มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ http://i.am/thaidoc หรือ http://hey.to/yimyam



ปราบลูกขี้แยให้อยู่หมัด


สำหรับผู้ที่เป็นพ่อแม่คงไม่มีความ หงุดหงิดอะไร ที่จะเท่ากับการได้เห็นลูก น้อยร้องไห้กระจองอแงรวมทั้งดิ้นไปมา อย่างชนิดไม่ยอมหยุด และพ่อ (แม่) เจ้าประคุณยังร้องได้ทุกวี่ทุกวันโดยเฉพาะ อย่างยิ่งเวลาที่ไม่ควรร้องที่สุด
นั่นคือเวลาเย็นไปจนถึง 4-5 ทุ่ม แต่ก่อน นี้เด็กที่ขี้แยแบบนี้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับ ครอบครัวเด็กอ่อนทุกคน จนกระทั่งเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ได้มีนายแพทย์ผู้ชำนาญการเรื่อง เด็กผู้หนึ่งชื่อ Dr. T. Berry Brazelton ชาวสหรัฐออกมาทำการศึกษาการร้องไห้ ของเด็กอ่อน

การค้นคว้าของเขาพบว่าเด็กที่อายุ 1 เดือน จะร้องรบกวนพ่อแม่เฉลี่ยวันละ 2 ชั่วโมง และอายุ 1 เดือนครึ่ง วันละ 3 ชั่วโมง ซึ่งบ่อยและนานที่สุดหลังจากนั้นจำนวนและระยะเวลาในการร้องจะค่อยๆ ลดลง จนเหลือวันละ 1 ชั่วโมงเมื่ออายุ 3 เดือน แต่นี่เป็นตัวเลขเฉลี่ย ตัวเลขจริงสำหรับเด็กบางคนอาจจะน้อยหรือมากกว่านี้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพราะการร้องของเด็กวัยนี้เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ ในช่วงเวลาปวดเศียรเวียนเกล้า ย่ำค่ำไปจนถึงก่อนเช้านอน และในที่สุดลูกน้อยของคุณก็จะหยุดร้องไปเอง เพราะธรรมชาติสั่งให้เป็นเช่นนี้

ต่อมาได้มีการค้นคว้าหาความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพมารดากับการขี้แยของเด็กวัยทารกในปี 2530 นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ทำการสำรวจผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ก่อนจะครบกำหนดคลอด 4 สัปดาห์ จำนวน 85 คน เพื่อตรวจดูว่าเป็นผู้มีบุคลิกภาพจัดอยู่ในประเภทใดระหว่างประเภท Type A กับ Type B
- ประเภท Type A หมายถึงผู้ที่มีจิตใจแน่วแน่ ทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ ไม่ยอมลดราศอกให้กับใคร
- ประเภท Type B หมายถึงผู้ที่อ่อนโยน ยินดีให้อภัยคน และมองโลกในแง่ดี ทั้ง 85 คนจะถูกแยกแยะออกเป็น 2 พวกเช่นนี้
หลังจากนั้นพอแต่ละคนตลอดแล้ว ภายในระยะเวลา 48 ชั่วโมง นักวิจัยจะจับตาดูอากัปกิริยาของเด็ก ที่เพิ่งคลอดว่าเป็นเช่นไร ผลปรากฏว่าเด็กที่มีแม่เป็นพวก Type A จะร้องไห้ขี้แยมากกว่าเด็กที่มีแม่ Type B

นี้เป็นผลเฉพาะในช่วง 48 ชั่วโมงแรก ซึ่งแม่ยังไม่ได้แตะต้องตัวลูก และการเลี้ยงดูยังไม่ได้ส่งอิทธิพล
ในปีเดียวกันที่ประเทศแคนาดาได้มีการค้นพบแม่ที่ระหว่างตั้งครรภ์มีระดับความวิตกสูง ชอบคิดอะไรในทางที่ลบ และมีสภาพความเป็นอยู่ที่ค่อยสมบูรณ์นัก เมื่อคลอดลูกออกมาลูกมักจะมีอารมณ์ หงุดหงิดจู้จี้และขี้แยมากกว่าลูกของแม่ที่ระหว่างตั้งครร์ก็มีอารมณ์จิตใจปกติ

และที่ประเทศฟินแลนด์ การวิจัยหนึ่งพบว่า สัมพันธภาพที่ดีระหว่างพ่อและแม่ในช่วงที่ครอบครัว กำลังจะมีลูกน้อย มีส่วนเหมือนกันในการจะทำให้เด็กเกิดมาเป็นเด็กที่ชอบยิ้มร่วน ชอบอ้อน และชอบเล่นสนุก ถึงเวลากิน กิน ถึงเวลานอน นอน ซึ่งเป็นที่ปรารถนาของคุณพ่อคุณแม่ทุกคน

