
ทุกๆ ครอบครัวไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ต่างก็มีปัญหาทางพฤติกรรมของบุคคลในครอบครัวไม่มากก็น้อย
ปัญหาพฤติกรรมดังกล่าวอาจเกิดจากผู้ใหญ่หรือเด็กเป็นผู้ทำและเกิดขึ้นโดยที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้
ฉะนั้น พ่อแม่จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ถึงสาเหตุของพฤติกรรมของลูกทั้งความประพฤติที่ปรารถนา
และไม่พึงปรารถนา และจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้ได้ผลตามที่ต้องการได้อย่างไรบ้าง
พฤติกรรมของคนไม่ว่าจะเป็นการพูด การแต่งกาย การเล่น การแสดงออกทางอารมณ์
หรือการทำงานใดๆ ก็ดี ย่อมแสดงให้ผู้อื่นได้รู้ว่า ผู้แสดงพฤติกรรมมีการเรียนรู้มาแล้วอย่างไร
ฉะนั้นปัญหาทางพฤติกรรมของเด็กที่แสดงออกมาเช่นนั้นๆ เป็นเพราะเด็กเรียนรู้มาว่า
เขาควรแสดงออกอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะว่าเขาเกิดมาเป็นคนไม่ดี
ลองพิจารณาความจริงที่ว่า เราเรียนรู้มาได้อย่างไร เด็กที่กำลังเจริญเติบโตนั้นเรียนรู้
หรือได้รับการฝึกสอนจากผู้ใหญ่ จากเพื่อน ฯลฯ นัยหนึ่งก็คือ คนเราต่างสอนซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา
และยังเปลี่ยนซึ่งกันและกันอีกด้วย เพื่อจะได้อยู่ด้วยกันในสังคมได้อย่างมีความสุข นั่นคือ
"การเรียนรู้ทางสังคม"
ถ้าเด็กคนหนึ่งเคยได้รับการสอนให้ประพฤติผิดได้ เขาก็จะได้รับการสอนให้ประพฤติถูก
ได้เช่นเดียวกัน
ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่พยายามหรือจงใจสอนลูกให้เป็นคนไม่ดี แต่ก็มีหลายเรื่อง
ที่พ่อแม่ทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นเช่นนั้น การต่อสู้ ความเจ้าอารมณ์ร้องไห้คร่ำครวญ
เป็นพฤติกรรมที่เด็กได้รับการสอนมาให้แสดงเช่นนั้น การสอนของพ่อแม่แสดงออกโดยการดุว่า
ตี กอด จูบ หรือกล่าวคำชมเชย
พ่อแม่ ส่วนมากเรียนรู้ที่จะใช้วิธีการตีลูกเป็นการแก้ปัญหาทางพฤติกรรมที่ไม่ปรารถนา
ได้อย่างหนึ่ง ในทำนองเดียวกันพ่อแม่ก็เรียนรู้ว่า การกอดจูบ การชมเชยก็เป็นอีกวิธีแก้พฤติกรรม
ที่เป็นปัญหาได้อีกวิธีหนึ่ง
เมื่อเด็กร้องไห้แล้วผู้ใหญ่เข้าไปอุ้ม เด็กจะเรียนรู้ว่าถ้าร้องไห้พ่อแม่จะอุ้ม วันหลังเด็กจะใช้วิธีร้องไห้
เพื่อเรียกร้องให้ผู้ใหญ่อุ้มในกรณีนี้ แรงเสริมที่ทำให้เด็กร้องไห้คือ การอุ้มนั่นเอง ถ้าลูกของท่านพูด
และท่านตั้งใจฟังลูกอย่างดี ลูกจะชอบพูดกับท่านเพราะการตั้งใจฟังของท่านเป็นแรงเสริมให้ลูกพูด
แต่ถ้าลูกท่านเล่าอะไรให้ฟังแต่ท่านไม่สนใจฟัง บ่อยๆ ครั้งเข้าลูกจะไม่เล่าเรื่องต่างๆ ให้คุณฟัง
จึงสรุปได้ว่า คนเราเรียนรู้จากพฤติกรรมและการตอบสนองของคนที่อยู่รอบๆ ตัวเรา
