คุณแม่ต่างก็ทราบกันดีแล้วว่า " น้ำนมแม่ " เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก
เป็นวิธีการให้อาหารตามหลักธรรมชาติ แต่ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน
ทำให้คุณแม่หลายท่านต้องตัดใจยุติการให้นมลูกด้วยตนเองก่อนเวลาอันควร อีกทั้งเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น
ทำให้มีการผลิตอาหารมาทดแทนน้ำนมแม่กันมากขึ้น แต่ยังคงยืนยันว่าไม่มีอาหารใดในโลก
ที่จะผลิตออกมาได้เหมือน " น้ำนมแม่ " ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ และไม่มีท่าอุ้มใดที่ทารกจะอบอุ่น
และรู้สึกปลอดภัยเท่าท่าอุ้มขณะให้นมจากอกแม่
หลายๆ ท่านยังเข้าใจว่าการให้นมแม่เป็น " สัญชาตญาณของคนหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม "
จึงไม่จำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้เมื่อคลอดลูกได้ก็จะทำเป็นเอง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด
อันที่จริงแล้วการให้นมลูกถือเป็นพฤติกรรมหนึ่งที่คุณแม่ต้องศึกษาและเรียนรู้วิธีการที่ถูกต้อง
เพื่อให้ทารกได้รับนมอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
คุณแม่ควรเริ่มต้นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ภายในครึ่งชั่วโมงแรกที่ทารกคลอดออกมา
ดังนั้นสถานพยาบาลที่เข้าใจในเรื่องนี้ดีมักจะให้ทารกและคุณแม่อยู่ห้องเดียวกัน
ก่อนที่จะกล่าวถึงวิธีการให้นมที่ถูกต้องต่อการให้นมแม่ก่อนเริ่มต้นด้วยการกำจัดความเชื่อ
และความเข้าใจที่ผิดๆ ออกไปก่อนความเชื่อเหล่านี้ได้แก่
- การให้นมลูกทำให้เต้านมหย่อนยาน ข้อเท็จจริงก็คือ เต้านมหย่อนยานเกิดจากอายุของคุณแม่มากกว่า
และปัญหานี้จะหมดไปด้วยการใช้ชุดชั้นในประคองทรวงอกที่จำหน่ายทั่วไป
- คุณแม่มีเต้านมขนาดเล็กจะมีน้ำนมไม่เพียงพอ ข้อเท็จจริงก็คือ
แม้ว่าคุณแม่จะมีขนาดเต้านมเล็กก็จริงแต่ยังคงมีต่อมน้ำนมไม่แตกต่างจากคุณแม่
ที่มีเต้านมขนาดใหญ่ ยิ่งเมื่อทารกดูดนมจะยิ่งกระตุ้นให้มีการสร้างน้ำนมเพิ่มขึ้น
จึงมีน้ำนมเพียงพอให้ทารกตลอดเวลา
- การให้ลูกดูดนมจะทำให้ความรู้สึกทางเพศลดลง ข้อเท็จจริงคือคุณแม่ที่ให้ลูกดูดนม
กลับจะมีความรู้สึกทางเพศดีกลับสู่สภาพปกติเร็วกว่าคุณแม่ที่ไม่ให้ลูกดูดนม
- การที่คุณแม่ไม่มีน้ำนมให้ลูกดูดเป็นสิ่งปกติ เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด
เพราะปกติคุณแม่ควรจะมีน้ำนมให้ลูกดูดเพียงพอเพียงแต่แม่ต้องใส่ใจ
เริ่มต้นให้ลูกดูดนมเร็ว เพราะปกติคุณแม่ควรจะมีน้ำนมให้ลูกดูดเพียงพอ
เพียงแต่คุณแม่ต้องใส่ใจเริ่มต้นให้ลูกดูดนมเร็ว (ภายในหนึ่งชั่วโมงหลังคลอด)
ขึ้นและบ่อยขึ้น การที่ลูกดูดนมจะช่วยให้คุณแม่น้ำนมมากพอ
