ขณะที่เด็กหญิงฝ้ายวัยหนึ่งขวบครึ่งกำลังง่วนอยู่กับกองของเล่น เด็กชายฝุ่นอายุหนึ่งขวบ
ได้คลานเข้ามาเพื่อจะหยิบของเล่น เด็กหญิงฝ่ายได้ใช้มือตีและผลักศีรษะของเด็กชายฝุ่นอย่างแรง
อีกทั้งส่งเสียงร้องขู่ไม่ให้มาแย่งของเล่น
ในขณะที่เด็กหญิงแดงโยนลูกบอลเล่นอยู่ริมชายหาด เด็กชายดำวัยสามขวบ
วิ่งมาแย่งบอลจากมือของแดงมาโยนเล่นบ้าง โดยไม่ได้ตั้งใจจะรังแกแดง
เพียงแต่ต้องการที่จะเล่นลูกบอลสีสวยบ้างเท่านั้น
วันหนึ่ง เด็กชายไก่ อายุ 5 ขวบ กลับจากโรงเรียนอนุบาลด้วย ขอบตาที่เขียวช้ำ
คุณพ่อสอบถามได้ความว่า เกิดจากการเล่นต่อสูปะทะหมัดกับเพื่อนเหมือนในภาพยนต์จีนที่ได้ดู
เมื่อต่างฝ่ายต่างเจ็บก็เกิดความโกรธขึ้นมา จึงต่อสู้กันจริงๆ ตนเองเลยโดนไปหนึ่งหมัดเต็มๆ ที่เบ้าตา
เหตุการณ์ในลักษณะใกล้เคียงกับตัวอย่างข้างต้นนี้ เคยเกิดขึ้นกับลูกหลานของคุณหรือไม่ ?
ผมคิดว่าคงไม่มีใครตอบว่าไม่เคยเกิดขึ้น เพราะเป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติของเด็กในวัยทารก
และวัยเด็กเล็ก พฤติกรรมก้าวร้าว (Aggressive Behavior) ซึ่งเป็นขั้นสำคัญของพัฒนาการทางสังคมของเด็ก
พฤติกรรมก้าวร้าวในเด็กจะมีอยู่ทั่วๆ ไป โดยเด็กในวัยทารกยังไม่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวออกมาให้เห็นเด่นนัก
แต่จะมีอาการของการเห็นผู้อื่นเป็นศัตรู เช่น อาจใช้การตี หรือการแสดงความเป็นเจ้าของ
ดังในตัวอย่างของเด็กหญิงฝ้ายที่เมื่อถึงวัยสองขวบครึ่งถึงสามขวบจะหวงของเล่นเช่นเดียวกับดำ
เด็กจะเริ่มใช้ความก้าวร้าวเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ และเมื่อโตขึ้นมาอีกหน่อย
ก็จะแสดงความก้าวร้าวกับคนที่เด็กเห็นว่าเป็นศัตรู มีการลงไม้ลงมือ เช่น เตะ ต่อย กัด ทุบตี
ขว้างปาข้าวของ เป็นต้น เช่นในรายของเด็กชายไก่
โดยธรรมชาติ ความก้าวร้าวในเด็กจะลดลงเมื่อเขาเริ่มรู้ภาษามากขึ้น โดยปกติเด็กที่มีอายุ 6-7 ปีขึ้นไป
จะมีความก้าวร้าวน้อยลง เด็กจะเริ่มเข้าใจว่าเหตุใดคนอื่นจึงกระทำเช่นนั้น เริ่มลดการเอาตนเอง
เป็นศูนย์กลางลง สำนึกใสความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมีเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เด็กทุกคน
จะเรียนรู้ที่จะควบคุมความก้าวร้าว ในเด็กบางคนความก้าวร้าวได้เพิ่มความรุนแรงขึ้น
อันเนื่องมาจากได้รับแรงกระตุ้นจากสภาพแวดล้อมรอบข้าง
ในประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เราได้ยินข่าวที่มีเยาวชนที่อายุน้อยกว่า 20 ปี
ใช้ความรุนแรงในการทำร้ายและฆ่าผู้อื่นมากกว่าสิบราย และเมื่อต้นปี 2543 เราคงได้ยินข่าว
ที่เด็กอายุเพียง 6
ขวบในประเทศสหรัฐอเมริกาใช้ปืนยิงเพื่อนนักเรียนเสียชีวิตความก้าวร้าวและการใช้ความรุนแรงในเด็ก
เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
จากการศึกษาของวารสารด้านเภสัชศาสตร์ ประเทศอังกฤษพบว่า นักเรียนชายร้อยละ 34.1
และนักเรียนหญิงร้อยละ 8.6 จากจำนวนเด็กนักเรียนทั้งสิ้น 3,121 คน อายุระหว่าง 11-16 ปี
ในโรงเรียน 20 แห่ง ในสก็อตแลนด์ได้พกพาอาวุธต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปืน มีด มีดโกน ไม้เบสบอลและค้อน
ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยมากในอดีต
สภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กตั้งแต่วัยเล็กจนโตนั้น มีสิ่งที่พร้อมจะกระตุ้นความก้าวร้าว
ในตัวเด็กให้ทวีขึ้น จนกลายเป็นความรุนแรงที่ส่งผลเสียร้ายแรงได้ ในเวลานี้เด็กรุ่นใหม่ในสังคมทั่วโลก
กำลังต้องการความช่วยเหลือจากพ่อแม่ในการหยุดยั้งความก้าวร้าวรุนแรที่จะก่อร่างขึ้นในตัวพวกเขา
และไม่ยกเว้นแม้แต่เด็กไทย
ลูกหลายของพวกท่านด้วย
แรงกระตุ้นให้เกิดความก้าวร้าวในเด็ก
แรงกระตุ้นให้เด็กมีความก้าวร้าวมากยิ่งขึ้นนั้น มักจะเกิดจากประสบการณ์ที่เด็กได้รับ
ตั้งแต่ในช่วงวัยเด็กระยะต้น แรงกระตุ้นเหล่านี้พ่อแม่มีส่วนสำคัญที่สนับสนุนให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าว
อันได้แก่
- พ่อแม่
แบบอย่างความก้าวร้าว
ลักษณะนิสัยของพ่อและแม่จะเป็นแบบอย่างสำคัญให้ลูกโดยเฉพาะลูกที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของชีวิต
ดังนั้นหากพ่อหรือแม่มีพฤติกรรมก้าวร้าว ย่อมกระตุ้นพฤติกรรมก้าวร้าวให้กับลูกด้วย อาจกล่าวได้ว่า
ถ้าพ่อเป็นนักเลง ลูกย่อมแสดงอาการเป็นนักเลงด้วย ถ้าพ่อแม่ทะเลาะกันอยู่เสมอ ขว้างปาข้าวของใส่กัน
หรือมีพฤติกรรมต่อต้านสังคม เช่นไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง ใช้กำลังเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนพอใจ ฯลฯ
ลูกก็มีแนวโน้มที่จะประพฤติเช่นนั้นด้วย
สิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่าก็คือ หากลูกเห็นแบบอย่างความก้าวร้าวในขณะที่จิตสำนึกผิดชอบชั่วดี
ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ แนวโน้มนอกจากเด็กจะมีความก้าวร้าวแล้ว โอกาสที่เขาจะกระทำสิ่งต่างๆ
อย่างขาดความยับยั้งชั่งใจในความผิดชอบชั่วดีก็เป็นไปได้สูง แม้ว่าพ่อแม่บางรายจะพยายามกระตุ้น
ให้เด็กมีพฤติกรรมที่ถูกต้อง แต่ถ้าลักษณะนิสัยของพ่อแม่ไม่สอดคล้อง คำสอนเหล่านั้นย่อมล้มเหลว
ไม่สามารถมีอิทธิพลต่อชีวิตของลูกได้
- พ่อแม่
ไม่ได้ดูแลลูกอย่างใกล้ชิด
พ่อแม่ที่ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในการดำเนินชีวิตของลูกในชีวิตประจำวันอย่างใกล้ชิด พ่อแม่อาจยุ่งมาก
หรือไม่ตระหนักที่จะใส่ใจลูกในเรื่องที่อาจนำลูกไปสู่ความก้าวร้าวที่รุนแรงขึ้น เช่น