หลังจากที่เด็กได้เรียนรู้พฤติกรรมหนึ่งแล้ว ถ้าพฤติกรรมนั้นไม่ได้รับการกระตุ้นไว้บางครั้งบางคราว
พฤติกรรมนั้นก็จะไม่แข็งขัน และอาจหยุดไปได้ แรงเสริมทางสร้างสรรค์ไม่ใช่เพียงกระตุ้นให้เด็ก
เรียนรู้พฤติกรรมใหม่ๆ เท่านั้น แต่ยังช่วยให้พฤติกรรมที่เขาเรียนรู้มาแล้วนั้นได้เกิดขึ้นอีกต่อไปด้วย
ถ้าแม่ประสงค์จะให้ลูกเก็บของเล่นเข้าที่ แม่ก็เริ่มด้วยการสอนให้ลูกรู้จักเก็บของเล่นเข้าที่เสียก่อน
เมื่อเด็กทำได้ต้องให้คำชมเชยทันทีเป็นการให้แรงเสริมทางสร้างสรรค์ ต่อไปเด็กจะนำพฤติกรรมมาใช้อีก
ถ้าแม่ชมเชยลูกทุกครั้งที่เก็บของเล่น ลูกก็จะเก็บของเล่นในเวลาต่อๆ ไปด้วย แม่จำเป็นต้องใช้แรงเสริม
หลายๆ ครั้งในเรื่องเดียวกัน พฤติกรรมที่แม่ปรารถนาให้ลูกทำจึงจะเกิดขึ้นมีพลังแรงไม่เลิกไปง่ายๆ
การให้เงินลูก 1 บาท ทันทีที่ลูกทำสิ่งที่เราต้องการให้เสร็จเรียบร้อย เช่น ล้างชาม ถูบ้าน ฯลฯ
เป็นวิธีการหนึ่งที่ให้กำลังใจให้ลูกอยากทำแต่สิ่งที่ดี หรือสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ การให้เงินเป็นการให้รางวัล
หรือแรงเสริมประเภทมิใช่แรงเสริมทางสังคม มีรางวัลหลายประเภทที่พ่อแม่สามารถนำมาใช้กับพฤติกรรม
ที่ปรารถนาได้ เช่น กล่าวคำขอบใจ กอดรัด ให้ขนม ซึ่งล้วนแต่เป็นแรงเสริมทางสร้างสรรค์
หรือก่อให้เกิดผลดีทั้งสิ้น
รางวัลหรือแรงเสริมที่ใช้เพื่อให้เด็กมีพฤติกรรมที่ต้องการนั้นมิใช่มีแต่วัตถุ คือเงินหรือขนมเท่านั้น
การให้ความรัก ความเอาใจใส่ คำชมเชย ฟังลูกคุยหรือเล่นกับลูกเมื่อเขามีพฤติกรรมที่เราต้องการ
ล้วนแต่เป็นแรงเสริมที่มีพลังแรงมากที่สุดอีกประเภทหนึ่ง และพ่อแม่ก็นำมาใช้ทุกวัน วันละหลายๆ ครั้งโดยไม่รู้ตัว
แรงเสริมประเภทนี้เรียกว่าแรงเสริมทางสังคม
แรงเสริมทางสังคม เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กวันละหลายสิบครั้ง
และเด็กก็สะสมผลของเหตุการณ์นี้ไว้ทีละเล็กละน้อย จนรวมเป็นบุคลิกภาพ พ่อแม่สามารถวางแผน
การฝึกอบรมโดยเน้นการใช้แรงเสริมทางสังคม เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกที่ไม่พึงปรารถนาได้
วันหนึ่งๆ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็ได้รับแรงเสริมทางสังคมวันละหลายๆ ครั้ง
โดยที่ไม่ได้สังเกตกันว่าอะไรเป็นแรงเสริมที่ใครนำมาใช้กับตนและในทำนองเดียวกัน
การเปลี่ยนพฤติกรรมก็เกิดขึ้นช้าจนไม่สามารถสังเกตเห็นได้ว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
กล่าวได้ว่า พฤติกรรมส่วนมากเป็นผลจากการเรียนรู้ที่ได้รับแรงเสริมทางสังคมเกือบหมดทั้งสิ้น
แรงเสริมที่มิใช่ทางสังคม มีบ่อยครั้งที่แผนการฝึกอบรมของแม่แม่จะเป็นแรงเสริมที่มิใช่ทางสังคม
