มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc


 ถ้าลูกเป็นเด็กพิเศษ

สรัญญา

" ลูก 7 เดือน ซนจังเลยค่ะ อยู่ไม่นิ่ง ใครๆ บอกว่าสงสัยจะเป็น ไฮเปอร์ฯ "
" ลูก 2 ขวบกว่าเป็นเด็กเรียบร้อย ไม่ค่อยซน แต่ยังไม่พูดเลยค่ะ กลัวว่าแกจะเป็น เด็กออทิสติก อย่างที่เขาพูดกัน "
ลูกอยู่ ป.1 แล้วครับ เป็นเด็กฉลาด พูดเก่ง แต่ทำไมสอบทีไรตกทุกที อ่านหนังสือเจอเขาบอกว่า เดี๋ยวนี้มีโรคใหม่ เรียกว่า LA เอ๊ย!… LD ลูกผมจะมีโอกาสเป็นมั้ยครับ "
" แล้วจะสังเกตยังไงคะว่าลูกเรา…เป็นอะไรกันแน่ ? "

นี่แหละค่ะความกังวลใจอันดับต้นๆ ของพ่อแม่ไทยยุค (ต้อนรับ) ปี 2000 !

ก็เพราะความผิดปกติต่างๆ เหล่านี้ กำลังได้รับความสนใจจากพ่อแม่ นักการศึกษาและวงการแพทย์เอง เพราะมีการค้นพบว่านอกจากโรคภัยไข้เจ็บทางกาย เช่น ปวดหัว ปวดฟัน เป็นหวัด เจ็บคอ ฯลฯ และโรคทางจิต ทางประสาทแล้ว ยังมีโรคอีกกลุ่มหนึ่งที่เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของสมอง แล้วไปส่งผลต่อพฤติกรรม การแสดงออกรวมถึงการเรียนรู้ต่างๆ ของเด็ก…โดยเฉพาะโรค สมาธิสั้น ออทิสติก และ LD จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เพราะพบได้บ่อยและมีการกล่าวถึงตามสื่อต่างๆ มากที่สุด

ดวงใจพ่อแม่ Special ครั้งนี้ถือฤกษ์ดีมีชัยในฉบับครบรอบปีที่ 4 รวบรวมเรื่องราว ข้อสังเกต การช่วยเหลือเด็กทั้ง 3 กลุ่มนี้มานำเสนอ เพื่อเป็นแนวทางในการเริ่มต้นดูแลเด็กๆ ทุกคนที่เป็น "เด็กพิเศษ" เด็กน้อยที่สวรรค์ส่งมาทดสอบความเป็น "พ่อแม่" ของคุณเป็นพิเศษเช่นกัน

ออทิสติก


ที่มาของโรค

ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่พบได้เพิ่มขึ้นในครอบครัวที่มีคนเป็นออทิสติก ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติของการทำงานของสมองแต่ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเป็นสมองส่วนใด ผิดปกติอย่างไร พบว่าเด็กกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดความผิดปกติเหล่านี้ได้ น่าจะเป็นกลุ่มที่แม่มีปัญหาในระหว่างตั้งครรภ์ เช่น แม่ใช้ยาหรือแอลกอฮอล์ขณะตั้งครรภ์ หรือมีปัญหาระหว่างคลอดหรือหลังคลอด เช่น คลอดก่อนกำหนด เขียวคล้ำหลังคลอด สมองกระทบกระเทือนจากการติดเชื้อ อุบัติเหตุ หรือได้รับสารพิษ เช่น สารตะกั่ว

หมายเหตุ : แต่ไม่ได้หมายความว่าเด็กกลุ่มเสี่ยงข้างต้นจะต้องกลายเป็นเด็กพิเศษทุกคน ในทำนองเดียวกันเด็กที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงก็อาจเป็นได้ เพราะสาเหตุหลักเชื่อว่าเป็นความผิดปกติ ของการทำงานของสมอง

สังเกตกันหน่อย

ถึงวัยที่ควรจะพูดได้แล้ว แต่กลับไม่พูดหรือถ้าพูดก็พูดภาษาตัวเองซึ่งไม่มีใครเข้าใจได้ ส่วนใหญ่อายุประมาณ 1 ขวบกว่า-2 ขวบจะเห็นชัด ไม่สบตาหรือที่เรียกว่าไม่มี eye contact เก็บตัว ชอบเล่นคนเดียว เรียกไม่ฟัง ทำอะไรซ้ำๆ ชอบอะไรที่เคลื่อนไหว เช่น ชอบดูน้ำไหล แต่ถ้าไม่มีอะไรเคลื่อนไหว ก็จะเคลื่อนไหวตัวเอง เช่น นั่งโยกตัวไปมา ก่อนหน้านั้นในวัยทารกจะสังเกตได้ตรงที่เด็กไม่สบตากับพ่อแม่ หรือคนที่อุ้ม ร้องไห้มาก งอแงตั้งแต่เล็ก ไม่ยิ้ม ไม่เล่นเสียง ฯลฯ

ปัญหาของลูก

มีปัญหาสำคัญ 3 ด้านคือ ภาษา สังคม และด้านพฤติกรรมเด็กจะไม่สื่อความหมายกับใคร อยู่ในโลกของตัวเอง เล่นคนเดียวมีพฤติกรรมแปลกๆ เช่น เล่นอะไรซ้ำๆ ปัญหาทั้ง 3 ด้าน ส่งผลต่อพัฒนาการด้านความคิด เขาไม่มีจิตนาการ เล่นสมมติไม่เป็น และแม้จะไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร แต่ก็ไม่สามารถอยู่ในสังคมได้ ต้องมีคนคอยดูแลตลอดเวลา ส่งผลต่อภาวะจิตใจของทุกคนในครอบครัว และเมื่อโตขึ้นก็มักจะถูกมองว่า เป็นกลุ่มเดียวกับเด็กปัญญาอ่อน