ไม่สนใจว่าลูกทำการบ้านได้หรือไม่ ไม่สนใจการเลือกรับสื่อที่เหมาะสมให้แก่ลูก
ปล่อยให้ลูกเลือกดูรายการโทรทัศน์ได้ตามใจ เลือกเกมคอมพิวเตอร์หรือของเล่นตามเพื่อน
โดยไม่ใส่ใจว่าสิ่งเหล่านั้นจะส่งผลให้เด็กก้าวร้าวมากขึ้นหรือไม่ ทั้งที่ในปัจจุบันมีสื่อจำนวนมาก
ที่พร้อมจะสร้างความก้าวร้าวและความรุนแรงให้เด็ก อาทิ
- สื่อโทรทัศน์ แม้ว่าเด็กๆ จะไม่เคยเห็นแบบอย่างความรุนแรงในชีวิตจริง แต่เด็กๆ ก็มีสิทธิที่จะได
้รับผลกระทบความรุนแรงจากสื่อโทรทัศน์ โทรทัศน์ส่งเสริมความก้าวร้าวให้กับเด็กสองทาง คือ
การเลียนแบบอย่างความก้าวร้าวจากตัวเอกของเรื่อง และการซึมซับค่านิยมอันนำไปสู่การยอมรับ
ความก้าวร้าวในที่สุด งานวิจัยในประเทศสหรัฐนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 เป็นต้นมา ชี้ให้เห็นว่าเด็กๆ
ที่ดูรายการโทรทัศน์จะมีพฤติกรรมก้าวร้าวเพิ่มขึ้น เพราะเขาเห็นภาพเช่นนั้นนับเป็นร้อยๆ พันๆ
ครั้งจากโทรทัศน์ นอกจากนี้เด็กเหล่านี้จะสามารถทำผิดกฎหมายต่างๆ ได้ง่ายขึ้นและเกิดความรู้สึก
อยากทำร้ายคนโดยไม่รู้ว่าตนเองกระทำผิด
- ของเล่น ของเล่นที่ผลิตเป็นอาวุธมีอยู่อย่างมากมาย เด็กที่เล่นของเล่นเหล่านี้ก็จะเลียนแบบการรบ
จากหนังที่เขาดู มีตัวพระเอก ผู้ร้าย มีการต่อสู้ แกล้งชนะแกล้งแพ้ โดยที่เมื่อเป็นของเล่น
จึงไม่ต้องรู้สึกถึงความผิดชอบชั่วดีเมื่อกระทำไป ส่งผลให้เด็กเคยชินกับความรุนแรง
- เกมคอมพิวเตอร์ เกมในปัจจุบันเป็นเครื่องกระตุ้นพฤติกรรมก้าวร้าวแก่เด็กอย่างมาก
เนื่องจากเกมส่วนใหญ่เป็นเกมรบฆ่าศัตรู การเอาชนะด้วยกำลัง อาวุธ โดยที่ผู้เล่นไม่ต้องสนใจว่า
คนตายจะรู้สึกอย่างไร และการฆ่าเป็นชัยชนะที่นำความภาคภูมิใจมากให้ เด็กๆ จะได้รับแต่ความสะใจ
เด็กจะสะสมความรู้สึกของการเอาชนะด้วยความรุนแรง แสดงความก้าวร้าวกับผู้อื่นที่ขัดใจตน
โดยไม่ได้เรียนรู้วิธีใช้เหตุผลหรือตระหนักในสำนึกแห่งความถูกต้อง
- เพื่อน นอกจากนี้เด็กที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่จากบ้าน เช่น พ่อแม่ไม่ดูแลเรื่องการบ้าน
การอ่านหนังสือ ส่งผลให้เด็กมีผลการเรียนอ่อนและกลายเป็นเด็กที่ไม่ได้รับการยอมรับ
จากเพื่อนร่วมชั้น ส่งผลให้เด็กเกิดปมด้อยในจิตใจ จึงพยายามหาทางออก
โดยการจับกลุ่มเพื่อนที่มีปัญหาเช่นเดียวกัน ซึ่งจะยิ่งเป็นการกระตุ้นพฤติกรรม
ต่อต้านสังคมของเด็กให้มากยิ่งขึ้น
- พ่อแม่
แบบอย่างความก้าวร้าว
มีพ่อแม่สามประเภทที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกมีพฤติกรรมก้าวร้าวจากความคิดที่ไม่ถูกต้อง
ในเรื่องการลงโทษลูก
ประเภทแรก ปล่อยละเลยต่อความก้าวร้าวของลูก
เช่น ไม่ว่ากล่าวเมื่อลูกรังแกผู้อื่น พูดจาหยาบคาย ทุบตีหรือขว้างปาข้าวของ
เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ เป็นต้น พ่อแม่ก็ไม่ได้ห้ามปรามหรือเรียกมาตักเตือน
อบรมสั่งสอนอย่างจริงจัง แต่กลับเห็นเป็นเรื่องไร้สาระไม่จำเป็นต้องใส่ใจ
การเพิกเฉยต่อพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็ก ทำให้เด็กคิดว่าเป็นอนุญาตให้แสดงพฤติกรรม
เช่นนั้นได้ ทำให้ลูกคิดว่าสิ่งที่เขากำลังทำเป็นสิ่งที่ไม่ผิด ส่งผลให้เด็กเรียนรู้ที่จะทำเช่นนั้น
ประเภทที่สอง มองลูกในแง่ลบ
พ่อแม่บางรายมักไม่ค่อยมองในส่วนดีของลูก แต่มักชอบจับผิด
เมื่อลูกแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ลูกจึงมักจะได้รับแต่คำตำหนิติเตียน
สายตาที่จ้องจับผิด การดุด่าว่ากล่าวอย่างเกรี้ยวกราด หรือการโบยตีมากกว่าที่จะได้รับคำชมเชย
ยิ่งเด็กมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวมักจะได้รับการลงโทษที่รุนแรง
การกระทำเหล่านี้ของพ่อแม่เป็นเหมือนแรงเสริมที่ทำให้เด็กมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวมากยิ่งขึ้น
แทนที่จะทำให้เด็กสุภาพ ว่านอนสอนง่าย เพราะเด็กจะมีความรู้สึกในแง่ลบกับพ่อแม่
และความก้าวร้าวจะรุนแรงขึ้นกว่าการที่พ่อแม่ไม่สนใจ
ประการที่สาม ขาดความชัดเจนในการลงโทษ
วิธีการลงโทษที่ไม่ถูกต้องเท่ากับเป็นการเสริมแรงความก้าวร้าวในตัวเด็กให้แข็งกร้าวยิ่งขึ้น
เช่น การลงโทษลูกโดยไม่มีหลักการ "ผิด/ถูก" "ทำได้/ทำไม่ได้" อย่างชัดเจน การลงโทษไม่มีความสม่ำเสมอ
ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของพ่อแม่ อารมณ์ดีก็ปล่อยไป อารมณ์ไม่ดีก็ลงโทษ การลงโทษด้วยอารมณ์โกรธ
หรือเมื่อลงโทษแล้วไม่มีการเรียกลูกมาคุยเพื่ออธิบายเหตุผล
การลงโทษลูกในลักษณะนี้ นอกจากเด็กจะไม่สัมผัสความรักที่พ่อแม่มีให้เขาแล้ว
เด็กจะเกิดความรู้สึกหงุดหงิด เกิดความอับอาย ไม่เข้าใจเหตุผล รู้สึกเหมือนถูกดูถูก สบประมาท
ขณะเดียวกันก็จะเกิดความรู้สึกกลัว ซึ่งเด็กที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จะมีแนวโน้มของการเป็นเด็ก
ที่มีความก้าวร้าวมากกว่าเด็กที่ได้รับการปฏิบัติด้วยความรักความเข้าใจ
ลดแรงกระตุ้นความก้าวร้าว : ขัดเกลาพฤติกรรมตั้งแต่เล็ก
พฤติกรรมก้าวร้าวในเด็กจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถในการขัดเกลาพฤติกรรมของเด็ก
พ่อแม่หรือผู้ใกล้ชิดเด็กจะสามารถลดความก้าวร้าวของเด็กได้โดยปฏิบัติ "ตรงข้าม" กับสาเหตุที่กระตุ้น
พฤติกรรมก้าวร้าวดังได้กล่าวข้างต้น อาทิ
- การเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูก
พ่อแม่จะต้องมีพฤติกรรมตรงข้ามกับความก้าวร้าว เพื่อให้ลูกได้เห็นแบบอย่าง
