ความรู้ๆ หนึ่งที่ปูทางไปสู่แนวความคิดใหม่ในการเลี้ยงดูเด็ก คือความรู้ที่ว่า
เด็กตัวน้อยๆ ที่เป็นเด็กทารกรู้อะไรมากกว่าที่คนเราเคยคิดกัน
ความรู้นี้ได้จากการค้นคว้าของบรรดานักจิตวิทยาชาวอเมริกันเมื่อสมัย 50 ปีที่แล้ว
และรายหนึ่งได้พบว่าการเคลื่อนไหวของสายตาเด็กอ่อน คือการแสดงออกแทนคำพูดอย่างหนึ่ง
คือทารกอาจพูดไม่ได้ก็จริง แต่ธรรมชาติได้สร้างให้เขารู้จักแสดงความรู้สึกชอบ
หรือไม่ชอบสิ่งต่างๆ ด้วยการใช้สายตาแทนคำพูด
การทดลอง คือการเอาภาพลวดลายต่างๆ ไปให้เด็กอ่อนที่ยังนอนแบเบาะดู
และตรวจสอบการเคลื่อนไหวของสายตาซึ่งก็ได้ค้นพบว่าเด็กทารกตอนนั้นรู้จักแยกแยะแล้ว
ตัวเองชอบอะไรและไม่ชอบอะไร
คือถ้าเอาภาพลวดลายง่ายๆ ไปให้เขาดูเขามักไม่อยากดูเขาชอบภาพที่มีลวดลายสะดุดตา
และเป็นลวดลายยากๆ
รู้อย่างนี้พ่อแม่ควรทำอะไร คำตอบ คือ พ่อแม่ควรหัดพูดกับลูกด้วยสายตาและลูกยังพูดไม่ได้
และพยายามพูดต่อๆ และขณะพูดถ้าถืออะไรควรจะชูให้ดูด้วย และคอยดูปฏิกิริยา
นี่คือวิธีสร้างความสัมพันธ์และผูกพันกับลูกที่จะติดตัวลูกไปตลอด
ยังรู้รสและกลิ่น
และไม่ใช่ทารกจะรู้แค่การเห็นอย่างเดียวยังรู้รสและกลิ่นที่ตัวเองชอบ การทดลองที่เคยทำกัน
คือถ้าเอาน้ำหวานไปหยุดตรงปลายพื้นทารกๆ จะยิ้มและในทางตรงกันข้าม ถ้าน้ำนั้นเป็นน้ำมะนาว
จะตีหน้าเหยเก
เช่นเดียวกันถ้าเอากลิ่นกล้วยหอมแตะลงบนสำลีและเอาสำลีไปแหย่ตรงปลายจมูก
ทารกจะแสดงความไม่พอใจและไม่พอใจเมื่อเอากลิ่นที่เหม็น เช่นกลิ่นไข่เน่าไปแหย่
อย่างไรก็ตามประสาทตาและลิ้นไม่ใช่ประสาทส่วนแรกของทารกที่รู้จักรับ ทารกจะเริ่มได้ยินเสียง
ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์และยังรู้จักแยกแยะเสียงไหนเป็นเสียงคน เสียงไหนของการไหลเวียนโลหิต
และเสียงอื่นที่ต้องเป็นจังหวะ
เพราะการค้นคว้าพบว่าเด็กที่คลอดใหม่จะชอบเสียงของผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและต่อมาไม่กี่สัปดาห์จะรู้ว่า
เสียงไหนเป็นเสียงของมารดา และถ้าขับกล่อมเขาด้วยเพลงที่เคยร้องให้เขาฟังตอนเขายังอยู่ในท้อง
เขาจะเงี่ยหูฟัง
สายตาของเด็กที่เพิ่งคลอดไม่ค่อยสู้ดีนัก ยังมองเห็นอะไรได้ไม่มาก แต่จะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ เวลา
เป็นสายตาที่ซุกซนมาก การวิจัยพบว่า แม้กระทั่งเวลาแสงไฟสลัวๆ ดวงตาของพวกเขาก็ยังเปิด
หรือสอดส่องดูสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ
ครั้นพออายุ 8 สัปดาห์ เขาจะเริ่มรู้จักแยกแยะสีโดยสีที่เขาชอบที่สุดตอนนี้คือ สีแดงตามด้วยสีน้ำเงิน
และพออายุ 3 เดือน การพัฒนาของสายตาของเขาจะถึงขั้นที่เขาสามารถมองในระดับ 3 มิติ คือทั้งยาว
กว้างและลึก
ฉลาดตั้งแต่ก่อนเกิด
และนอกจากรู้มากกว่าที่เราคิดทารกยังรู้จักนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ซึ่งหมายถึงเขา
