เมื่อวัยอนุบาล เคยถามเจ้าตัวเล็กว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร คำตอบที่ได้มีหลากลาย
...ทั้งเป็นกระเป๋ารถเมล์ (เพราะอยากถือกระบอกฉีกตั๋ว)
อยากเป็นนักวิทยาศาสต์คิดค้นยาที่จะทำให้เหาหมดไปจากโลก (เพราะเคยขยาดกับเหายิ่งนัก)
อยากเป็นพ่อ (เพราะไม่มีใครมาบอกว่าถึงเวลานอนแล้ว)
หรือบางครั้ง ถ้าไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะตอบ ก็คือ "ใครจะตอบได้ล่ะคะ มันเรื่องของอนาคต"
เข้าสู่วัย 9 ขวบ ถึงไม่มีใครมาไต่ถามเจ้าตัวก็หมั่นพูดใส่หู แม่ให้ได้ยินอยู่เสมอว่า อยากจะเป็นโน่นเป็นนี่
และสิ่งที่อยากจะเป็นก็ดูจะมีเหตุผลน่าฟังขึ้น
อยากจะเป็นครู เพราะคุณครูบอกว่าหนูชอบเล่า ชอบอธิบาย แล้วก็พูดมากเหมือนคุณครู
อยากจะเป็นโอเปอเรเตอร์ เพราะพูดๆ ๆ อย่างเดียว ไม่ต้องคิดอะไรมาก
อยากจะเป็นนักมายากล เพราะหนูบิดลูกโป่งเป็นตัวหมาได้แล้ว
ตามหลักวิทยาพัฒนาการ ในเบื้องแรกความใฝ่ฝันอยากจะเป็นอะไรในอนาคตของเด็ก
จะมีพื้นฐานมาจากสิ่งที่ชอบก่อน ซึ่งจะแสดงให้เห็นในวัยประมาณ 6-7 ขวบ
แต่ต่อมาจะมีพื้นฐานมาจากการค้นพบว่าตัวเอง ทำได้ นั่นคือประมาณ 9 ขวบ
ซึ่งคำตอบจะมีความหมายแฝงความนัยมากขึ้น เพราะเด็กเริ่มมีพัฒนาการที่จะสนอกสนใจรอบตัวที่ไกลออกไป
จากตัวเองและครอบครัว และเริ่มที่จะจินตนาการตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกที่เห็นได้
โดยเทียบกับความเป็นจริงของตัวเอง นอกจากนั้น ก็ยังโตพอที่จะรู้จักยินดียินร้ายไปกับชีวิตที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
ของพ่อแม่ได้แล้ว
พัฒนาการขั้นนี้สำคัญมากค่ะ เพราะความอยากจะเป็นแล้วค้นพบว่าตัวเองทำอะไรพอจะได้บ้าง
จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เด็กเกิดความมุ่งมั่น พยายามและใฝ่ฝันที่จะไปให้ถึง และเพราะสิ่งที่พ่อแม่พูด คิด กระทำ
เกี่ยวกับงานอาชีพของตัวเองที่ทำอยู่ มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อการเลือกอาชีพของลูกในอนาคต
ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างมากมายในสังคม ที่ลูกมักเจริญรอยตามพ่อแม่ในเรื่องการเลือกอาชีพ
หรือการสร้างความฝันให้ลูก ดังนั้น พ่อแม่ต้องรับบทหนักอีกแล้วล่ะค่ะ ในการเป็นผู้จุดประกายความใฝ่ฝันให้กับลูก
ประสบการณ์จากโลกแห่งการทำงานของพ่อแม่
วิธีเริ่มต้นที่ดีที่สุดง่ายที่สุดคือ การคุยอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับงานที่พ่อแม่ทำ
เล่าให้ลูกฟังถึงขอบข่ายงานที่ทำ เขียนหนังสือ พิมพ์คอมพิวเตอร์ คุยกับลูกค้าทางโทรศัพท์
