มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



ลูกน้อยของคุณรู้มากกว่าที่คุณคิด


ความรู้ๆ หนึ่งที่ปูทางไปสู่แนวความคิดใหม่ในการเลี้ยงดูเด็ก คือความรู้ที่ว่า
เด็กตัวน้อยๆ ที่เป็นเด็กทารกรู้อะไรมากกว่าที่คนเราเคยคิดกัน

ความรู้นี้ได้จากการค้นคว้าของบรรดานักจิตวิทยาชาวอเมริกันเมื่อสมัย 50 ปีที่แล้ว และรายหนึ่งได้พบว่าการเคลื่อนไหวของสายตาเด็กอ่อน คือการแสดงออกแทนคำพูดอย่างหนึ่ง
คือทารกอาจพูดไม่ได้ก็จริง แต่ธรรมชาติได้สร้างให้เขารู้จักแสดงความรู้สึกชอบ หรือไม่ชอบสิ่งต่างๆ ด้วยการใช้สายตาแทนคำพูด

การทดลอง คือการเอาภาพลวดลายต่างๆ ไปให้เด็กอ่อนที่ยังนอนแบเบาะดู และตรวจสอบการเคลื่อนไหวของสายตาซึ่งก็ได้ค้นพบว่าเด็กทารกตอนนั้นรู้จักแยกแยะแล้ว ตัวเองชอบอะไรและไม่ชอบอะไร
คือถ้าเอาภาพลวดลายง่ายๆ ไปให้เขาดูเขามักไม่อยากดูเขาชอบภาพที่มีลวดลายสะดุดตา และเป็นลวดลายยากๆ

รู้อย่างนี้พ่อแม่ควรทำอะไร คำตอบ คือ พ่อแม่ควรหัดพูดกับลูกด้วยสายตาและลูกยังพูดไม่ได้ และพยายามพูดต่อๆ และขณะพูดถ้าถืออะไรควรจะชูให้ดูด้วย และคอยดูปฏิกิริยา นี่คือวิธีสร้างความสัมพันธ์และผูกพันกับลูกที่จะติดตัวลูกไปตลอด

ยังรู้รสและกลิ่น

และไม่ใช่ทารกจะรู้แค่การเห็นอย่างเดียวยังรู้รสและกลิ่นที่ตัวเองชอบ การทดลองที่เคยทำกัน คือถ้าเอาน้ำหวานไปหยุดตรงปลายพื้นทารกๆ จะยิ้มและในทางตรงกันข้าม ถ้าน้ำนั้นเป็นน้ำมะนาว จะตีหน้าเหยเก
เช่นเดียวกันถ้าเอากลิ่นกล้วยหอมแตะลงบนสำลีและเอาสำลีไปแหย่ตรงปลายจมูก ทารกจะแสดงความไม่พอใจและไม่พอใจเมื่อเอากลิ่นที่เหม็น เช่นกลิ่นไข่เน่าไปแหย่

อย่างไรก็ตามประสาทตาและลิ้นไม่ใช่ประสาทส่วนแรกของทารกที่รู้จักรับ ทารกจะเริ่มได้ยินเสียง ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์และยังรู้จักแยกแยะเสียงไหนเป็นเสียงคน เสียงไหนของการไหลเวียนโลหิต และเสียงอื่นที่ต้องเป็นจังหวะ
เพราะการค้นคว้าพบว่าเด็กที่คลอดใหม่จะชอบเสียงของผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและต่อมาไม่กี่สัปดาห์จะรู้ว่า เสียงไหนเป็นเสียงของมารดา และถ้าขับกล่อมเขาด้วยเพลงที่เคยร้องให้เขาฟังตอนเขายังอยู่ในท้อง เขาจะเงี่ยหูฟัง

สายตาของเด็กที่เพิ่งคลอดไม่ค่อยสู้ดีนัก ยังมองเห็นอะไรได้ไม่มาก แต่จะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ เวลา เป็นสายตาที่ซุกซนมาก การวิจัยพบว่า แม้กระทั่งเวลาแสงไฟสลัวๆ ดวงตาของพวกเขาก็ยังเปิด หรือสอดส่องดูสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ

ครั้นพออายุ 8 สัปดาห์ เขาจะเริ่มรู้จักแยกแยะสีโดยสีที่เขาชอบที่สุดตอนนี้คือ สีแดงตามด้วยสีน้ำเงิน และพออายุ 3 เดือน การพัฒนาของสายตาของเขาจะถึงขั้นที่เขาสามารถมองในระดับ 3 มิติ คือทั้งยาว กว้างและลึก

ฉลาดตั้งแต่ก่อนเกิด

และนอกจากรู้มากกว่าที่เราคิดทารกยังรู้จักนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ซึ่งหมายถึงเขา มีความเฉลียวฉลาดเพียงพอในการแปรความรู้ให้เป็นไปในทางนั้น

