประวัติครอบครัวว่าเป็นอัมพาตจากเส้นเลือดในสมองแตกหรือเส้นเลือดโป่งพองในสมอง
ถ้าหากเกิดอาการปวดศีรษะรุนแรงขึ้นมาแล้ว ควรจะได้รับการถ่ายภาพ MRI
การตรวจคลื่นสมอง (EEG หรือ electroencephalography) ปกติจะไม่ต้องตรวจในคน
ที่มีอาการปวดศีรษะทุกรายไป แต่ถ้ามีอาการปวดศีรษะรุนแรงแล้วผลการตรวจคลื่นสมองผิดปกติ
ก็จะมีข้อบ่งชี้ให้ได้รับยาพิเศษชื่อ "divalproex sodium"
การเจาะไขสันหลัง คนที่ปวดศีรษะเรื้อรังแล้วสงสัยว่าอาจเป็นผลจากแรงดัน
ในช่องกะโหลกศีรษะสูงขึ้นเล็กน้อย อาจต้องเจาะไขสันหลังตรวจ เช่นเดียวกับคนที่ปวดศีรษะ
เป็นประจำทุกวันแล้วไม่ตอบสนองต่อการรักษาทุกรูปแบบ บางรายอาจปวดศีรษะ
จากการติดเชื้อในสมองหรือเยื่อหุ้มสมอง เช่น วัณโรค ซิฟิลิส และเชื้อราบางอย่าง
ในรายที่ไม่ได้รับการตรวจเลือดมาหลายเดือนต้องได้รับการเจาะเลือดตรวจ
1. หาความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC)
2. ตรวจสมรรถภาพของต่อมธัยรอยด์ (thyroid function tests)
3. ตรวจสารเคมีอื่นๆ ในเลือด เช่น น้ำตาล การทำงานของไต
การตรวจดังกล่าวอาจช่วยทำให้ทราบว่าเกิดภาวะโลหิตจางหรือมีการติดเชื้อ ไตทำงานบกพร่อง
หรือต่อมธัยรอยด์ผลิตฮอร์โมนไม่เพียงพอ ซึ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะได้
4. การตรวจอัตราเร็วของการตกตะกอนเม็ดเลือด (ESR หรือ erythrocyte sedimentation rate)
ควรทำในคนอายุกว่า 60 ปี ที่เพิ่งเริ่มมีอาการปวดศีรษะคือ ถ้าผล ESR สูงก็เป็นข้อบ่งชี้
ให้หมอต้องตัดเส้นเลือดบริเวณขมับ (temporal artery) มาตรวจเพื่อยืนยันการวินิจฉัยว่า
เป็นโรคเส้นเลือดแดงอักเสบที่เรียกว่า giant cell artertis
5. มีคนไข้โรคไมเกรนกว่าครึ่งหนึ่งซึ่งเจาะเลือดแล้วจะพบว่า ระดับธาตุแมกนีเซียม (magnesium)
ในเลือดต่ำกว่าปกติ
นพ.ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์
|