มีความเฉลียวฉลาดเพียงพอในการแปรความรู้ให้เป็นไปในทางนั้น
ซึ่งในเรื่องของความเฉลียวฉลาด นักค้นคว้าพฤติกรรมเด็กอ่อนทุกวันนี้ต่างยอมรับ
เป็นเรื่องที่เกิดก่อนเด็กจะคลอดเสียอีก เพราะเคยมีการทดลองเด็กแม้กระทั่งอายุแค่ 2 สัปดาห์
สามารถถูกสอนให้แลบลิ้นเหมือนผู้ใหญ่แลบลิ้น
และในตอนนั้นถ้าเอาหัวนมไปจ่อปากถ้ายังบอกให้แลบลิ้น ก็ยังจะไม่ดูดหัวนมจะต้องการแลบลิ้นต่อไป
หมายถึงเด็กเฉลียวฉลาดพอที่จะรู้ การกระทำดังกล่าวมีสองขั้นตอนคือ การบอกให้ทำและการทำ
หมายถึงเด็กรู้จักคิดแล้วถ้าจะทำควรทำอย่างไร
ที่บอกว่าเด็กมีความเฉลียวฉลาดตั้งแต่ยังอยู่ในท้องเพราะเคยมีการทดลอง เอาเด็กอายุแค่ 2 สัปดาห์
ไปนั่งกลางห้องแล้วฉายเงามืดให้วิ่งเข้าไปใกล้ตัวเขา
ปรากฏการณ์แบบนี้เด็กทุกคนตอนวัยเก่านั้นคงยังไม่เคยประสบมาก่อน แต่กระนั้นเมื่อเห็นเงามืด
เคลื่อนไม่ใกล้ตัวเขาๆ เขายังหลบ และในทางตรงกันข้าม ไม่หลบถ้าเงามืดนั้นเคลื่อนตัวไปอีกทาง
โดยสัญชาตญาณนี้ในระยะแรกจะถูกแสดงออกในรูปของปฏิกิริยาโต้ตอบแล้วค่อยๆ หายไป
เมื่อสมองได้รับการพัฒนาจนเด็กสามารถสร้างสัญชาติญาณนี้ขึ้นเอง จากการมีประสาทส่วนต่างๆ เติบโตสมบูรณ์
ที่รู้เช่นนี้เพราะการทดลองพบว่าถ้าเอาเด็กเกิดใหม่ไปยืนตัวตรงบนโต๊ะ เด็กจะแสดงอาการ
คล้ายกับต้องการเดินเช่นกัน ถ้าเอาไปลอยคอในน้ำก็ทำท่าอยากจะว่าย
ทั้งนี้การพัฒนาประสาทรับรู้ทั้งห้าของเด็กอ่อน จะมีช่วงสำคัญอยู่สามช่วงด้วยกันคือ ช่วง 2 เดือน
ซึ่งช่วงนี้เด็กจะนอนน้อยลง ทำให้มีเวลาตื่นนานขึ้นและชอบใช้เวลาตื่นส่งยิ้มให้คนรอบข้าง
เพราะเขาเริ่มรู้สึกการยิ้มทำให้เกิดบรรยากาศที่ถูกใจเขา
และพร้อมกันเขายังชอบจ้องมองมือของเขาและเหวี่ยงมือไปมาเพราะตอนนี้มือคือสิ่งพิเศษสุด
สำหรับเขาเพราะเขาชักรู้มักเป็นส่วนหนึ่งของเขา และสามารถสั่งให้มันทำอะไรต่ออะไรได้
ช่วงที่สองคือ 8 เดือน ซึ่งช่วงนี้เขาจะรู้ถึงความหมายของสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวเขา รวมทั้งรู้การหายไป
และการกลับมาของสิ่งต่างๆ
และช่วงสุดท้าย 1 ขวบ เด็กจะเริ่มเดินและหัดพูดรวมทั้งรู้จักความหวังซึ่งถ้าคาดหวังอะไรแล้วสมหวัง
บางทีเขาจะดีใจถึงขั้นหัวเราะและเปล่งเสียงออกมา
อย่าเร่งให้โตเร็ว
อย่างไรก็ดีเด็กเกิดใหม่จะรู้อะไรมากกว่าที่เราเคยคิด และนักวิชาการคงยังแนะนำไม่ให้พ่อแม่
พยายามผลักดันลูกก่อนจะถึงวัยที่ควร เช่น สอนให้ลูกอ่านหนังสือหรือพาลูกไปสมัครเรียนดนตรี
เพื่อลูกจะได้เป็นเด็กอัจฉริยะ
แทนที่จะทำเช่นนั้นพ่อแม่ควรใช้การรู้ของเด็กให้ความรักแก่เขา ความรักควรจะมาก่อน
สำหรับเด็กวัยแรกเกิดถึง 1 ขวบ
หลังจากนั้นคือการให้การอบรมสั่งสอนและแสดงตัวอย่างที่ดีให้เขาเห็น พอถึง 3-4 ขวบนั่นแหละ
ถึงเริ่มให้การศึกษา
ออน
|