กองบรรณาธิการ
มนุษย์มีอาการปวดศีรษะมาตั้งแต่สมัยโบราณ ดังปรากฏในคัมภีร์ไบเบิลตลอดจน
สรรพหนังสือของชนชาติกรีก, โรมันและอาหรับ คำสอนของกาเล็น (Galen) ปรากฏเด่นทางการแพทย์
เป็นเวลากว่า 1420 ปีแล้วในขณะที่วิลลิส (Willis) ยังชำและสมองมนุษย์เมื่อร้อยปีก่อนหน้านี้
และสามารถอธิบายภาวะปวดศีรษะจากไมเกรน 00oดจนอาการที่เกี่ยวข้องได้อย่างชาญฉลาด
อย่างไรก็ตาม การทดลองเพื่อศึกษาสรีรวิทยาและโรคที่เกิดกับมนุษย์เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 100 ปีก่อนหน้านี้เอง
โดยการนำของ คลอด์ เบอร์นาร์ด (Claudg Bernard)
ส่วนมาร์ชา วิลคินสัน (Marcia Wilkinson) เป็นผู้อำนวยการคลินิกแห่งแรกของโลกที่นำผู้ป่วยมาศึกษา
และบำบัดขณะเกิดอาการกำเริบของไมเกรนเมื่อปี ค.ศ.1972
เกาเวอร์ (Gower) เสนอทฤษฎีอธิบายการเกิดไมเกรน เป็นทฤษฎีหลัก 2 ประการคือ
ทฤษฎีของหลอดเลือด (vascular) และทางระบบประสาท (neurological) เมื่อปี ค.ศ.1883
และยังคงเป็นประเด็นโต้แย้งมาจนทุกวันนี้ว่าเกิดจากอะไรกันแน่ ทุกวันนี้วงการแพทย์จึงยังยอมรับไปก่อนว่า
แม้การรักษาจะได้ผลดีมากแต่ทำไมการรักษาที่อาศัยประสบการณ์จากการสังเกตมากกว่าอาศัยหลักทฤษฎี
หรือหลักวิทยาศาสตร์
เป็นไปได้ว่า โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หายได้ โดยร่างกายจัดการซ่อมแซมเอง แต่การใช้ยาก็ช่วยบรรเทา
อาการระหว่างที่รอให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง เช่น ยาแก้ปวดช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ กระดูก
และศีรษะทำให้ลดอาการแข็งเกร็งจนสามารถเคลื่อนไหวได้ ระหว่างที่ไมเกรนกำเริบขึ้นนั้น
ยาแก้ปวดจะเอื้ออำนวยให้คนไข้นอนหลับได้ ยาต้านอาการอาเจียนช่วยให้รับประทานอาหารได้
ยาป้องกันการกำเริบของไมเกรนช่วยลดปฏิกิริยาตอบสนองทางหลอดเลือดและ
ช่วยกล่อมการทำงานมากเกินไปของสมอง
ดังนั้นทั้งคนไข้ หมอและบริษัทยาต่างๆ จึงมีบทบาทในการร่วมมือกันควบคุมไมเกรน
และอาการปวดศีรษะจากสาเหตุอื่นๆ
คงมีน้อยคนที่จะกล้าพูดว่า "ฉันไม่เคยปวดศีรษะเลย" คงจะพบได้จากการศึกษาเชิงระบาดวิทยา
ขนาดใหญ่งานหนึ่งซึ่งพบว่ามีเพียง 4% ของประชากรที่ไม่เคยปวดศีรษะชนิดรุนแรง
อาการปวดศีรษะเพียงอย่างเดียวมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในแง่ค่าใช้จ่ายเพื่อการรักษา
ตลอดจนวันเวลาที่เสียไปจากการเรียนหนังสือหรือการทำงาน ซึ่งการสำรวจระดับชาติของสหรัฐอเมริกาพบว่า
มีประชาชน 4 ใน 100 คนที่เป็นไมเกรน ส่วนในชาวเยอรมัน 5,000 คนที่เขาสำรวจดูก็แจ้งว่า
เคยปวดศีรษะ 71% ในจำนวนนี้ 27.5% เป็นไมเกรน 38.3% เป็นอาการปวดศีรษะแบบเทนชั่น
ความชุกของอาการปวดศีรษะอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่ละกลุ่มประชากร
แต่ท่านผู้อ่านก็คงจะเข้าใจได้ว่าอาการปวดศีรษะก่อให้เกิดผลกระทบต่อตัวเองและครอบครัวอย่างไร
ถ้าจะจำแนกประเภทของอาการปวดศีรษะที่ไปหาหมอทั่วไปแล้วอาจจะแบ่งได้ดังนี้
1. การปวดศีรษะแบบเทนชั่น (tension headache) 90%
2. ปวดศีรษะจากภาวะเส้นเลือด เช่น ไมเกรนหรือคัสเตอร์ 8%
3. ปวดศีรษะแบบแทรกชั่นและการอักเสบ (traction และ inflammatory headache) 2%
แต่ถ้าเป็นคลินิกเฉพาะโรคที่ดูแลเรื่องปวดศีรษะแล้วจะได้สถิติต่างไปคือ
1. เป็นการปวดศีรษะจากภาวะเส้นเลือด 35%
2. ไมเกรนเกิดร่วมกับเทนชั่น 60%
3. เทนชั่น 1%
4. แทรกชั่นและการอักเสบ 4%
วิธีการบำบัดอาการปวดศีรษะอาจแบ่งออกได้เป็นกลุ่มการรักษาตามวัตถุประสงค์คือ
1. มาตรการทั่วไป เช่น อาหาร ภาวะอันตราย ไบโอฟีดแบ็ค กลุยุทธ์การอยู่ร่วมกับอาการ
มาตรการแทรกแซงจากจิตวิทยาหรือจิตเวช
2. มาตรการหยุดอาการปวดคือ ต้องเริ่มให้ยาโดยเร็วทันที
ที่ปรากฏอาการนำก่อนไมเกรนมาจริง
3. มาตรการบรรเทาปวด
4. มาตรการป้องกันอาการปวด
ไมเกรน เป็นภาวะที่ก่ออาการปวดศีรษะเป็นพักๆ โดยอาจปวดศีรษะข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้
ลักษณะปวดจะเต้นตุ๊บๆ รุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก การออกกำลังจะทำให้อาการกำเริบขึ้น
อาการที่เกิดร่วมมีอาทิเช่น คลื่นไส้อาเจียน กลัวแสงหรือกลัวเสียง แบ่งออกเป็น
1. ไมเกรนชนิดมีสัญญาณนำ (without aura หรือเดิมเรียก classic migraine) เช่น
เห็นแสงวูบวาบหรืออาการทางระบบประสาทอื่นๆ
2. ไมเกรนชนิดไม่มีสัญญาณนำ (with aura หรือเดิมเรียก common migraine)
กลไกการเกิดไมเกรนยังไม่ทราบแน่ชัดแต่ที่แน่ๆ คือเกี่ยวกับความผิดปกติทางสรีรวิทยาของสมอง
|