การวินิจฉัยและการรักษา

ส่วนใหญ่พ่อแม่จะพาลูกมาด้วยปัญหาถึงวัยแล้วยังไม่พูด กุมารแพทย์ก็จะต้องพิจารณาจากหลายๆ ปัจจัยร่วมกัน และต้องอาศัยเวลาในการติดตามพอควรว่าเด็กมีลักษณะอาการของออทิสติกหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน เพราะโรคออทิสติกเป็นปัญหาทางพฤติกรรม ดังนั้นก่อนอื่นจะต้องสังเกตพฤติกรรมของเด็ก สักระยะหนึ่ง มีการซักประวัติจากผู้ปกครอง และพิจารณาสภาพแวดล้อมที่เด็กอยู่ว่าเป็นอย่างไร เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่ เพื่อดูว่าลักษณะอาการที่เป็นเกิดจากสภาพแวดล้อม หรือจากตัวของเขาเอง จากสภาพแวดล้อมบางอย่าง เช่น อยู่ที่บ้านพ่อแม่ไม่ได้กระตุ้นให้ลูก มีปฏิสัมพันธ์หรือสื่อสารกัน ปล่อยให้ลูกอยู่กับทีวี คอมพิวเตอร์ ปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียวมากๆ จะมีลักษณะคล้ายเด็กออทิสติก แต่ถ้าลูกมีอาการออทิสติกที่เกิดขึ้นจากตัวของเขาเอง และอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านี้รุนแรงขึ้น

การรักษา โดยทั่วไปผู้รักษามักจะให้พ่อแม่ของเด็กเป็นผู้ร่วมรักษาด้วย โดยจะให้คำแนะนำพ่อแม่กลับไปสอนหรือปรับพฤติกรรมเด็กที่บ้าน และกลับมาให้ผู้รักษาประเมินผล รวมทั้งรับคำแนะนำใหม่กลับไปปฏิบัติ สำหรับการใช้ยาในปัจจุบันยังไม่มียารักษาอาการออทิสติกโดยตรง แต่เด็กบางคนแพทย์จะให้ยาเพื่อช่วยให้เรียนรู้ได้ดีขึ้น หรือให้พ่อแม่สอนและปรับพฤติกรรมลูกได้ง่ายขึ้น ได้แก่ เด็กออทิสติกที่มีสมาธิสั้นหรือมีปัญหาทางอารมณ์ร่วมด้วย แต่ทั้งหมดแล้วพ่อแม่คือผู้ที่สำคัญที่สุด ในการรักษาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเอาใจใส่ ให้ความรักความอบอุ่นและกระตุ้นลูกอย่างสม่ำเสมอ

เรียนแบบไหน

สำหรับเด็กออทิสติกแล้ว สามารถเรียนร่วมแบบเด็กปกติได้ แต่ทั้งนี้เด็กต้องได้รับการพัฒนา และเตรียมความพร้อมมาระดับหนึ่ง ที่สำคัญต้องเลือกเรียนในสถานศึกษาที่บุคลากรเข้าใจปัญหา และพร้อมจะช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ พร้อมทั้งจัดสภาพแวดล้อมและการกระตุ้นที่เหมาะสม

พ่อแม่ช่วยลูกได้

ก่อนอื่นต้องปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมของคนในบ้านให้เหมาะสม กับการปรับพฤติกรรมของลูก โดยการช่วยกระตุ้นให้ลูกหันมาสื่อสารกับเรา เช่น จากที่ไม่เคยสนใจลูก เพราะเห็นว่าไม่ร้อง ไม่งอแง ก็ปรับมาเป็นสนใจลูกมากขึ้น ให้ความสำคัญกับลูกมากขึ้น พอลูกตื่นปุ๊บก็ไปชวนลูกคุย มองหน้า สบตา หาอะไรมาล่อความสนใจของลูก หาเวลาสื่อสารกับลูกมากๆ ทั้งกอด ทั้งหอม ทั้งกระตุ้น ชี้ชวนให้ดูโน่นดูนี่

ที่สำคัญทุกครั้งที่จะสื่อสารกับลูก ไม่ใช่พูดลอยๆ ควรจะเรียกชื่อลูก นั่งลงระดับเดียวกับลูก ตาสบตา มองหน้า พูดช้าๆ ชัดๆ ทำเสียงให้น่าสนใจ ให้ลูกสบตามองตอบ เด็กก็จะค่อยๆ เรียนรู้ เช่น แม่พูดช้าๆ ชัดๆ พร้อมกับชี้ว่า นม เอานมมั้ยค่ะ แล้วก็ยื่นให้ หรือเวลาเล่นพ่อแม่ก็ต้องพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมนั้นๆ ของลูก และพยายามนำคำแนะนำของแพทย์ที่ปรึกษามาปฏิบัติที่บ้านอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง จะช่วยลูกให้พัฒนาดีขึ้นได้

สมาธิสั้น


ที่มาของโรค

สาเหตุยังไม่เป็นที่เข้าใจกันแน่ชัด เชื่อว่าเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกันทั้งพันธุกรรม และความผิดปกติทางสมอง แต่ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเป็นสมองส่วนใด ผิดปกติอย่างไร พบว่าเด็กกลุ่มเสี่ยงคือกลุ่มที่แม่มีปัญหาในระหว่างตั้งครรภ์ เช่น แม่ใช้ยาหรือแอลกอฮอล์ขณะตั้งครรภ์ หรือมีปัญหาระหว่างคลอดหรือหลังคลอด เช่น คลอดก่อนกำหนด เขียวคล้ำหลังคลอด สมองกระทบกระเทือน จากเหตุต่างๆ เช่น ติดเชื้อ หรือได้รับสารพิษ เช่น สารตะกั่ว