(เนื่องจากมีการกระตุ้นจากแรงดูดของลูก)
ถึงตอนนี้คุณแม่คงกำจัดความเชื่อผิดๆ ออกไปได้แล้ว ท่านก็สามารถให้ลูกดูดนม
ได้อย่างสบายใจต่อไปเราจะมาเล่าถึงการดูแลเต้านมคู่สวยของคุณแม่ให้สามารถเป็นแหล่งอาหาร
ของทารกไปนานๆ เริ่มต้นด้วย
หัวนมปกติที่ทารกจะดูดได้ก็คือ หัวนมที่ยื่นออกมา แต่คุณแม่หลายท่านประสบปัญหา "หัวนมบอด"
ซึ่งทำให้ไม่สามารถให้ลูกดูดนมได้อย่างปกติ แต่ปัญหานี้แก้ไขได้ไม่ยากสามารถเตรียมแก้ไข
ตั้งแต่ก่อนคลอดโดยใช้อุปกรณ์ที่ทำด้วยพลาสติกรูปครึ่งวงกลม (คล้ายซาลาเปา) ที่มีรูระบายอากาศอยู่ด้านบน
(ยอดซาลาเปา) และมีรูขนาดเท่าหัวนมแม่อยู่ตรงฐานซาลาเปา เรียกว่า Breast Cup หาซื้อได้
ตามห้างสรรพสินค้าที่ขายอุปกรณ์สำหรับแม่และเด็กทั่วไป
วิธีใช้ก็คือ Breast Cup นี้สวมครอบไว้ที่หัวนมแล้วสวมเสื้อยกทรงทับอีกทีอุปกรณ์จะไปกดที่ลานนม
(ฐานของหัวนม) ทำให้หัวนมกระเด้งออกมาโดยใส่เป็นเวลาสั้นๆ 1-2 ชั่วโมงก่อน เมื่อเคยชินแล้วค่อยๆ
เพิ่มเวลาขึ้นเรื่อยๆ จนหัวนมยื่นออกมาถาวร ระยะเวลาที่ใช้มีตั้งแต่ 1 เดือน 3 เดือน
ดังนั้นคุณแม่ควรเริ่มใช้ Breast Cup ตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้ 6 เดือน เมื่อครบกำหนดคลอด
หัวนมจะยื่นออกมาพอดี
ปกติหัวนมและลานนมเป็นผิวหนังที่บอบบางไม่เหมาะที่จะใช้สบู่ล้างหรือนำแอลกอฮอล์ไปเช็ดถู
เพราะจะทำให้ผิวหนังแห้งแตก คุณแม่จะเจ็บปวดหัวนมได้ การทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าทุกครั้ง
หลังให้นมลูกก็เพียงพอแล้วค่ะ
- การรักษาเต้านมไม่ให้หย่อนยาน
คุณแม่จะสังเกตได้ว่าขณะตั้งครรภ์และให้นมลูก เต้านมจะมีขนาดใหญ่กว่าปกติมาก
โดยเฉพาะช่วงให้นมลูกขนาดจะใหญ่ขึ้น 3-4 เท่า คุณแม่มักจะกังวล ว่าเต้านมจะหย่อนยานก่อนวัยอันควร
ปัญหานี้แก้ไขได้ง่ายด้วยการใช้เสื้อยกทรงที่ขนาดพอดีกับเต้านม เลือกชนิดที่มีโครงพยุงทรง
โดยใส่ทั้งกลางวันและกลางคืน
เชื่อว่าคุณแม่หลังคลอดเกือบทุกคนจะมีอาการคัดตึงที่เต้านมหลังคลอดได้ 3-4 วัน
สาเหตุเนื่องจากการเร่งสร้างน้ำนมจนถุงน้ำนมโป่งเบียดให้ท่อน้ำนมตีบลงก็เลยรู้สึกคัดตึง
การแก้ไขทำได้หลายวิธี วิธีที่ทำได้ง่ายที่สุดคือ ให้ลูกดูดนมบ่อยขึ้นหรือดูดทันทีที่มีอาการคัดตึง
หรือใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบที่เต้านม ดื่มน้ำอุ่นๆ หรือถ้าลูกดูดนมจนอิ่มแปล้แล้วยังมีอาการคัดตึงอยู่
ให้คุณแม่ปั๊มน้ำนมออกเท่านี้ก็หายจากอาการคัดตึงแล้วค่ะ
อาการนี้พบได้กับคุณแม่ทุกคน สาเหตุหลักๆ เกิดจากการดูดนมของลูกไม่ถูกท่า
เหงือกของทารกจึงเสียดสีกับหัวนม ท่าที่ถูกต้องคือ คุณแม่ต้องอุ้มลูกให้กระชับอก ให้ลูกงับถูกลานนม
โดยคุณแม่ใช้มือคอยพยุงเต้านมไว้เมื่อลูกอิ่ม จะเอาหัวนมออกจากปากลูก ให้ใช้นิ้วสอดลงไปที่มุมปากลูก