ซึ่งในเรื่องของความเฉลียวฉลาด นักค้นคว้าพฤติกรรมเด็กอ่อนทุกวันนี้ต่างยอมรับ เป็นเรื่องที่เกิดก่อนเด็กจะคลอดเสียอีก เพราะเคยมีการทดลองเด็กแม้กระทั่งอายุแค่ 2 สัปดาห์ สามารถถูกสอนให้แลบลิ้นเหมือนผู้ใหญ่แลบลิ้น
และในตอนนั้นถ้าเอาหัวนมไปจ่อปากถ้ายังบอกให้แลบลิ้น ก็ยังจะไม่ดูดหัวนมจะต้องการแลบลิ้นต่อไป

หมายถึงเด็กเฉลียวฉลาดพอที่จะรู้ การกระทำดังกล่าวมีสองขั้นตอนคือ การบอกให้ทำและการทำ หมายถึงเด็กรู้จักคิดแล้วถ้าจะทำควรทำอย่างไร
ที่บอกว่าเด็กมีความเฉลียวฉลาดตั้งแต่ยังอยู่ในท้องเพราะเคยมีการทดลอง เอาเด็กอายุแค่ 2 สัปดาห์ ไปนั่งกลางห้องแล้วฉายเงามืดให้วิ่งเข้าไปใกล้ตัวเขา

ปรากฏการณ์แบบนี้เด็กทุกคนตอนวัยเก่านั้นคงยังไม่เคยประสบมาก่อน แต่กระนั้นเมื่อเห็นเงามืด เคลื่อนไม่ใกล้ตัวเขาๆ เขายังหลบ และในทางตรงกันข้าม ไม่หลบถ้าเงามืดนั้นเคลื่อนตัวไปอีกทาง

โดยสัญชาตญาณนี้ในระยะแรกจะถูกแสดงออกในรูปของปฏิกิริยาโต้ตอบแล้วค่อยๆ หายไป เมื่อสมองได้รับการพัฒนาจนเด็กสามารถสร้างสัญชาติญาณนี้ขึ้นเอง จากการมีประสาทส่วนต่างๆ เติบโตสมบูรณ์
ที่รู้เช่นนี้เพราะการทดลองพบว่าถ้าเอาเด็กเกิดใหม่ไปยืนตัวตรงบนโต๊ะ เด็กจะแสดงอาการ คล้ายกับต้องการเดินเช่นกัน ถ้าเอาไปลอยคอในน้ำก็ทำท่าอยากจะว่าย

ทั้งนี้การพัฒนาประสาทรับรู้ทั้งห้าของเด็กอ่อน จะมีช่วงสำคัญอยู่สามช่วงด้วยกันคือ ช่วง 2 เดือน ซึ่งช่วงนี้เด็กจะนอนน้อยลง ทำให้มีเวลาตื่นนานขึ้นและชอบใช้เวลาตื่นส่งยิ้มให้คนรอบข้าง เพราะเขาเริ่มรู้สึกการยิ้มทำให้เกิดบรรยากาศที่ถูกใจเขา

และพร้อมกันเขายังชอบจ้องมองมือของเขาและเหวี่ยงมือไปมาเพราะตอนนี้มือคือสิ่งพิเศษสุด สำหรับเขาเพราะเขาชักรู้มักเป็นส่วนหนึ่งของเขา และสามารถสั่งให้มันทำอะไรต่ออะไรได้

ช่วงที่สองคือ 8 เดือน ซึ่งช่วงนี้เขาจะรู้ถึงความหมายของสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวเขา รวมทั้งรู้การหายไป และการกลับมาของสิ่งต่างๆ

และช่วงสุดท้าย 1 ขวบ เด็กจะเริ่มเดินและหัดพูดรวมทั้งรู้จักความหวังซึ่งถ้าคาดหวังอะไรแล้วสมหวัง บางทีเขาจะดีใจถึงขั้นหัวเราะและเปล่งเสียงออกมา

อย่าเร่งให้โตเร็ว

อย่างไรก็ดีเด็กเกิดใหม่จะรู้อะไรมากกว่าที่เราเคยคิด และนักวิชาการคงยังแนะนำไม่ให้พ่อแม่ พยายามผลักดันลูกก่อนจะถึงวัยที่ควร เช่น สอนให้ลูกอ่านหนังสือหรือพาลูกไปสมัครเรียนดนตรี เพื่อลูกจะได้เป็นเด็กอัจฉริยะ

แทนที่จะทำเช่นนั้นพ่อแม่ควรใช้การรู้ของเด็กให้ความรักแก่เขา ความรักควรจะมาก่อน สำหรับเด็กวัยแรกเกิดถึง 1 ขวบ

หลังจากนั้นคือการให้การอบรมสั่งสอนและแสดงตัวอย่างที่ดีให้เขาเห็น พอถึง 3-4 ขวบนั่นแหละ ถึงเริ่มให้การศึกษา

ออน

(update 18 มกราคม 2001)


[ ที่มา... นิตยสารแม่และเด็ก   ปีที่ 23 ฉบับที่ 343 กันยายน 2543]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600