สังเกตกันหน่อย

สมาธิสั้นคือ เด็กที่มีช่วงความสนใจสั้น ไม่มีสมาธิ ใจลอยง่าย บางคนมีลักษณะของอาการ ไฮเปอร์แอ๊กทีฟร่วมด้วย คือนอกจากสมาธิสั้นแล้วยังซน อยู่ไม่นิ่ง พูดมาก หุนหันพลันแล่น ไม่ชอบรอคอบ ทำก่อนคิด
แต่ทั้งหมดนี้สังเกตได้โดยเด็กจะต้องมีอาการก่อนอายุ 7 ปี และต้องมีอาการอย่างน้อย 6 เดือน โดยที่อาการเหล่านี้ไม่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กในวัยเดียวกัน เพราะฉะนั้นจะต้องดูด้วยว่า เด็กในวัยเดียวกับลูกควรจะทำอะไรได้บ้าง สมาธิควรจะมีแค่ไหน
ส่วนการซนและอยู่ไม่นิ่งที่เรียกว่าไฮเปอร์แอ็กทีฟนี้จะต้องพบได้ตลอดเวลาทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน จนทำให้เด็กมีปัญหาพฤติกรรมอื่นตามมา

ปัญหาของลูก

ส่วนใหญ่ปัญหาจะเริ่มสังเกตได้ชัดเมื่อลูกเข้าโรงเรียน พ่อแม่ก็มักจะได้รับรายงานจากครูว่า ลูกไม่ตั้งใจเรียน ไม่สนใจฟังครู แกล้งเพื่อน ยุกยิกตลอดเวลา เรียนไม่รู้เรื่อง ผลการเรียนไม่ดี ถ้าครูไม่เข้าใจก็จะตำหนิลงโทษ เด็กก็จะเสียกำลังใจ ไม่อยากไปเรียนอีก ปัญหาด้านอารมณ์ และจิตใจก็ตามมา มีโดดเรียน หนีเรียน หรือแสดงออกอย่างอื่น เช่น ก้าวร้าว อาละวาด ฯลฯ

การวินิจฉัยและการรักษา

การวินิจฉัยว่าเด็กมีอาการสมาธิสั้นหรือไม่ ต้องสังเกตและติดตามความรุนแรงของพฤติกรรม ในสถานที่ต่างๆ ทั้งที่บ้าน ที่โรงเรียน ศูนย์การค้า สนามเด็กเล่น ฯลฯ และดูว่าพฤติกรรมนั้นมีผล ต่อการปรับตัวเข้าสังคม การเรียนและความสงบสุขในครอบครัวหรือไม่ อย่างไร พ่อแม่บางคนเอาความรู้สึกของตนเองมาวัด ถ้าตัวพ่อแม่เองเป็นคนเรียบร้อย เจ้าระเบียบ มีความอดทนต่ำ ก็อาจมองว่าลูกซนผิดปกติ แต่พ่อแม่ที่มีแต่ลูกชายก็อาจมองว่าความซนของลูกปกติทั้งๆ ที่เป็นปัญหา

ส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะต้องมีการตรวจประเมินและสังเกตจากพฤติกรรมของเด็ก โดยดูว่าเหมาะสมกับวัยของเด็กหรือไม่ ทำให้เด็กมีปัญหาในการเรียน การปรับตัวของการดำรงชีวิตทั้งที่บ้าน และที่โรงเรียนมากน้อยแค่ไหน และต้องประเมินจากหลายๆ ด้านทั้งจากพ่อแม่ ครูโรงเรียน เพื่อน ก่อนที่จะสรุปว่าปัญหาของเด็กมาจากอะไรกันแน่ จากสิ่งแวดล้อมหรือจาความผิดปกติของเด็กเอง

การรักษาแพทย์จะซักประวัติ สิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดูที่บ้าน จากนั้นจะขอรายงานผลการเรียน พฤติกรรมของเด็ก ว่าอยู่ในห้องเรียนเด็กประพฤติตัวอย่างไร ต้องแนะนำพ่อแม่ให้ปรับวิธีการเลี้ยงดู เด็กบางคนถ้าเป็นมากอาจต้องใช้ยาเพื่อให้เขาสงบขึ้นร่วมกับการปรับพฤติกรรม

เรียนแบบไหน

การจัดสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญ คือครูอาจจะต้องจัดลำดับกิจกรรมการเรียนการสอนให้เหมาะสมเช่น ศิลปะจะช่วยทำให้เด็กสงบ มีสมาธิมากขึ้น เด็กกลุ่มนี้จะเรียนได้ดีในวิชานี้ก็อาจเพิ่มเวลาเรียนวิชานี้มากหน่อย หรือเด็กไม่ควรอยู่ในห้องที่มีสื่ออุปกรณ์การเรียนที่เยอะแขวนระโยงระยาง เขาเหมาะกับห้องที่สงบๆ ครูต้องคอยพิจารณาว่าวิชาไหน บรรยากาศไหนที่ไม่เหมาะกับเขา ก็ต้องจับเขาแยกออกมา เพื่อไม่ให้รบกวนการเรียนของเด็กคนอื่น

