องศาร้อย
กระแสต่อต้านการดื่มนมวัวกำลังคืบคลานเข้ามาในไทย ทำให้ผู้ปกครองหลายคนตกใจ
กระแสนี้เกิดที่สหรัฐอเมริกา ที่นั่นผู้คนกำลังเป็นโรคกลัวนมวัวกันมาก มีการรณรงค์ทั่วไปเพื่อให้คนอเมริกัน
เลิกบริโภคนมวัว และหันไปบริโภคผลไม้และผักแทน ความกลัวในเรื่องดังกล่าวในหมู่คนอเมริกัน
มีสาเหตุมาจากชายคนเดียวที่ชื่อ T. Colin Campbell เขาเป็นนักชีวเคมีโภชนาการวัย 66 ปี
ที่เป็นริเริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับผลเสียของการดื่มนมวัว
เรื่องแปลกเกี่ยวกับตัวเขาคือ เขาเคยเป็นนักนิยมนมวัวมาก่อน มีความผูกพันกับนมวัวตั้งแต่เด็ก
เพราะครอบครัวของเขาเลี้ยงวัวนมและต้องตื่นเช้าเพื่อรีดนม ครั้นพอโตขึ้น เข้าเรียนมหาวิทยาลัยวิชา
ที่เขาเลือกเรียนเป็นผู้เชี่ยวชาญก็มีความเกี่ยวข้องกับนมวัว นั่นคือวิชาสารอาหารจากสัตว์
ทัศนะของ Campbell ต่อนมวัวเปลี่ยนไป เมื่อเขาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่องค์การช่วยเหลือต่างประเทศ
ของรัฐบาลสหรัฐ ประจำประเทศฟิลิปปินส์ ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 60 ที่นั่นเขาได้รับรู้ถึงเรื่องราวแปลกประหลาด
เกี่ยวกับการตายจากโรคมะเร็งตับของเด็กฟิลิปปินส์ยากจน ที่เกิดจากการกินถั่วลิสงที่มีสารอัลฟาท็อกซินปนเปื้อน
การตายจากโรคดังกล่าว เกิดขึ้นนานแล้ว เพราะถั่วลิสงเป็นอาหารที่พ่อแม่ฟิลิปปินส์นิยมซื้อให้ลูกบริโภค
และสำหรับครอบครัวที่ยากจน ถั่วลิสงที่ซื้อกัน มักเป็นถั่วลิสงตกค้าง มีเชื้อราที่เป็นตัวก่อสารดังกล่าว
มีการวิจัยอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการเสียชีวิตแบบนี้ของเด็กฟิลิปปินส์ และงานวิจัยหนึ่งที่ทำให้เขาต้องตะลึงที่สุดคือ
เด็กที่มีฐานะก็ตายด้วยโรคมะเร็งตับได้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่จากการกินถั่วลิสงปนเปื้อน ตัวการที่น่าสงสัยคือ นมผง
ที่รัฐบาลสหรัฐส่งไปช่วยเหลือ และเด็กพวกนี้ได้ดื่มนมเหล่านี้ เวลาไปโรงเรียน ที่น่าสงสัยเพราะเด็กที่พ่อแม่มีฐานะในฟิลิปปินส์
ไม่เคยตายด้วยโรคมะเร็งตับเป็นจำนวนมากมาก่อน และเป็นการตาย ที่เกิดภายหลังการส่งนมผงเข้าไปช่วยเหลือ

มันเป็นการสงสัยที่ทำให้เขาสุดแสนฉงนเพื่อค้นหาคำตอบ เขาใช้เวลาว่างอ่านเอกสารวิจัย
ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมะเร็งตับกับการดื่มนมวัว จนพบงานวิจัยงานหนึ่งในอินเดีย
ที่โยงการเกิดมะเร็งตับในหนูทดลอง ไปที่สารคาซีน (casein) ซึ่งเป็นโปรตีนตัวหลักในนมวัว
หลังจากนั้น เขาได้ทุ่มเทเวลากว่า 30 ปี พิสูจน์งานวิจัยชิ้นนี้ โดยในการพิสูจน์ Campbell
ได้ให้หนูที่เขาใช้ทดลองได้สัมผัสกับสารอัลฟาท็อกซิน จนร่างกายได้รับสารจากนั้นจึงป้องกันสารคาซีน
ให้กินเป็นประจำ ผลคือ ทุกตัวต้องเป็นโรคมะเร็งตับ แต่เขาไม่ได้หยุดการพิสูจน์ไว้แค่นั้น
การพิสูจน์ได้ดำเนินต่อมา จนกระทั่งสามารถบังคับให้หนูทดลองเป็น หรือไม่เป็นมะเร็งตับ
และถ้าเป็นให้หายจากโรคหรือไม่ให้หาย