เช่น ให้เงิน ขนม หรือของเล่น เป็นต้น เหตุผลก็คือความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก
มิได้อยู่ในสภาพที่พึงพอใจ และปรากฏอยู่นานเกินไปจนการใช้แรงเสริมทางสังคมไม่ได้ผล
ต้องเปลี่ยนมาใช้แรงเสริมที่มิใช่ทางสังคม
"ระบบการให้คะแนน" เป็นแรงเสริมที่มิใช่ทางสังคมอีกประเภทหนึ่งที่นำมาใช้ได้ผล
วิธีนี้ให้เด็กหรือพ่อแม่เป็นผู้จดคะแนนไว้ เมื่อเด็กทำคะแนนได้ เด็กจะนำคะแนนของเขามาแลกเป็นเงิน
ของเล่น ฯลฯ ตามที่เขาต้องการ เมื่อเด็กมีพฤติกรรมที่พ่อแม่ปรารถนาเขาก็ได้ 1 คะแนนทันที
ซึ่งแม่จะบันทึกไว้และต้องบอกแก่ลูกว่า เขาให้คะแนนแล้วเท่าไร ทั้งต้องให้สัญญา
หรือข้อตกลงกับเขาด้วยว่า เขาจะได้อะไรจากการได้คะแนน ซึ่งจะเป็นการทำให้เด็กรู้เป้าหมายว่า
เขาทำไปเพื่ออะไร และจะได้อะไร ระบบให้คะแนนนี้ แต่ละคะแนนจะเป็นแรงเสริมประเภทหนึ่ง
ขบวนการให้คะแนนนี้ย่อมยืดหยุ่นได้
พ่อแม่และลูกจะเปลี่ยนวิธีการได้ทุกสัปดาห์ สัปดาห์นี้คะแนนอาจแลกเป็นเงินสัปดาห์
ต่อไปอาจจะเป็นการพาไปดูภาพยนต์ขึ้นอยู่กับการตกลงระหว่างพ่อแม่ลูก เป็นเรื่องของแต่ละครอบครั
วที่จะปรับให้เหมาะกับสภาพการณ์ของตนเอง ระบบให้คะแนนเป็นแรงเสริมที่ช่วยให้พฤติกรรมของลูก
เป็นไปในทางที่ช่วยตนเองได้ การใช้แรงเสริมประเภทดังกล่าวเป็นสิ่งที่ควรทำในระหว่าง
การฝึกอบรมขั้นแรกๆ สำหรับการเรียนรู้ให้เกิดพฤติกรรมใหม่
เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า ความสามารถของคนเรามีขีดขั้นแตกต่างกัน
งานชิ้นหนึ่งอาจง่ายสำหรับคนๆ หนึ่ง
แต่อาจยากสำหรับอีกคนหนึ่ง ถ้าเด็กแสดงความเบื่อหรือเลิกกิจกรรมก็อาจแสดงว่าขั้น
หรือระดับของงานที่ให้เขาทำนั้นอาจไม่เหมาะสำหรับเขา หรือผู้ให้ใช้แรงเสริมไม่เพียงพอ
หรืออ่อนเกินไป เช่น พ่อแม่พอใจที่ลูกเก็บของเล่นทันทีเมื่อเขาเลิกเล่น ตอนแรกๆ ก็ชม
ต่อไปก็เลิกชม เป็นต้น
คนส่วนมากรับพฤติกรรมที่ต้องการจากเด็กตามที่ตนต้องการเท่านั้น ไม่ได้จดจำไว้
เป็นแรงเสริมต่อไป จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พ่อแม่ต้องจดจำได้ว่า เมื่อเด็กมีพฤติกรรมที่เราต้องการแล้ว
ยังต้องให้แรงเสริมบ้าง แต่อาจเป็นนานๆ ครั้ง เพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ที่จะทำพฤติกรรมนั้นๆ ต่อไป
มีบางครั้งพ่อแม่ก็ใช้แรงเสริมกับพฤติกรรมที่ตนไม่ต้องการให้ลูกทำ ยกตัวอย่างเช่น
แม่ต้องรีบทำงานแต่เช้า จึงช่วยแต่งตัวให้ลูกทั้งๆ ที่ลูกทำเองได้ การทำเช่นนั้นเท่ากับแม่ใช้แรงเสริมให้ลูก
ไม่ต้องช่วยตัวเอง เด็กแม้จะแต่งตัวเองได้แต่กลับไม่แต่ง เพราะได้แรงเสริมคือ แม่ต้องมาเอาใจใส่
และช่วยเหลือ ถ้าแม่ทำหลายครั้งเข้าลูกก็จะไม่ช่วยตัวเองไปเรื่อยๆ