คอยสังเกตว่ายาที่แพทย์ให้มานั้นเด็กกินแล้วเป็นอย่างไร และรายงานผลกลับไปที่แพทย์ด้วย เช่น ยาตังนี้เด็กกินแล้วไม่ซนแต่งง่วงหลับตลอดวัน ก็ต้องมีการปรับตัวยาเพราะเท่ากับเด็กไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย โดยรวมแล้วครูจะต้องทำงานประสานกับแพทย์ผู้ดูแลรักษา ด้วยความที่เป็นเด็กซนอยู่ไม่นิ่ง ช่างซักช่างถาม เขาจึงไม่เหมาะกับการเรียนในโรงเรียนที่เร่งทั้งหลาย เพราะยิ่งทำให้เขามีปัญหา แต่จะเหมาะกับโรงเรียน เตรียมความพร้อม ที่เน้นเรื่องของพัฒนาการ เพราะข้อดีของเด็กสมาธิสั้นคือมีการเคลื่อนไหวเร็ว พร้อมจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา และมีความคิดสร้างสรรค์เยอะ

พ่อแม่ช่วยลูกได้

ถ้าลูกมีปัจจัยเสี่ยงหรือแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าเป็นสมาธิสั้น ก็ต้องคอยสังเกตพฤติกรรมของลูก ปรับพฤติกรรมในบ้าน เช่น กิจวัตรประจำวันควรทำตามกำหนดเวลาอย่างสม่ำเสมอ ควรเป็นสิ่งที่เด็ก คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า งานที่มอบหมายให้เด็กทำต้องแบ่งเป็นขั้นตอนย่อยๆ ให้ชัดเจน ถ้าทำได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ต้องให้คำชมเชยทันที เพื่อให้เด็กเกิดความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง หากไม่ร่วมมือหรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมก็ต้องแก้ไข ตักเตือนทันที และหลีกเลี่ยงสถานที่หรือเหตุการณ์ที่มีสิ่งเร้าและกระตุ้นเด็กได้มากๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า ของเล่นที่มีในห้องเก็บให้หมด อย่าเอาออกมาทีละเยอะๆ เวลาเล่นก็ให้เล่นของเล่นทีละอย่าง เล่นเสร็จแล้วสอนให้เก็บให้เรียบร้อย ฝึกให้เขาอ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมที่ฝึกสมาธิได้นานๆ เช่น ระบายสี ปั้นดินน้ำมัน เล่นดนตรี พ่อแม่ต้องใจเย็นและอดทน เช่น ฝึกให้ลูกนั่งทำกิจกรรมอะไรสักอย่างนิ่งๆ เริ่มจาก 3 นาที เพิ่มเป็น 5 นาที เพิ่มเป็น 7 นาทีไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งให้คำชมเชย ให้เขาเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง และในที่สุดก็จะให้ความร่วมมือกับพ่อแม่อย่างดี

LD (Learning Disability)


ที่มาของโรค

ส่วนใหญ่ยังไม่ทราบสาเหตุแต่พบได้เพิ่มขึ้นในครอบครัวที่มีคนเป็น LD เกิดจากความผิดปกติของสารเคมี ในสมองแต่ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเป็นสมองส่วนใด ผิดปกติอย่างไร พบว่าเด็กกลุ่มเสี่ยง ที่อาจะเกิดความผิดปกติเหล่านี้ได้มักจะเป็นกลุ่มที่แม่มีปัญหาในระหว่างตั้งครรภ์ เช่น คลอดก่อนกำหนด เขียวคล้ำหลังคลอด สมองกระทบกระเทือนจากการติดเชื้อ อุบัติเหตุ หรือได้รับสารพิษ เช่น สารตะกั่ว

สังเกตกันหน่อย

LD หมายถึงภาวะที่เด็กมีความบกพร่องในการเรียนรู้ โดยที่เด็กไม่ได้เป็นปัญญาอ่อน ส่วนใหญ่มักมีสติปัญญาปกติหรือฉลาดกว่าปกติ ไม่ได้พิการใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ได้เป็นเด็กที่อยู่ในวัฒนธรรม หรือสิ่งแวดล้อมที่มีลักษณะด้อยโอกาสในการเรียนรู้ แสดงว่าสาเหตุต้องไม่ได้เกิดจากอย่างอื่นเลย นอกจากความผิดปกติของการทำงานของสมอง ทำให้เรียนไม่ได้ตามศักยภาพที่มีอยู่ อาจแสดงออกมาเป็นความบกพร่องทางการฟัง การพูด การเขียน การคำนวณ เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลต่อการเรีย น เช่น เด็กที่มีปัญหาการอ่าน คำว่า กลม อ่านเป็น กมล เพราะความสามารถในการรับตัวหนังสือเข้าไปแล้ว แปลเป็นตัวอักษรของเขาเสียไป เด็กพวกนี้ถึงแม้จะเรียนพร้อมกับเด็กคนอื่น แต่ก็เรียนรู้ไม่ได้ หรือปัญหาด้านการเขียน เช่น อาจจะเขียนสลับด้านกัน ก ไก่ เขียนโดยหันหัวไปทางขวาแทนที่จะเป็นทางซ้าย หรือเลข 3 เขียนกลับด้าน เป็นต้น เด็กกลุ่มนี้มักจะเริ่มสังเกตปัญหาได้ชัดเจนตอนเริ่มเข้าเรียน แต่ในวัยก่อนเรียนคุณแม่อาจสังเกตว่าเป็นเด็กเลี้ยงยาก งอแง กินอยู่ขับถ่ายไม่เป็นเวลา อารมณ์แปรปรวน หรือมีพัฒนาการทางภาษาล่าช้า เช่น พูดช้า พูดไม่ชัด เรียนรู้คำใหม่ๆ ได้ช้า เลือกใช้คำไม่เหมาะสม