การทดลองในหนูจะมีผลเหมือนกับในมนุษย์หรือไม่ เรื่องนี้ยังเป็นที่ถกเถียงเพราะปกติแล้ว
หนูในห้องทดลองจะไม่เป็นมะเร็ง ถ้าไม่ได้รับการป้อนด้วยสารก่อมะเร็งเกินขนาดๆ ของสารคาซีน
ที่ Campbell ป้อนให้หนูทดลองในแต่ละวัน ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จะเท่ากับ 15-20 เปอร์เซ็นต์
ของปริมาณสารอาหารทั้งหมด ซึ่งน่าจะสูงเกินไป เพราะปกติแล้ว เปอร์เซ็นต์ของโปรตีนที่ชาวอเมริกันบริโภคในแต่ละวัน
จะตกแค่ 17 เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะเป็นชนิดคาซีน หรือชนิดอะไรก็ตาม
ซึ่งเรื่องนี้ Campbell ตอบกลับว่าการทดลองของเขาพบว่า สารคาซีนเพียง 10 เปอร์เซ็นต์
ของปริมาณสารอาหารทุกชนิดในแต่ละวัน ก็สามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งตับ
นอกจากมะเร็งตับแล้ว ต่อมาการวิจัยของ E.J. Hawrylewicz นักชีวเคมีโภชนาการ
และผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยแห่งโรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์ Mercy Hospital and Medical Center
ในชิคาโกก็พบว่า หนูทดลองที่ได้รับการป้อนด้วยสารคาซีน จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านม
สูงกว่าหนูที่ได้รับการป้อนด้วยสารแบบเดียวกัน ที่ได้จากถั่วเหลือง
เขาออกตัวว่า การวิจัยของเขาคงไม่ได้บ่งบอกคนจะเป็นมะเร็งเต้านมถ้าบริโภคสารคาซีน
เพราะการป้อนสารคาซีนให้หนูทดลองเพื่อเกิดมะเร็งที่เต้านม เขาจะต้องป้อนในปริมาณสูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์
ของปริมาณสารอาหารทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องเกิดไม่ได้ในคน เพราะคนมักได้โปรตีนจากหลายแหล่ง
ไม่ใช่จากนมวัวแหล่งเดียว และไม่ได้ดื่มนมวัวกันมากมายจนได้รับคาซีนมากขนาดนั้น

แต่ถึงกระนั้นผลของการดื่มนมวัวต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ก็กำลังได้รับการยอมรับมากขึ้น
ในหมู่แพทย์และนักโภชนวิทยา และคนหนึ่งที่เป็นคนขี้ให้เห็นภัยนี้ก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นนาย Campbell นั่นเอง
เพราะในช่วงคริสต์ทศวรรษ 80 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการโครงการวิจัย China-Oxford-Cornell
ซึ่งจัดทำโดยรัฐบาลจีน มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดและมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์
เพื่อวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างการกินอาหารของคนจีนในชนบทจำนวน 6,500 ครอบครัวกับการเป็นโรคต่างๆ
ชาวชนบทพวกนี้ส่วนใหญ่ยากจนและแทบไม่เคยดื่มนม
ซึ่งข้อมูลหนึ่งที่ทำให้เขาต้องตะลึงอีกครั้งคือ หญิงชาวจีนชนบท วัยระหว่าง 35-64 ปี
ซึ่งเป็นวัยที่มักเป็นมะเร็งเต้านมกันมากที่สุด พวกนี้มีเพียง 8.7 คน ต่อจำนวน 100,000 คน
ได้ตายจากโรคมะเร็งในเต้านม เทียบกับถึง 44 ต่อ 100,000 คนที่เป็นหญิงอเมริกันวัยเดียวกัน
และถ้าเอาตัวเลขดังกล่าวของหญิงจีนชนบท ไปเทียบกับของหญิงในประเทศอื่นที่ดื่มนมปริมาณมากเช่นกัน