หลังจากนั้นก็ยังมีการวิจัยทำนองเดียวกันตามมาอีกหลายกรณี ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักสรุปว่า บุคลิกภาพตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ที่จะเป็นพ่อและแม่ มีความสำคัญต่ออารมณ์และจิตใจของเด็กอ่อน

อย่างไรก็ดีคงไม่ใช่ความจริง ถ้าจะบอกว่าการจู้จี้ขี้แยของเด็กเกิดจากธรรมชาติ แน่นอนย่อมจะต้องมีสาเหตุอย่างอื่นอยู่ด้วย

1. เจ็บป่วยทั่วไป ถ้าลูกของคุณจู่ๆ ขี้แยร้องไห้ไม่หยุด ให้สงสัยเรื่องโรคภัยไข้เจ็บไว้ก่อน ยิ่งถ้าเพิ่งไปพบหมอเพื่อตรวจสุขภาพ ยิ่งน่าสงสัย ควรพาไปหาหมออีกครั้ง ถ้าร้องแบบเอาเป็นเอาตายและไม่หยุด
2. แพ้นมผง ในสหรัฐเด็กอ่อนถึงร้อยละ 2 เป็นโรคแพ้นมผง ซึ่งต้องแก้ด้วยการเปลี่ยนนมผง จากชนิดที่ทำจากนมวัวไปเป็นชนิดทำจากถั่วเหลือง ถ้าอาการขี้แยของลูกคุณเกิดขึ้นพร้อมๆ กันอาการอาเจียนหรือท้องเดิน ขอให้สงสัยนมผงและปรึกษาหมอเพื่อขอคำแนะนำ
3. กระหายนมแม่ เรื่องจริงสำหรับคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเอง คือ ลูกของคุณอาจต้องการกินนมแม่บ่อยกว่าปกติ คือแทนที่จะเป็นทุก 4 ชั่วโมง แล้วหลับ อาจตื่นก่อนถึงเวลาแล้วร้องกวนจนกระทั่งได้กินนมถึงจะหยุด
ไม่ควรเป็นห่วงเรื่องนี้เพราะอาการจะหายไปเอง และไม่ควรห่วงร่างกายตัวเองจะผลิตนมให้ลูกไม่พอ เพราะยิ่งถ้าลูกต้องการมากเท่าไหนร่างกายก็จะผลิตมากเท่านั้น
4. แพ้สภาพแวดล้อม พ่อแม่บางคนหวังดีต่อลูก จัดห้องพิเศษให้ลูกอยู่ เป็นห้องที่เงียบสงัด ปรับอากาศอย่างดี ใครเข้าไปถูกห้ามไม่ให้ส่งเสียงดังไม่ให้เล่นกระเช้าเย้าแหย่เด็ก แต่ความจริงเด็กคนนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในห้อง คือเวลากลางวันคนเลี้ยงและญาติจะเอาไปเลี้ยงในห้องกลางบ้าน ที่มีคนเดินไปมา ทุกคนพูดจาเสียงดัง พร้อมกับเปิดวิทยุและเปิดโทรทัศน์เสียงดัง ซ้ำร้ายเสียงจอแจจากข้างนอกยังดังเข้ามาถึงข้างใน

แน่นอน เมื่อเจอสภาพเช่นนี้ เด็กก็ย่อมจะร้องกระจองอแงเป็นธรรมดา

อ่านสาเหตุที่อาจทำให้เด็กเกิดใหม่ กลายเป็นเด็กขี้แยแล้วว่าที่คุณพ่อคุณแม่คงคิดวางแผนป้องกัน ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดคือ การร่วมกันปวารณาในช่วงก่อนและหลังตั้งครรภ์ว่าจะพยายามเอาอกเอาใจกันให้มากที่สุด และหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่ง

โดยเฉพาะผู้ที่กำลังจะเป็นคุณแม่ ควรจะมีคนเข้ามารับภาระบางอย่างไร เพื่อลดปริมาณงานจะได้ไม่ต้องเหนื่อยและกลุ้มใจ ซึ่งจะทำให้ตัวเองหงุดหงิด นอกจากนี้ทั้งสองคนควรมีสมาคมกับคนที่เคยผ่านการตั้งครรภ์มาแล้วและมีประสบการณ์เลี้ยงลูก เพื่อจะได้สอบถามข้อข้องใจและสร้างความมั่นใจไปในตัวเพราะความมั่นใจเป็นวิธีป้องกันอาการหงุดหงิด ที่ดีวิธีหนึ่ง และทั้งคู่ควรปลีกตัวเป็นครั้งคราวไปอยู่ด้วยกันสองต่อสองเพื่อจะได้มีโอกาสสงบจิตสงบใจ

ซึ่งคำแนะนำเหล่านี้คงยังใช้ได้แม้คุณจะคลอดแล้ว และได้ลูกขี้แย

นุ่นนิ่น

(update วันที่ 5 กันยายน 2543)


[ ที่มา... นิตยสารแม่และเด็ก   ปีที่ 23 ฉบับที่ 342 สิงหาคม 2543]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600