นพ.ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์
เป้าหมายของการรักษาไมเกรน คือ การระงับอาการที่เกิดจากโรคกำเริบเฉียบพลัน
และป้องกันการเกิดครั้งต่อไปโดยวิธีการต่างๆ
การรักษาแบ่งออกได้เป็นแบบไม่ใช้ยา และแบบใช้ยา
ฟังดูไม่น่าเชื่อว่า มาตรการต่างๆ บางอย่างทำให้อาการปวดศีรษะจากไมเกรนของคนบางคน
หายไปได้ราวกับปลิดทิ้ง เช่น การปรับเปลี่ยนอาหาร อย่างไรก็ตาม ในคนไข้จำนวนมากยังคงมีอาการอยู่
แต่น้อยลงหลังการเปลี่ยนอาหารแล้ว
อาหารที่อาจกระตุ้นอาการมีอาทิเช่น
- โยเกิร์ต
- กล้วย
- ผลไม้แห้ง
- ถั่วต่างๆ
- เนยแข็งที่เก็บไว้นาน
- ผักดอง
- ผงชูรส และน้ำตาลเทียมแอสพาร์เทม
- เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์บางอย่าง เช่น ไวน์แดง และเบียร์
นอกจากอาหารแล้ว มาตรการที่เรียกว่า ไบโอฟีดแบ็ค (biofeedback) การนั่งทำสมาธิ
และเทคนิคการผ่อนคลายต่างๆ รวมทั้งการออกกำลังกายแอโรบิก ล้วนมีประสิทธิภาพในการป้องกัน
การกำเริบของไมเกรนได้ การแทรกแซงทางจิตวิทยาและจิตเวชอาจมีความจำเป็นในบางราย
ในบางประเทศจะมีการจัดตั้งคลินิกพิเศษเพื่อตรวจรักษาคนปวดศีรษะโดยเฉพาะ
เนื่องจากคนปวดศีรษะจำนวนมากเทียวไปเทียวมาหาหมออยู่หลายคน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอาการก็ยังไม่ดีขึ้น
การรักษาจึงยิ่งซับซ้อน หากได้คลินิกที่ให้ความสำคัญให้เวลา ให้ความรู้ความชำนาญในการจัดการกับอาการนี้
ก็จะช่วยลดความวิตกกังวล ความสิ้นเปลือง บ่อยครั้งทีเดียวที่การรักษาอาการปวดศีรษะในแต่ละคน
จะเป็นเรื่องเฉพาะเจาะจง คนหนึ่งก็รักษาอย่างหนึ่งไม่ซ้ำกัน
แมกนีเซียมเป็นธาตุสำคัญของร่างกายและเป็นธาตุที่มีบทบาทในการเกิดโรคไมเกรน
ดังจะเห็นจากหลายงานวิจัยที่พบว่าคนที่เป็นไมเกรนมีระดับธาตุแมกนีเซียมในร่างกายต่ำกว่าปกติ
ครั้นเมื่อลองฉีดแมกนีเซียมซัลเฟต 1 กรัมเข้าเส้นเลือดให้แก่คนไข้ที่เป็นไมเกรนชนิดเฉียบพลัน 40 ราย
ก็พบว่า 21 ราย หายปวดศีรษะโดยส่วนใหญ่ (80%) ของคนที่หายปวดมีระดับแมกนีเซียมในเลือดต่ำ
- ไรโบฟลาวิน (riboflavin) หรือวิตามินบี 12
มีบางงานวิจัยที่บอกว่า วิตามินบี 12 ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะไมเกรนได้แต่เป็นงานวิจัยขนาดเล็ก
ที่ทดลองกับคนไข้ไมเกรนเพียง 55 ราย
มีสมุนไพรบางชนิด เช่น feverfew ที่นำมาทดลองแบบวิทยาศาสตร์แล้วได้ผลในเชิงป้องกันไมเกรน
จึงมีคนสมองใสนำไปผสมกับแมกนีเซียมและไรโบฟลาวินเป็นสูตรผสมใช้รักษาไมเกรน
แบ่งตามวัตถุประสงค์การใช้ออกได้ เป็น 2 แนวคือ
แนวทางที่ 1 ยาที่ระงับหรือบรรเทาอาการปวดศีรษะจากไมเกรนเฉียบพลัน
ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่สุดเพราะคนซึ่งกำลังปวดแทบระเบิดอยู่นั้น สิ่งที่เขาต้องการคือ
ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้อาการปวดศีรษะหายไป
ยาที่เลือกใช้ได้แก่
- แอสไพริน ซึ่งถ้าจะให้ออกฤทธิ์เร็วๆ ต้องใช้แอสไพรินชนิดใส่น้ำแล้วเป็นฟองฟู่
(effervescent tablet) เช่น อัลกาเซลเซอร์
- พาราเซทตามอล หรือ อะเซทตามิโนเฟน
- dextropropoxyphene
- โคเดอีน (codgine)
- เออร์กอท (ergot) เฉยๆ หรือ ergotc ผสมคาเฟอีน แต่ยานี้อาจทำให้คลื่นไส้ได้จึงอาจหลีกเลี่ยง
โดยเปลี่ยนไปใช้ยาแบบเหน็บทวารหนัก ยานี้มีข้อห้ามใช้ในกรณีหญิงตั้งครรภ์