คือประเทศในกลุ่มสะแกนดิเนเวีย ผลก็จะออกมาเหมือนกัน
ต่อจากมะเร็งตับและเต้านม คือมะเร็งต่อมลูกหมาก การวิจัยเกี่ยวกับผลของการดื่มนม
ต่อการเป็นโรคมะเร็งดังกล่าว ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2520 โดยเป็นการวิจัยที่พบว่า
ผู้ชายในประเทศตะวันตกตายด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในอัตราสูงถึง 10 ต่อ 1 เมื่อเทียบกับในประเทศเอเชีย
แต่ผลของการวิจัยครั้งนั้น ไม่ค่อยได้รับการยอมรับเท่าไหร่ เพราะทำกันในวงกว้างเกินไป
ตัวเลขอาจไม่ได้รับการตรวจสอบเท่าที่ควร และอาจมีประเด็นอื่นที่ยังไม่ทราบกันเป็นตัวการเสริม
อย่างไรก็ตาม ในระยะไม่กี่ปีมานี้มีงานวิจัยสองชิ้นที่ชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ของข้อสงสัยข้อนี้
นั่นคือการวิจัยที่ชื่อว่า Physicians Health Study และ Health Professionals Follow-Up Study
ซึ่งทำโดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
การวิจัยทั้งสองชิ้นใช้ข้อมูลจากการศึกษาพฤติกรรมการกินอาหารของอาสาสมัครที่เป็นนายแพทย์ชาวสหรัฐ
โดยในส่วนของชิ้นแรก ในเวลาศึกษานานกว่า 10 ปี มีอาสาสมัครจำนวน 20,885 คน ผลคือ
พวกที่บริโภคอาหารนมเฉลี่ยวันละ 21/2 ถ้วยเสิร์ฟ เป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก สูงกว่าพวกที่บริโภค
วันละ 1/2 ถ้วยเสิร์ฟ ถึง 30 เปอร์เซ็นต์
และในส่วนของชิ้นที่สอง ซึ่งสำเร็จลงเมื่อปีที่แล้ว และมีอาสาสมัครเกือบ 50,000 คน
พบว่านายแพทย์ผู้ที่บริโภคอาหารนมเกินอัตราปกติ จะมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคดังกล่าวสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์
มิหนำซ้ำถ้าคนไหนกินแคลเซี่ยมเสริมจนปริมาณแคลเซี่ยมทีได้รับในแต่ละวันสูงกว่า 2,000 มิลลิกรัม
อัตราเสี่ยงจะสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ คือ 4 เท่า
ผลการวิจัยทั้งสองชิ้น แม้จะยังไม่ได้ชี้ชัดเจนว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ได้ทำให้ผู้สันทัดกรณีหลายคนวิตก
คนหนึ่งคือ Edward Giovannucci ซึ่งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาโภชนศาสตร์และระบาดวิทยา
แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและคนหนึ่งที่ร่วมเขียนรายงานของสองการวิจัย
เขาเชื่อว่า การที่คนบริโภคนมในปริมาณสูง ต้องเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
อาจเป็นเพราะปริมาณแคลเซียมที่มากกว่าปกติ ได้เข้าไปทำลายระดับของวิตามินดี
ที่ทำหน้าที่คุ้มกันต่อมลูกหมากให้ปลอดจากโรค
แล้วก็มาถึงปริศนาโรคกระดูกเสื่อมซึ่งกำลังเป็นเรื่องชวนปวดหัวในหมู่นักวิจัยโรคนี้ในสหรัฐ เชื่อว่า
พ่อแม่ทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า นมนั้นมีประโยชน์ต่อกระดูก เพราะมีแคลเซียมสูง แต่คงไม่ค่อยทราบกัน
คนในประเทศที่ดื่มนมเป็นประจำ มีอัตราการเป็นโรคกระดูกทั้งกระดูกเสื่อมและหักสูงกว่าในประเทศไม่ดื่ม
และบุคคลแรกที่ค้นพบปริศนานี้ก็คือนาย Campbell ไม่ใช่ใคร โดยเขาค้นพบระหว่างที่เป็นผู้อำนวยการ