ในกรณีข้างต้น แม่อาจหาเวลาอื่นที่สะดวก ให้ลูกได้แต่งตัวเองโดยไม่ต้องรีบเร่งเช่นช่วงเย็นๆ
หรือในวันหยุดโดยบอกลูกว่า "วันนี้หนูแต่งตัวเองนะ เมื่อเสร็จแล้วจึงออกไปกินขนมได้"
เมื่อลูกแต่งตัวเสร็จแม่อาจชมและกอดลูก เช่นนี้ก็เท่ากับว่าแม่ใช้แรงเสริมแก่ลูกให้ลูกมีพฤติกรรมที่ต้องการ
คือช่วยตัวเองโดยไม่จำกัดเวลา
การทำโทษทำให้พฤติกรรมหยุดหรือหมดความแข็งขันไปได้เพียงชั่วระยะเวลาสั้น
ถ้าแม่รู้ว่าจะตีหรือตีลูก ลูกก็จะหยุดพฤติกรรมที่ทำให้แม่ไม่พอใจชั่วคราว หลังจากถูกทำโทษไม่นาน
ลูกก็จะตั้งต้นทำอีก การทำโทษยังทำให้แม่และลูกเกิดความไม่สบายใจต่อกันฉะนั้นการทำโทษ
จึงมิใช่วิธีการฝึกอบรมเด็กที่ดี การใช้แรงเสริมจะเป็นการฝึกอบรมเด็กที่ดีกว่า
มีแรงเสริมอีกประเภท หรือคือ การใช้ระบบ "ลูกมือฝึกหัด" ผู้ฝึกหัดจะได้คำชมเชยสำหรับงานง่ายๆ
เมื่อเขาได้เรียนรู้งานง่ายๆ แล้วก็ใช้คำชมเชยเป็นแรงเสริมที่ใช้เพื่อให้เขาทำงานในขั้นที่ยากขึ้นต่อไป
เช่น ลูกเป็นคนขี้เกียจดูหนังสือมาก แต่อาจจัดเวลาให้ลูกอ่านหนังสือสัก 10 นาที แล้วรีบชม
วันต่อๆ ไป ลูกอาจต้องอ่านหนังสือถึง 1 ชม. จึงชม เป็นต้น คือ เด็กต้องทำให้สำเร็จได้มากขึ้น
เพื่อให้ได้แรงเสริมอย่างเดียวกัน
ในขณะที่ลูกกำลังก้าวสู่ความสำเร็จที่สูงขึ้น แม่ก็อาจให้แรงเสริมเพิ่มขึ้นอีก
สำหรับความก้าวหน้าของลูก เช่น อาจชมลูกให้สมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวได้รับรู้ว่าลูกเก่งมาก
สามารถอ่านหนังสือด้วยตนเองถึงชั่วโมงแล้วนะ สมาชิกคนอื่นๆ ก็อาจมาร่วมกล่าวชมเชย
เป็นการให้แรงเสริมกับลูกอีกทางหนึ่ง
การฝึกอบรมเด็กควรเป็นงานที่ทุกคนในครอบครัวให้ความร่วมมือกันโดยช่วยกัน
"ใช้แรงเสริม" ด้วย
การใช้แรงเสริม อาจสรุปได้ดังนี้
1. ใช้แรงเสริมเพื่อจะให้พฤติกรรมนั้นมีต่อไป
2. ไม่ใช้แรงเสริมเมื่อไม่ต้องการพฤติกรรมนั้น
3. ใช้แรงเสริมทันทีที่เด็กทำพฤติกรรมที่ต้องการแล้ว เวลาที่เหมาะควรจะเป็น
ภายใน 2 นาที จะได้ผลมากที่สุด ถ้าปล่อยให้ผ่านไปถึง 5 นาที หรือกว่านั้นจึงจะกล่าวชมเชย
หรือขอบใจจะไม่มีความหมายเพราะเวลาที่ผ่านไปนั้นนานเกินคอยสำหรับเด็กเล็ก
4. ถ้าเด็กทำดีด้วยตนเอง พ่อแม่ควรให้แรงเสริมโดยการชมเชย ฯลฯ เพื่อให้เด็กเรียนรู้ว่า
นี่เป็นพฤติกรรมที่พ่อแม่ต้องการให้ลูกทำ
5. ต้องใช้แรงเสริมบ่อยๆ โดยเฉพาะในขณะที่เด็กกำลังเรียนรู้เรื่อนั้นๆ เป็นครั้งแรก
ในระยะต้นๆ ให้ใช้แรงเสริมทุกครั้งที่เด็กทำพฤติกรรมที่ผู้ใหญ่ต้องการ
คุณพ่อคุณแม่ลองพิจารณาแล้วนำไปใช้กับลูกน้อยแล้วผลที่ได้รับเป็นอย่างไร
อย่าลืมบอกเล่ากลับมาสู่กันฟังบ้างนะคะ
พ.ญ.ลำดวน นำศิริกุล
|