เพื่อให้อากาศเข้าไป ช่วยคลายผนึกที่ลูกดูดติดอยู่กับหัวนม ทำให้คุณแม่ไม่เจ็บด้วย อย่างไรก็ตาม
หากเกิดอาการเจ็บขึ้นแล้วถ้าพอทนได้ ควรให้นมต่อไปแต่เปลี่ยนท่าอุ้มเพื่อหาตำแหน่ง
ของการกดเหงือกบนหัวนมของลูกที่ถูกต้องจนหายเจ็บไปเอง
หลายๆ ท่านจะรู้สึกรำคาญเนื่องจากมีน้ำนมไหลซึมอยู่ตลอดเวลา วิธีแก้ไขก็คือ
เปลี่ยนผ้าซับน้ำนมบ่อยๆ แต่ไม่ควรใช้ผ้าซับน้ำนมชนิดที่บุด้วยพลาสติก
เพราะความชื้นจะไม่ระเหยออกไป
นอกจากการดูแลเต้านมของคุณแม่ แล้วใคร่ขอแนะนำหลักการให้นมลูกเพิ่มเติม ดังนี้
- ไม่ควรให้อาหารอื่นทดแทนน้ำนมแม่ เช่น นมสูตรทารก น้ำเปล่า เพราะจะทำให้ทารกอิ่ม
ดูดนมแม่ได้น้อยลง
- ไม่ควรให้ลูกดูดหัวนมหลอกเพราะจะทำให้ลูกเลิกดูดนมแม่เร็วขึ้น
- การให้ลูกดูดนมแต่ละครั้งควรให้ดูดทั้ง 2 เต้า โดยดูดเต้าแรกให้หมดก่อนจึงเปลี่ยนมาดูดอีกเต้าหนึ่ง
แต่ถ้าลูกอิ่มก่อน การดูดครั้งถัดไปให้เริ่มจากเต้าที่ดูดค้างไว้คราวก่อนหน้าจนหมดแล้วจึงเปลี่ยนเต้า
- คุณแม่ต้องระมัดระวังดูแลสุขภาพ ต้องพักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่เครียดเพราะอาการอ่อนเพลีย,
เครียด ทำให้น้ำนมไม่ไหล
- ระหว่างการให้นมลูกและระยะหลังคลอดคุณแม่ควรได้รับอาหารดีๆ มีประโยชน์พยายามดื่มน้ำอุ่นมากๆ
เพื่อให้มีน้ำนมที่มีคุณภาพและเพียงพอ
- ให้ลูกดูดนมสม่ำเสมอเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายแม่สร้างฮอร์โมนสำหรับผลิตน้ำนมมากๆ
- การใช้ยาต่างๆ ระหว่างที่ให้นมลูกควรใช้อย่างระมัดระวัง ปรึกษาผู้รู้ก่อนใช้ สำหรับเรื่องยาใดบ้างใช้ได้
ยาใดใช้ไม่ได้ไว้เราจะมาคุยกันต่อไปในฉบับหน้าค่ะ
นอกจากนี้ยังมีหลายท่านข้องใจว่า ถ้าคุณแม่บังเอิญต้องไปทำธุระนอกบ้าน
ไม่สามารถนำทารกไปด้วยได้จึงบีบนมใส่ขวดทิ้งไว้ จะเก็บรักษาอย่างไรจึงจะถูกวิธี ใคร่ขอแนะนำว่า
เริ่มต้นด้วยการฆ่าเชื้อโรคที่ขวดนมก่อน แล้วบีบน้ำนมใส่ขวดปริมาณเท่ากับอาหาร 1 มื้อของทารก
เก็บใส่ตู้เย็นไว้ในช่องปกติ เก็บได้นาน 24 ชม. แต่ถ้าแช่ช่องแข็งเก็บได้นานถึง 2 สัปดาห์
ก่อนจะบีบน้ำนมใส่ขวด ทุกครั้งคุณแม่ควรบีบทิ้ง 2-3 ครั้งแรกก่อน ส่วนวิธีการบีบที่ถูกต้องก็คือ
การนวดเต้านมเบาๆ เพื่อกระตุ้นกลไกของน้ำนมให้ทำงาน (มีแรงพุ่ง) ขณะบีบให้ใช้นิ้วหัวแม่มือวางด้านบน
นิ้วชี้วางไว้ด้านล่างของลานนมแล้วกดทั้งสองนิ้วเข้าหาลำตัวเล็กน้อยพร้อมบีบเข้าหากันเป็นระยะ
จะมีน้ำนมพุ่งออกมาโดยไม่เจ็บเลยค่ะ
ฉบับนี้เราคุยกันเฉพาะเรื่องของ "เต้านม" กับ "น้ำนม" ฉบับหน้าจะคุยกันถึงเรื่องของ "ยา"
ที่คุณแม่ใช้ว่าจะถ่ายทอดไปยังทารกทาง "น้ำนม" อย่างไรกันบ้าง มีอันตรายหรือไม่โปรดติดตามนะคะ
ภญ.ยุวดี หงส์รัตนาวรกิจ
|