โครงการดังกล่าวนั่นเอง หลักฐานที่เขาพบก็คือชาวจีนชนบทไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคกระดูก
แม้จะไม่ได้ดื่มนมกันเลยแต่ได้รับแคลเซียมส่วนใหญ่จากผลไม้และผัก
นอกจากนี้แล้วพวกที่เป็นผู้หญิงวัย 50 ขึ้นไป ยังมีกระดูกสะโพกหักน้อยมากคือเพียง 20 เปอร์เซ็นต์
ของจำนวนหญิงตะวันตกที่กระดูกสะโพกมีปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากในยุคที่โรคกระดูก
กำลังเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญกล่าวคือ เฉพาะในประเทศสหรัฐแห่งเดียวประมาณกันว่า
มีหญิงชายชาวอเมริกันที่เป็นโรคกระดูกจำนวนถึง 10 ล้านคน
และในจำนวนนี้ ถ้าเป็นผู้หญิง 1 ใน 2 คน เคยมีกระดูกสะโพกหัก ส่วนถ้าเป็นผู้ชายจะพบได้ 1 ใน 8 คน
และพวกที่กระดูกสะโพกเคยหักเหล่านี้ ส่วนใหญ่ไม่สามารถเรียกคืนสภาพแคล่วคล่องว่องไวกลับมาได้
และ 1 ใน 5 ต้องเสียชีวิตภายใน 5 ปี
นาย Campbell สงสัยเหตุที่คนจีนชนบท ไม่ค่อยเป็นโรคกระดูก คงเป็นเพราะร่างกายมีการดูดซึมแคลเซียมดีกว่า
หรือเพราะได้แคลเซียมจากผักผลไม้ ที่เป็นแคลเซียมที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ดีกว่า ซึ่งในประเด็นนี้เขาเสริมว่า
เป็นที่ทราบกันดี แคลเซียมจากนมวัวมีสารโปรตีนบางชนิดและโซเดียมที่กินแคลเซียมในกระดูกคนเป็นอาหาร
และอีกเหตุผลของเขาคือ คงเป็นเพราะคนจีนชนบททั้งหญิงชายต้องทำงานกลางแจ้งเป็นประจำ
ได้ออกกำลังเป็นประจำซึ่งตรงนี้ได้เข้าไปทดแทนการที่ร่างการได้รับแคลเซียมน้อยกว่าคนตะวันตก
การค้นพบของนักวิชาการผู้นี้ ได้รับการศึกษากันมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เรียกได้ว่า ทำกันในทุกระดับ
และทุกภูมิภาคทั่วโลก ในจำนวนนี้ที่น่าสนใจและชวนฉงนที่สุด ได้แก่การวิจัยที่ค้นพบว่า
คนในประเทศที่ดื่มนมมากที่สุด ซึ่งได้แก่แถบทวีปอเมริกาเหนือ และยุโรปเหนือ ได้รับแคลเซียมในปริมาณ
มากกว่า 2-3 เท่า เมื่อเทียบกับคนในประเทศที่ดื่มนมน้อยที่สุด ซึ่งได้แก่แถบทวีปเอเชียและอัฟริกา
แต่ถึงกระนั้นพวกที่ดื่มนมมาก ยังต้องเสี่ยงกับการมีกระดูกสะโพกหักมากกว่าพวกดื่มน้อยถึง 2-3 เท่าเช่นกัน
อยากจะให้ดูตัวอย่างสักเล็กน้อยคือในบรรดา 10 ประเทศ ที่มีการเก็บตัวเลขแบบต่อเนื่อง
ประเทศที่มีคนเป็นโรคกระดูกเสื่อมจนถึงขั้นกระดูกสะโพกหักน้อยที่สุด คือ 20 คนต่อ 100,000 คน
ได้แก่ สิงคโปร์ซึ่งประชากรได้รับแคลเซียมเฉลี่ยเพียงวันละ 500 มิลลิกรัม เทียบกับสหรัฐฯ
ที่มีคนกระดูกสะโพกหักมากที่สุด ในอัตรา 100 คน ต่อ 100,000 ประชากรในประเทศนี้
ได้รับแคลเซียมเฉลี่ยวันละ 900 มิลลิกรัม

เป็นอย่างไรบ้าง อ่านแล้วกลัวหรือไม่ ก็เลยอยากบอกว่า อย่าเพิ่งกลัว นักโภชนาการส่วนใหญ่
ยังเชื่อกันว่า นมวัวเป็นอาหารที่มีประโยชน์ คือถ้านับจำนวนของฝ่ายที่ถือหางกับต่อต้าน
จำนวนของฝ่ายแรกยังสูงกว่ามากและการวิจัยต่างๆ ที่กล่าวร้ายต่อนมวัว ยังเป็นการวิจัยที่ยังไม่เด็ดขาด
คือยังต้องการการวิจัยเพิ่มเติม ซึ่งกินเวลาอีกนานกว่าจะยุติเพราะมีข้อปลีกย่อยมากมายที่ยังไม่ได้ลงไปลึก