ปัญหาของลูก

ทำให้มีปัญหาในด้านการเรียน สอบไม่ผ่าน ผลการเรียนแย่ เช่น ถ้ามีปัญหาในการอ่าน แต่มีความสามารถในการคำนวณก็ไม่สามารถทำคะแนนได้ดีเวลาสอบคำนวณ เนื่องจากต้องอ่านโจทย์ ที่ให้เพื่อตีความหมายจะทำให้เขามีปัญหาในการทำวิชานั้น ความรู้สึกที่ดีต่อตนเองเสียไป ถูกมองว่าไม่เก่ง เวลาทำงานกลุ่มเพื่อนก็ไม่เอา ซึ่งถ้าพ่อแม่ ครูไม่เข้าใจ ไม่พยายามช่วยเหลือได้เขาก็จะขาดความมั่นใจในตนเอง เสียกำลังใจ ไม่อยากเรียน ไม่พยายาม ปัญหาที่เกิดขึ้นก็จะเป็นวงจรรวนไปเช่นนี้ ปัญหาด้านอารมณ์จิตใจก็ตามมา เริ่มโดดเรียน ไม่เข้าเรียน ทำให้เรียนไม่ได้ การศึกษาต่ำ เติบโตไปอย่างไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน อาจจะคบเพื่อนไม่ดี กลายเป็นคนเกเร หันเข้าหาอบายมุข เป็นปัญหาสังคมต่อไป

การวินิจฉัยและการรักษา

ถ้าเด็กมาด้วยปัญหาการเรียน แพทย์ต้องหาข้อมูลจากพ่อแม่ ครู และตัวเด็ก รวมทั้งสภาพแวดล้อม ที่อาจส่งผลต่อการเรียนของเด็ก เช่น โรคประจำตัวที่เป็นอุปสรรคต่อการเรียน ทำให้ต้องขาดเรียนบ่อย เรียนไม่ทันเพื่อน หรือยาบางตัวที่กินมีผลทำให้ง่วงและหลับในห้องเรียน ต้องดูปัญหาในครอบครัวด้วยว่า มีปัญหาหย่าร้าง ทะเลาะ ตบตี ทำทารุณรึเปล่า ดูปัญหาที่โรงเรียนว่าเป็นอย่างไร ครูมีคุณภาพหรือไม่ เพื่อนแกล้งหรือเปล่า ต้องตรวจเช็กอย่างละเอียด รวมทั้งส่งตรวจไอคิว ถ้าผลออกมาว่า การอ่าน การเขียน การฟัง ไม่ได้ไปด้วยกันกับไอคิว ก็พอจะบอกได้ว่าเด็กคนนี้น่าจะเป็น LD
การรักษาต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างแพทย์ พ่อแม่ และครู และมีการประสานงานกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับวิธีการเรียนการสอนให้เหมาะสม

เรียนแบบไหน

เด็กต้องอยู่ในโรงเรียนที่มีครูซึ่งเข้าใจและพร้อมจะช่วยเหลือ เช่น เด็กที่มีปัญหาการอ่าน ครูอาจต้องช่วยอ่านโจทย์ให้ฟังเวลาสอบ เขาก็สามารถเข้าใจและตอบข้อสอบนั้นได้ หรือมาปรับวิธีการสอนการอ่านคำให้เขาเช่น แทนที่จะสอนให้รู้จักการผสมคำก็ต้องสอนให้ใช้วิธีจำเป็นคำๆ ไป สิ่งสำคัญที่สุดคือถ้าครูเข้าใจ ให้ความร่วมมือ เขาก็จะรู้สึกดีต่อสิ่งรอบข้าง รู้สึกดีต่อตัวเองว่าจริงๆ เขาก็เรียนได้ เขาไม่ได้โง่

พ่อแม่ช่วยลูกได้

สิ่งสำคัญสำหรับเด็กพวกนี้คือทำยังไงให้เขาผ่านช่วงวัยเรียนไปได้ เพราะเมื่อจบออกไป เขาก็ไม่ได้ต้องไปสอบ ต้องเรียนอะไร ปัญหาต่างๆ ก็จะลดน้อยลงไปตามวัยของเขา แต่ทำอย่างไรให้ช่วงวัยเรียนของเขามีความสุขที่สุด เป็นปัญหาน้อยที่สุด พ่อแม่ต้องช่วยประคองไปก่อน โดยต้องให้เขามีความมั่นใจ มีความคิดเกี่ยวกับตัวเองว่ามีคุณค่าเพราะเด็กที่เรียนอ่อนมักจะไม่มีตรงนี้ ยิ่งสังคมบ้านเรามักคิดว่าเด็กเรียนเก่งคือ เด็กดีก็จะไปกดดันและเข้มงวดกับเด็กที่เรียนอ่อนจริงๆ แล้วไม่ใช่ เด็กเรียนอ่อนบางคนก็มี EQ มากกว่าเด็กเรียนเก่งเสียอีก แต่หากอยากช่วยลูกให้เรียนดีขึ้น ก็ต้องพยายามเข้าใจลูก ไม่ใช่ดุด่า หยิกตี ต้องใจเย็น ใช้ความอดทนสูง

ถาม - ตอบ เรื่อง เด็กพิเศษ

จากประสบการณ์การทำงานที่คลุกคลีอยู่กับเด็กพิเศษ โดยเฉพาะเด็กออทิสติกมายาวนานกว่า 8 ปี คุณวัชรา อินโสม ในฐานะนักจิตวิทยา มีประสบการณ์และภาพการทำงานมางานมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