คนที่เป็นโรคเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจหรือแขนขาตีบตัน
- dihydroergotamine (DHE-45) เป็นสารที่มีต้นแบบจากเออร์กอท แต่ใช้ฉีดหรือพ่นจมูก
ในกรณีที่มีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วยจากไมเกรนเองหรือจากยาก็ให้ใช้ยาแก้คลื่นไส้ เช่น
ยากลุ่ม prochlorperazine ได้แก่ compazine หรือ metoclopraminde ยากลุ่ม perphenazine
หรือยากลุ่ม chlorpromazine ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้วิธีฉีดเข้ากล้าม
- ยาแก้ปวด ที่แรงขึ้นหน่อยคือ meperidine ซึ่งมักใช้ในการรักษาแบบฉุกเฉิน
เวลาเกิดไมเกรนรุนแรงเฉียบพลันแต่ไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อ
- ยากลุ่มลดอักเสบ ที่ไม่มีสารสเตียรอยด์ (nonsteroidal anti-inflammatory drugs หรือ NSAID)
นอกจากแอสไพรินแล้ว ยังมียากลุ่มที่เรียกย่อๆ โดยรวมว่ายาเอ็นเสด (NSAID)
ซึ่งใช้แพร่หลายในกรณีโรคข้ออักเสบแต่นำมาบำบัดไมเกรนรุนแรงระดับปานกลาง
ถึงรุนแรงมากได้ เช่น
- 1.ยาแนปโปรเซน โซเดียม (naproxen sodium)
- 2.แอสไพรินชนิดรับประทานขนาดเม็ดละ 500 มิลลิกรัม หรือชนิดฉีดเข้าเส้น
ยาแก้ปวดเหล่านี้ควรรับประทานหรือฉีดทันทีที่มีอาการเตือน (aura) หรือทันทีที่เริ่มปวดศีรษะ
จึงจะทำให้ได้ผลดี
ยาใหม่ๆ สำหรับไมเกรน
จากการที่นักวิจัยทำการศึกษาไมเกรนมาอย่างต่อเนื่องทำให้ทราบว่าขณะเกิดอาการเฉียบพลันขึ้น
นั้นมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีชนิดในสมองโดยเฉพาะจุดซึ่งเรียกว่า 5HT1B/1D serotonin receptor
ดังนั้นถ้าใช้ยาที่ไปเกาะกับจุดนี้แล้วอาการปวดจะหายไปหรือบรรเทาลง ยานี้คือ
1. sumatriptan (imitrex) ซึ่งมีทั้งแบบฉีด แบบรับประทานและแบบพ่นจมูก แบบฉีดก็สะดวก
คนไข้ฉีดให้ตัวเองได้
ยานี้ห้ามใช้ในคนที่มีความดันโลหิตสูงแล้วควบคุมไม่ได้ โรคหัวใจขาดเลือด
และไมเกรนชนิดมีโรคแทรกต่อระบบประสาท
2. zolmitriptan (zomig) และ rizatriptan (maxalt) ซึ่งเป็นยากลุ่ม triptan รุ่นใหม่ออกฤทธิ์เร็วกว่า sumatriptan
แนวทางที่ 2 ยาป้องกันการกำเริบของไมเกรน
สำหรับคนที่มีอาการไมเกรนกำเริบเดือนละ 2 ครั้งขึ้นไปหรือไม่บ่อยเท่านั้นแต่ว่าทุกครั้งที่กำเริบ
จะมีอาการรุนแรงและกินเวลานานจนมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันมาก ยาที่ใช้ป้องกันมีอาทิเช่น
- ยาปิดกั้นเบต้า เช่น propanolol, timolol ขนาด 40-240 มก./วัน
- ยาปิดกั้นช่องแคลเซียม
- ยาเอ็นเสด
- ยากล่อมประสาทกลุ่ม tricyclig antidepressants (TCA)
- monoamine oxidase inhibitors (MAOIS)
- ยากลุ่มเออร์กอท
- alpha agonist
- antiserotonin agents (SSRI) เช่น fluoxetine (prozac), sertraline (zoloft), paroxetine (paxil)
- divalproex sodium (depakote)
ที่ไม่อธิบายยากลุ่มต่างๆ โดยละเอียดเพราะจะเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับท่านผู้อ่าน
จึงขอให้เป็นหน้าที่ของหมอในการพิจารณาเลือกใช้
หลักการเลือกใช้ยา
ในกรณีของไมเกรนที่มีอาการปวดศีรษะขนาดเบาจนถึงขนาดปานกลางนั้น ยาแก้ปวดขนานธรรมดา
หรือยากลุ่มเอ็นเสดก็เพียงพอแล้ว ส่วนกรณีอาการที่รุนแรงกว่านี้จึงจะพิจารณาใช้ยากลุ่ม triptan หรือเออร์กอท
เมื่อวงการแพทย์เรียนรู้กลไกการเกิดโรคดีกว่านี้ก็จะมีการวิจัยหายาใหม่ๆ ที่ได้ผลดียิ่งขึ้น
|