ยกตัวอย่างกรณีของชาวจีนชนบท ข้อปลีกย่อยข้อหนึ่งคือการเลี้ยงดู พวกนี้แทบทุกคน
เมื่อตอนเป็นทารกได้รับการเลี้ยงดูด้วยนมแม่ และเลี้ยงดูนานเสียด้วยเมื่อเทียบกับคนตะวันตก
เขียนอย่างนี้คงยังไม่หายกลัว ก็เลยต้องบอกว่า ท่ามกลางการถกเถียงอย่างหน้าดำหน้าแดงของทั้งสองฝ่าย
มีคนๆ หนึ่งที่เข้าไปศึกษาผลของการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาคือ Robert Heaney ศาสตราจารย์วิชาการแพทย์
และวิชาชีววิทยากระดูก แห่งมหาวิทยาลัย Creighton ประเทศสหรัฐ
เขาแถลงว่า จากงานวิจัยจำนวน 40-45 ชิ้น ที่วิจัยแบบควบคุม คือผู้วิจัยตรวจสอบตลอดเวลา
ปริมาณแคลเซียมที่อาสาสมัครได้รับในแต่ละวัน กับการเป็นโรคกระดูก มีเพียงสองชิ้นเท่านั้น
ที่สรุปในเชิงผลเสีย และในจำนวนงานวิจัย 80 ชิ้น ที่ทำแบบไม่ควบคุม คือใช้ข้อมูลที่ได้รับ
จากการรายงานของอาสาสมัคร มีเพียง 20-25 เปอร์เซ็นต์ ที่สรุปในแง่ไม่ดี ดังนั้นถ้ากล่าวโดยรวมๆ แล้ว
การวิจัยเหล่านี้พบว่า คนที่ดื่มนมวัวจะเป็นโรคกระดูกน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่ม
ต่อไปนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ในฐานะที่เคยอ่านเรื่องราวของผู้ที่นิยมวัวกับผู้ที่เกลียด
มาเป็นเวลานานถ้านมวัวจะมีบุญคุณสูงสุด ต่อคนชาติใดชาติหนึ่ง คนชาตินั้นเห็นจะเป็นญี่ปุ่น
คือก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 คนญี่ปุ่นไม่ดื่มนม มาดื่มเมื่อหลังสงคราม ตอนที่ประเทศถูกกองทัพสหรัฐ
ยึดครอง ในช่วงนี้ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับภาวะอดยาก เพื่อแก้ปัญหานี้ และเพื่อส่งเสริมให้พ่อแม่ญี่ปุ่น
นิยมส่งลูกไปโรงเรียนกองทัพยึดครองสหรัฐ ได้ประกาศใช้นโยบายให้อาหารกลางวันฟรีแก่เด็กญี่ปุ่นทุกคน
ที่ไปโรงเรียนซึ่งหนึ่งในจำนวนอาหารที่ให้ฟรีคือ นมหนึ่งแก้ว ที่ชงจากนมวัวผง
ครั้นพอกองทัพยึดครองถอนออกไปแม้นโยบายอาหารฟรีจะถูกยกเลิก แต่รัฐบาลญี่ปุ่นก็ยังให้นมหนึ่งแก้ว
เป็นรางวัลแก่เด็กที่ไปโรงเรียนผลคือในชั่วพริบตาเดียวคนญี่ปุ่นทั้งหญิงชายล้วนมีร่างกายที่สูงใหญ่ขึ้น
จนปัจจุบันไม่แตกต่างจากร่างกายคนยุโรป
และยังมีอัตราไอคิวที่สูงขึ้น อัตราการปลอดโรคที่ดีขึ้น อัตราการปลอดโรคที่ดีขึ้น
ซึ่งมีผลต่ออัตราการขาดงานที่แทบจะต่ำสุดในโลก และถ้าจะว่าไป การที่คนญี่ปุ่นปัจจุบัน
เป็นคนที่อายุยืนที่สุดในโลก สาเหตุหนึ่งก็คงมาจากการได้ดื่มนมเป็นประจำ
อีกอย่างหนึ่งที่เป็นข้อสังเกตของผู้เขียนคือ คนเราถ้าทำอะไรเกินไป ก็มักจะได้รับโทษ
อย่างเช่นคนตะวันตกที่มักบริโภคอาหารนมมากเกินไป ทั้งที่เป็นนม เนย และของว่างเช่นไอศครีม
ในแต่ละวันจึงบริโภคกันจนเกินขนาด ซึ่งก็คงเป็นไปได้ที่จะได้รับผลเสียมากกว่าผลดี
จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พวกเราคนไทยยังคงจะดื่มนมวัวต่อไป และดื่มในปริมาณที่พบเหมาะพอควร
ไม่ด่วนสรุปเชื่อการดื่มนมวัวไม่ดี
เรียบเรียงจาก Worrying About Milk/Discover Magazine
|