ดังนั้นหากพ่อแม่ยังมีพฤติกรรมบางอย่างที่สะท้อนความก้าวร้าว คงต้องเสียสละที่จะเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมของตนเองเพื่อลูก โดยเริ่มจากการเห็นคุณค่าของความสุภาพอ่อนน้อม
การเคารพกฎระเบียบ
การถ้อยทีถ้อยอาศัย การใช้เหตุผลมากกว่าการใช้กำลัง การอดทนในการรับฟังและกัน
การเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่นก่อน เป็นต้น พฤติกรรมที่ตรงกันข้ามกับความก้าวร้าวเหล่านี้
จะช่วยให้ลูกเติบโตมาพร้อมกับแบบอย่างที่ดีซึ่งเขาจะเลียนแบบได้ง่าย
- ไม่ปล่อยปละละเลยการรับสื่อ การเล่นของเล่น การคบเพื่อน
ควรแนะนำรายการโทรทัศน์ที่ส่งเสริมให้เด็กมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากกว่า
รายการที่ส่งเสริมความก้าวร้าว และควรจำกัดเวลาในการดูของเล่นและเกมต่างๆ
ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและให้เหตุผลในการอธิบายว่าสิ่งที่เขาเล่นได้เพราะเหตุใด
- จัดการแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง และกระตุ้นให้เด็กมีพฤติกรรมที่ดี
เด็กที่ไม่ค่อยมีความก้าวร้าวนั้นจะมีพ่อแม่ที่คอยจัดการแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง
โดยพ่อแม่จะไม่เพิกเฉยต่อพฤติกรรมก้าวร้าวของลูก แต่จะเรียกลูกมาจัดการทันที
โดยใช้การสื่อสารพูดคุยด้วยเหตุผลเป็นหลักว่า สิ่งใดทำได้ ทำไม่ได้ เพราะเหตุใด
สิ่งที่เขาทำจะส่งผลเสียต่อใครบ้าง
การดูแลเด็กจะต้องใช้หลักการที่มั่นคง ไม่เปลี่ยนหลักการไปตามอารมณ์
และไม่แสดงออกในสิ่งที่เด็กจะตีความว่าเราก้าวร้าวได้ และหากเขาไม่เชื่อฟังก็จะใช้การลงโทษ
ด้วยความรัก คือใช้ไม้เรียวในการทำโทษ เมื่อทำโทษแล้วเรียกเขามากอดและพูดคุยให้เข้าใจว่า
เหตุใดเขาจึงถูกลงโทษ เมื่อเด็กเกิดความรู้สึกผิดเขาก็จะเรียนรู้ที่จะไม่ทำเช่นนั้นอีก
หากเขายังมีทีท่าไม่เชื่อฟังและเพื่อเป็นการป้องกันการแสดงความก้าวร้าวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เราก็อาจวางเงื่อนไขโดยการเพิกถอนสิทธิ์บางอย่างถ้าเขาทำผิด และเสนอเงื่อนไขการให้รางวัล
เมื่อเขาประพฤติได้อย่างถูกต้อง
พฤติกรรมก้าวร้าวในเด็กจัดเป็นพฤติกรรมอันตรายที่พ่อแม่ไม่อาจเพิกเฉยได้
เพราะเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ พ่อแม่ควรชักธงรบต่อสู้กับสื่อภาพยนต์ เกมคอมพิวเตอร์
ของเล่นและสิ่งอื่นๆ ที่ได้พยายามกระตุ้นให้เด็กๆ เข้าใกล้ความรุนแรงและเคยชินกับความก้าวร้าว
มากยิ่งขึ้นทุกที ดังนั้นพ่อแม่จึงควรช่วยให้ลูกลดความก้าวร้าวลง และพัฒนาการด้านการใช้เหตุผล
ทางจริยธรรมเพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มความสุภาพอ่อนโยนและจิตสำนึกผิดชอบชั่วดีในการทำร้ายผู้อื่น
ที่เริ่มหายไปทีละน้อยให้มากขึ้น
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
|