- ทำไมถึงเลือกที่จะรักษาเด็กพิเศษในกลุ่มออทิสติกคะ

เพราะดิฉันมองว่าบุคลากรตรงนี้ยังขาดอยู่ แล้วโดยบุคลิกแล้วก็เป็นคนรักเด็ก อยากจะช่วยเขา อยากเห็นเขาดีขึ้น พอมาทำแล้วมันก็ลงลึกไปเรื่อย แล้วประสบการณ์ก็ทำให้เราได้เรียนรู้มากขึ้น นำมาปรับใช้และช่วยเด็กให้ดีขึ้น ก็รู้สึกดีใจ แล้วก็ทำเรื่อยมาค่ะ

- เด็กออทิสติก บุคลิกภาพโดยรวมที่สังเกตได้จะเป็นยังไงคะ

ส่วนใหญ่พ่อแม่จะพามาหาด้วยเหตุลูกไม่พูด และถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าเด็กมีลักษณะอื่นร่วมด้วย คือไม่สบตา แยกตัวไม่เล่นกับใคร ไม่สามารถสื่อความต้องการให้คนอื่นรับรู้ได้ ต่างจากเด็กพูดช้าทั่วไป เพราะเด็กพูดช้าเขายังสื่อความหมายด้วยท่าทางได้ เช่น ชี้บอกความต้องการ มีการมองหน้าสื่อสายตา ส่งเสียงอืออาเรียกคนอื่นบ้าง แต่เด็กออทิสติกจะสื่อไม่ได้เลย อย่างเวลาเขาอยากได้น้ำ ก็จะจับมือแม่ไปที่ขวดน้ำ บางคนก็เข้าใจว่านี่เป็นการสื่อภาษาของเขา แต่จริงๆ สำหรับเขา แม่เป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งเท่านั้นเองถ้าเปรียบเทียบในความรู้สึกเขา แม่ก็ไม่ต่างอะไรกับที่เปิดขวดเท่านั้น

- ในการรักษาเด็กแต่ละคนต้องเริ่มต้นยังไงบ้าง

คือ เด็กส่วนใหญ่กุมารแพทย์จะเป็นผู้ส่งมาให้ แรกๆ เราก็จะปล่อยให้เด็กอยู่ตามลำพังกับพ่อแม่ หรือพี่เลี้ยงที่พาเขามา อยู่ในห้องสังเกตพฤติกรรม เราหมายถึงทีมงานซึ่งจะมีดิฉัน แพทย์และนักวิจัย คอยสังเกตผ่านกระจกวันเวย์ ดูว่าเขาแตกต่างจากเด็กวัยเดียวกันมั้ย แล้วเริ่มทดสอบจากสิ่งที่เราสงสัย เช่นว่า ถ้าเราเดินเข้าไปเขาจะหันมามองเรามั้ย เขาติดแม่มั้ย ลองให้แม่เดินออกจากห้องซิเขาจะทำอย่างไร หรือลองขัดใจดูว่าจะตอบสนองในรูปไหน เป็นต้น

หลังจากนั้นก็กลับมาให้ความสำคัญกับปัญหาที่พาเด็กมาและซักประวัติเพื่อสรุปวินิจฉัย การซักประวัติต้องละเอียดเพราะลักษณะบางอย่างที่คล้ายออทิสติกแต่อาจไม่ใช่ ซึ่งอาจมีเหตุผลมีที่มาก็ได้ เช่น ออทิสติกชอบเล่นซ้ำๆ เด็กคนนี้ก็ชอบเล่นซ้ำๆ แต่ปรากฏว่าพอซักประวัติแล้ว แม่ให้เล่นแต่ของเล่นเดิมชิ้นเดียว อย่างนี้แสดงว่าเป็นเรื่องของการเลี้ยงดู บางรายต้องไปเยี่ยมบ้านเพื่อดูสภาพความเป็นอยู่ และสังเกตพฤติกรรมเด็กที่บ้าน เมื่อผ่านกระบวนการวินิจฉัยแล้ว หมอก็จะอธิบายให้พ่อแม่ฟังแล้วให้พ่อแม่กลับไปทบทวนดูว่า ที่หมอเห็นว่าลูกผิดปกตินี้พ่อแม่สังเกตเห็นแบบนี้มั้ย แล้วค่อยมารักษา

- การรักษาเน้นแก้ไขด้านไหนเป็นพิเศษคะ

เน้นด้านพัฒนาการทางสังคมค่ะ เพราะเด็กกลุ่มนี้เขาจะอยู่ในโลกของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ไม่สนใจใคร ทำให้ขาดโอกาสในการเรียนรู้ด้านอื่นๆ ตามมา รวมทั้งเรื่องการสื่อภาษาหรือเรื่องพูดด้วยค่ะ บางคนก็เล่นอะไรซ้ำๆ อยู่คนเดียว เราก็จะทำให้เขาเห็นความแตกต่างของคนกับวัตถุ ทำให้เขาสนใจคนอื่นได้บ้าง เริ่มสบตาคนอื่นได้นานขึ้น หรือเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นได้ แล้วเขาก็จะเริ่มเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง จากคนที่เขามีปฏิสัมพันธ์ด้วย การเล่นซ้ำๆ ก็เริ่มลดลง เพราะเขารู้จักเล่นอย่างอื่นมากขึ้น หลังจากนั้นเขาก็จะเริ่มสื่อด้วยท่าทางบ้าง ก่อนจะเป็นคำพูดในที่สุด ฟังดูเหมือนง่ายนะคะ พ่อแม่หลายคนคงทราบดีว่ามันไม่ง่ายนัก เพราะเขาต้องทุ่มเทมาก แต่ก็คุ้มไม่ใช่หรือคะ กับการที่เขาได้ลูกกลับมาอยู่ในโลกเดียวกับเขา ไม่ใช่อยู่ในโลกของตัวเอง สื่ออะไรกันก็ไม่ได้

