มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



ไมเกรน คือ อาการปวดศีรษะ

กองบรรณาธิการ


มนุษย์มีอาการปวดศีรษะมาตั้งแต่สมัยโบราณ ดังปรากฏในคัมภีร์ไบเบิลตลอดจน สรรพหนังสือของชนชาติกรีก, โรมันและอาหรับ คำสอนของกาเล็น (Galen) ปรากฏเด่นทางการแพทย์ เป็นเวลากว่า 1420 ปีแล้วในขณะที่วิลลิส (Willis) ยังชำและสมองมนุษย์เมื่อร้อยปีก่อนหน้านี้ และสามารถอธิบายภาวะปวดศีรษะจากไมเกรน 00oดจนอาการที่เกี่ยวข้องได้อย่างชาญฉลาด

อย่างไรก็ตาม การทดลองเพื่อศึกษาสรีรวิทยาและโรคที่เกิดกับมนุษย์เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 100 ปีก่อนหน้านี้เอง โดยการนำของ คลอด์ เบอร์นาร์ด (Claudg Bernard)

ส่วนมาร์ชา วิลคินสัน (Marcia Wilkinson) เป็นผู้อำนวยการคลินิกแห่งแรกของโลกที่นำผู้ป่วยมาศึกษา และบำบัดขณะเกิดอาการกำเริบของไมเกรนเมื่อปี ค.ศ.1972

เกาเวอร์ (Gower) เสนอทฤษฎีอธิบายการเกิดไมเกรน เป็นทฤษฎีหลัก 2 ประการคือ ทฤษฎีของหลอดเลือด (vascular) และทางระบบประสาท (neurological) เมื่อปี ค.ศ.1883 และยังคงเป็นประเด็นโต้แย้งมาจนทุกวันนี้ว่าเกิดจากอะไรกันแน่ ทุกวันนี้วงการแพทย์จึงยังยอมรับไปก่อนว่า แม้การรักษาจะได้ผลดีมากแต่ทำไมการรักษาที่อาศัยประสบการณ์จากการสังเกตมากกว่าอาศัยหลักทฤษฎี หรือหลักวิทยาศาสตร์

เป็นไปได้ว่า โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หายได้ โดยร่างกายจัดการซ่อมแซมเอง แต่การใช้ยาก็ช่วยบรรเทา อาการระหว่างที่รอให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง เช่น ยาแก้ปวดช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ กระดูก และศีรษะทำให้ลดอาการแข็งเกร็งจนสามารถเคลื่อนไหวได้ ระหว่างที่ไมเกรนกำเริบขึ้นนั้น ยาแก้ปวดจะเอื้ออำนวยให้คนไข้นอนหลับได้ ยาต้านอาการอาเจียนช่วยให้รับประทานอาหารได้ ยาป้องกันการกำเริบของไมเกรนช่วยลดปฏิกิริยาตอบสนองทางหลอดเลือดและ ช่วยกล่อมการทำงานมากเกินไปของสมอง

ดังนั้นทั้งคนไข้ หมอและบริษัทยาต่างๆ จึงมีบทบาทในการร่วมมือกันควบคุมไมเกรน และอาการปวดศีรษะจากสาเหตุอื่นๆ

คงมีน้อยคนที่จะกล้าพูดว่า "ฉันไม่เคยปวดศีรษะเลย" คงจะพบได้จากการศึกษาเชิงระบาดวิทยา ขนาดใหญ่งานหนึ่งซึ่งพบว่ามีเพียง 4% ของประชากรที่ไม่เคยปวดศีรษะชนิดรุนแรง

อาการปวดศีรษะเพียงอย่างเดียวมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในแง่ค่าใช้จ่ายเพื่อการรักษา ตลอดจนวันเวลาที่เสียไปจากการเรียนหนังสือหรือการทำงาน ซึ่งการสำรวจระดับชาติของสหรัฐอเมริกาพบว่า มีประชาชน 4 ใน 100 คนที่เป็นไมเกรน ส่วนในชาวเยอรมัน 5,000 คนที่เขาสำรวจดูก็แจ้งว่า เคยปวดศีรษะ 71% ในจำนวนนี้ 27.5% เป็นไมเกรน 38.3% เป็นอาการปวดศีรษะแบบเทนชั่น ความชุกของอาการปวดศีรษะอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่ละกลุ่มประชากร แต่ท่านผู้อ่านก็คงจะเข้าใจได้ว่าอาการปวดศีรษะก่อให้เกิดผลกระทบต่อตัวเองและครอบครัวอย่างไร

ถ้าจะจำแนกประเภทของอาการปวดศีรษะที่ไปหาหมอทั่วไปแล้วอาจจะแบ่งได้ดังนี้
1. การปวดศีรษะแบบเทนชั่น (tension headache) 90%
2. ปวดศีรษะจากภาวะเส้นเลือด เช่น ไมเกรนหรือคัสเตอร์ 8%
3. ปวดศีรษะแบบแทรกชั่นและการอักเสบ (traction และ inflammatory headache) 2%
แต่ถ้าเป็นคลินิกเฉพาะโรคที่ดูแลเรื่องปวดศีรษะแล้วจะได้สถิติต่างไปคือ
1. เป็นการปวดศีรษะจากภาวะเส้นเลือด 35%
2. ไมเกรนเกิดร่วมกับเทนชั่น 60%
3. เทนชั่น 1%
4. แทรกชั่นและการอักเสบ 4%
วิธีการบำบัดอาการปวดศีรษะอาจแบ่งออกได้เป็นกลุ่มการรักษาตามวัตถุประสงค์คือ
1. มาตรการทั่วไป เช่น อาหาร ภาวะอันตราย ไบโอฟีดแบ็ค กลุยุทธ์การอยู่ร่วมกับอาการ มาตรการแทรกแซงจากจิตวิทยาหรือจิตเวช
2. มาตรการหยุดอาการปวดคือ ต้องเริ่มให้ยาโดยเร็วทันที ที่ปรากฏอาการนำก่อนไมเกรนมาจริง
3. มาตรการบรรเทาปวด
4. มาตรการป้องกันอาการปวด
ไมเกรน เป็นภาวะที่ก่ออาการปวดศีรษะเป็นพักๆ โดยอาจปวดศีรษะข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้ ลักษณะปวดจะเต้นตุ๊บๆ รุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก การออกกำลังจะทำให้อาการกำเริบขึ้น

อาการที่เกิดร่วมมีอาทิเช่น คลื่นไส้อาเจียน กลัวแสงหรือกลัวเสียง แบ่งออกเป็น
1. ไมเกรนชนิดมีสัญญาณนำ (without aura หรือเดิมเรียก classic migraine) เช่น เห็นแสงวูบวาบหรืออาการทางระบบประสาทอื่นๆ
2. ไมเกรนชนิดไม่มีสัญญาณนำ (with aura หรือเดิมเรียก common migraine)
กลไกการเกิดไมเกรนยังไม่ทราบแน่ชัดแต่ที่แน่ๆ คือเกี่ยวกับความผิดปกติทางสรีรวิทยาของสมอง

(update 7 ธันวาคม 2000)


[ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอปีที่ 24 ฉบับที่ 10 ตุลาคม 2543]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600