- พ่อแม่ต้องตั้งรับอย่างไร มีคำแนะนำอะไรบ้าง

คงต้องเริ่มจากการเข้าใจและยอมรับก่อนว่าลูกเราเป็นอะไร แล้วรีบสร้างความพร้อม โดยเฉพาะด้านกำลังใจให้เกิดขึ้นให้ได้ ดิฉันถือว่าพ่อแม่คือกำลังสำคัญที่จะช่วยให้เด็กพัฒนาต่อไป เพราะจริงๆ แล้วการบำบัดรักษาเด็กกลุ่มนี้พ่อแม่ไม่ได้มีบทบาทแค่พาลูกมาให้หมอรักษาแค่นั้นนะคะ แต่พ่อแม่เป็นเหมือนหนึ่งในทีมผู้รักษาเลย ดิฉันและคุณหมอก็ให้ได้แค่คำแนะนำหรือสาธิตให้ดู คุณพ่อคุณแม่ต้องนำไปปฏิบัติที่บ้านอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ซึ่งจากประสบการณ์เด็กจะดีขึ้นช้า หรือเร็วพ่อแม่มีส่วนมากค่ะ เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องมีกำลังใจ มีความพยายามและอดทนนะคะ

- การทำงานกับเด็กออทิสติกมีความยากลำบากยังไงบ้างคะ

งานนี้เป็นเรื่องของพฤติกรรม ดังนั้นต้องอาศัยเวลา ความพยายามและความอดทนอย่างมากค่ะ ที่สำคัญรายละเอียดในการช่วยเหลือมันไม่มีอะไรตายตัว เด็กแต่ละคนก็ต่างกัน เราต้องคิดปรับตลอดเวลา

- เวลาพ่อแม่มาหาเรา เขาคาดหวัง เรารู้สึกกดดันมั้ยคะ หาทางออกให้ตัวเองยังไง

ไม่หรอกค่ะ ดิฉันคิดว่าเข้าใจเขามากกว่า แต่ทางที่ดีก็ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจก่อนที่จะรักษา ส่วนใหญ่พ่อแม่จะน่ารัก ให้ความร่วมมือดี เพราะเขาก็อยากให้ลูกหาย แต่ก็มีบางส่วนที่ปฏิบัติตามไม่ได้ เพราะเขามีความจำเป็นบางอย่าง เช่น พ่อแม่ต้องทำงาน ไม่มีเวลา เราก็ต้องช่วยกันหาทางแก้ต่อไป ส่วนตัวเราเองก็รู้สึกว่าอยากทำให้ดีที่สุด เหมือนกับไม่ใช่งานเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ไปไหนก็นึกถึง เข้าร้านหนังสือก็ เอ…จะมีหนังสือนิทานเล่นไหนเหมาะกับเด็กของเรา ก็จะไปซื้อเผื่อ ไปช้อปปิ้งเห็นของเล่น ก็ต้องแวะเข้าไปดูแล้วว่าอันไหนมันจะช่วยพัฒนาเขาได้บ้าง และก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องลำบากใจอะไร เพราะพอมาเห็นเด็กๆ เขาดีขึ้น เช่น บางคนพอมาหาจากไม่สบตาแล้ววันหนึ่งเขามองหน้าเรา ยิ้มให้และโผมากอดเรา แบบนี้นะ โหย…หัวใจพองโต นี่แหละค่ะความสุขจากงานนี้ แต่ก็มีบางช่วงที่เขาแย่ เราก็จะว้า…ไม่ดีเลย แล้วพวกเรา หมายถึงทีมผู้รักษา จะมาคิดกันใหม่ว่าจะทำอะไรต่อไป งานนี้ท้อไม่ได้ค่ะ

- เป้าหมายสูงสุดของการทำงานตรงนี้ อยากเห็นเด็กๆ เติบโตไปแบบไหนคะ

งานจิตวิทยาคือการศึกษาพฤติกรรม ดิฉันก็นำตรงนั้นมาปรับใช้ มาบำบัดเขา และหวังอยากเห็นเด็กๆ พวกนี้สามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุด และถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เขาหายค่ะ

ความคิดเห็น


" มีข้อสังเกตว่า เด็กที่ถูกล่อด้วยคะแนนตลอด เขาจะมีอัตรา พอโตขึ้นใช้ชีวิตในสังคม ก็จะเป็นพวกที่วัตถุนิยม เลือกหางานที่ให้เงินได้มากที่สุดไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน นี่คือเราสอนเขาทางอ้อม เขาคิดแต่ว่า ต้องทำให้ได้มาก ให้เด่น ให้เยอะกว่าคนอื่น เราจึงเห็นว่าเด็กพวกนี้บางคนพอออกมาทำงาน จะเหมือนคนแล้งน้ำใจ ทั้งๆ ที่เป็นคนเก่ง แต่เขาไม่รู้ตัวหรอก เด็กยิ่งเก่งก็จะยิ่งอันตราย ถ้าเลี้ยงดูไม่ดีเขาอาจกลายเป็นอาชญากรที่ตามจับตัวได้ยากเพราะจะมีวิธีการที่แยบยลกว่าที่เราคิด

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเด็กปกติหรือเด็กพิเศษ สิ่งสำคัญในการเลี้ยงดูคือ ความรักความอบอุ่น และความเข้าใจและพิเศษสักนิดสำหรับเด็กพิเศษก็คือ สิ่งที่พ่อแม่จะคาดหวังจากเขาก็คือ ให้เขาสามารถมีชีวิตได้เองโดยลำพัง ไม่เป็นภาระกับใครอยู่ในสังคมได้ เช่น ถ้าเป็นเด็กเก่ง ก็ต้องเน้นคุณธรรมสักหน่อย ถ้าเป็นเด็ก LD หรือ สมาธิสั้นก็ต้องเพิ่มเรื่อง self esteem หรือความนับถือ ความภูมิใจในตนเอง "

" การที่เราบอกอะไรเด็ก เขาจะจำ มันเป็นการสร้าง self concept ทำให้เขาคิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้น อย่างที่โบราณว่า ถ้าแม่อยากให้ลูกเป็นอะไรต้องชื่นชม อย่าไปแช่งอย่าไปดุด่า จริงๆ เป็นเพราะมันเป็นการลุ้น การชี้นำให้เด็กคิดอย่างนั้น เช่น เวลาเด็กซน ก็อย่าย้ำความซนของเขา ไม่งั้นเขาจะรู้สึกว่าเขาซน ต้องซน แต่ควรชมเชยบ่อยๆ เมื่อเขาเริ่มทำความดี ครูเองก็เหมือนกัน อย่างเวลารายงานผลการเรียน แทนที่จะบอกว่า " วิชานี้ลูกคุณแย่มาก " ก็น่าจะเปลี่ยนเป็น " วิชานี้ลูกคุณพัฒนาขึ้นมานิดหนึ่งแล้วนะ แต่ถ้าทางบ้านช่วยอีกนิด คิดว่าดีขึ้นอีกเท่าตัวเลย" ซึ่งคำพูดแบบนี้มันเป็นแรงเสริม พ่อแม่ก็จะมีกำลังใจ และพยายามช่วยลูกอย่างเต็มที่ "

ศ.ศรียา นิยมธรรม


" หมออยากให้พ่อแม่และครูเข้าใจปัญหาแล้วหาทางช่วยเหลือเด็กที่สำคัญอยากให้พ่อแม่ลงมาคลุกคลี ลงมาช่วยเด็กให้มากขึ้น อย่าปล่อยให้เป็นปัญหาของครูหรือของหมอแต่เพียงฝ่ายเดียว พ่อแม่ต้องสนใจ คอยเอาใจใส่ร่วมกัน และถ้าเราช่วยเขาได้ ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นนายกฯ เป็นหมอ เป็นคนดัง แต่เขาสามารถอยู่ตรงไหนก็ได้อย่างมีความสุข ซึ่งมันจะช่วยป้องกันไม่ให้เขาเติบโตไปเป็นนักเลง เป็นโจรผู้ร้าย เราต้องทำให้เขารู้สึกว่า แม้เขาจะไม่ปกติ แต่เขาก็ไม่มีปมด้อย ใครๆ ก็เข้าใจเขา เขามีความภูมิใจในตนเอง เขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่ไม่ดีเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น

และก็อยากให้กำลังใจคนเป็นพ่อแม่ด้วยคะว่า สำหรับเด็กพิเศษแล้วพ่อแม่เป็นกำลังสำคัญ ในการฝึกและดูแลเขา ถ้าพ่อแม่มีความมั่นใจเชื่อมั่นว่าเด็กเหล่านี้สามารถพัฒนาศักยภาพในตัวเขาเองได้ ถึงแม้จะมีปัญหาจุดนี้แต่เราสามารถปรับเปลี่ยนเอาส่วนดีๆ ของเขามาชดเชย เราก็ช่วยเหลือลูกเราได้ อาจไม่เต็มร้อย แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

เพราะฉะนั้นอย่าท้อแท้ อย่าผิดหวัง แต่การจะดูแลเด็กเหล่านี้ก็จะมีบางครั้งที่เราดาวน์สุดๆ เลย บางช่วงก็จะดี มันก็จะขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้เหมือนกับการดูแลเด็กที่มีปัญหาเรื้อรังทั้งหลาย เพราะฉะนั้นถ้ามีปัญหาเรื่องไหนก็อาจกลับไปหาคนที่ช่วยเหลือเราได้ อาจเป็นคุณยาย คุณย่า หมอ ครู ฯลฯ เพื่อช่วยเติมพลังให้เราสู้ ให้เราพร้อมเพราะถ้าเราพร้อม เราก็จะช่วยเหลือลูกได้

สำคัญที่สุดคือ เด็กกลุ่มนี้เขาต้องการความเห็นใจ ความเข้าใจและการยอมรับของพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่เข้าใจ ครูเข้าใจแล้ว ปัญหาต่างๆ ก็จะได้รับการแก้ไข เขาก็จะเติบโตไปได้อย่างมีความสุข บรรลุเป้าหมายที่พ่อแม่วางไว้ได้ "

" พ่อแม่ยังไม่ควรด่วนตัดสินว่าลูกเป็นอะไรแค่เพียงเพราะได้ข้อมูลจากสื่อต่างๆ เพราะแม้แต่แพทย์เอง ยังต้องอาศัยข้อมูลจากหลายๆ อย่างกว่าจะวินิจฉัยเด็กสักคนว่าเป็นอะไร หมออยากแนะนำว่าถ้าพ่อแม่สงสัย ก็น่าจะเริ่มต้นด้วยการพาลูกไปพบกุมารแพทย์เป็นอันดับแรก อาจเป็นกุมารแพทย์ที่รักษาลูกอยู่ประจำก็ได้ แล้วถ้าสงสัย กุมารแพทย์ก็จะส่งต่อให้แพทย์ทางด้านพัฒนาการหรือจิตแพทย์เด็กเป็นลำดับต่อไป "

ผศ.พญ.จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์

(update 18 พฤศจิกายน 2000)


[ที่มา.. นิตยสารดวงใจพ่อแม่   ปีที่5 ฉบับที่ 49 พฤศจิกายน 2542]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600