จัดการบริหารโครงการ พูดถึงทักษะจำเป็นที่ต้องใช้เช่น ต้องภาษาอังกฤษดี หรือพูดจาดี
การอธิบายลักษณะงานจะช่วยกระตุ้นให้เด็กได้คิดว่าทักษะหรือความสามารถที่เขามีนั้น
เหมาะกับงานประเภทไหน
เรื่องสนุกที่ทำงาน น่าจะเป็นหัวข้อที่คุณคุยให้ลูกฟังบ่อยๆ การพบปะผู้คนใหม่ๆ เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ
โจ๊คเกี่ยวกับผู้คนที่ทำงาน การใช้ทักษะความสามารถของคุณในงานศิลป์หรืองานเขียน
เหล่านี้จะช่วยพัฒนาทัศนคติที่ดีในการมองงานและให้เห็นภาพงานที่น่าเบิกบานในอนาคตพร้อมกับการมองงานว่า
เป็นเรื่องน่าท้าทาย ได้รับการตอบแทนเป็นรางวัลสำหรับความเหนื่อยยากและความคิดสร้างสรรค์ที่ลงไป และที่สำคัญ
สามารถทำให้ลูกเห็นได้ไม่ยากว่า การเรียนนั้นมีผลต่อการทำงานอย่างไรด้วย
การวาดภาพงานในด้านบวกให้ลูกเห็นไม่ได้หมายความว่าจะต้องปิดบังปัญหาของงานไม่ให้ลูกรู้
วันนี้หากมีเรื่องหงุดหงิดใจไม่สบายใจในที่ทำงาน หรือไม่มีความสุขกับการตัดสินใจในบางเรื่อง
ถ้าลูกถามหรือสังเกตเห็นก็เล่าให้ลูกฟังได้ เพราะลูกวัยนี้ทำความเข้าใจได้ว่า
แม้คนที่ลูกนิยมยกย่องก็ล้วนต้องดิ้นรนต่อสู้เอาชนะอุปสรรคเหมือนที่เด็กวัยขนาดลูกก็ต้องทำ
และบางครั้งพ่อแม่ก็ผิดพลาดได้ และก็ต้องลุกขึ้นเริ่มต้นใหม่อีกครั้งได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรจะบ่นงึมงำๆ เรื่องงานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันให้ลูกได้ยินได้ฟังเพราะแน่นอน
ลูกจะรู้สึกว่างานนั้นช่างน่าเบื่อหน่ายเสียจริง
อาชีพที่หลากหลาย
เมื่อเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดมาจากผลสำเร็จของงาน ควรให้ลูกได้มองเห็นถึงที่มาด้วย เช่น
เวลาพาลูกไปซื้อผักที่ตลาด บอกลูกด้วยว่ากว่าจะมีผักคะน้ากำนี้มา จะต้องมีคนปลูกผัก และต้องมีคนเอาผักมาส่ง
ลูกถึงจะซื้อผักได้ หรือหลังจากดูภาพยนต์จบ ขยายความให้ลูกฟังอีกหน่อยว่า ภาพยนต์เรื่องนี้เกิดขึ้นมา
จากการทำงานเขียนบทภาพยนต์ และต้องมีการจ้างนักแสดงมาเล่นตามบท วิธีการนี้จะช่วยให้เด็กๆ เห็นว่า
ยังมีอาชีพอื่นอีกนอกไปจาก ครู หมอ หรือตำรวจ
อาชีพไม่มีเพศ
เด็กๆ อาจเหมาเอาได้ว่า งานแบบนี้แบบนั้นจะต้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายทำเท่านั้น
หากได้เห็นแบบอย่างซ้ำซากจากสังคมรอบตัว หรือแม้แต่ในบ้านเอง (แม่มักจะทำกับข้าว ซักผ้า รีดผ้า
ส่วนพ่อตัดแต่งต้นไม้ที่สนามนอกบ้าน) พ่อแม่จึงควรให้ความคิดเรื่องงานที่ใครๆ ก็ทำได้กับลูกด้วย อย่างเช่น
ตอนดูทีวีด้วยกัน "ดูสิลูกทำไมพยาบาลในเรื่องต้องเป็นผู้หญิงหมด
แหม
ทำไมไม่เอาผู้หญิงมาเล่นเป็นหมอบ้างนะ" นอกจากนั้นก็ควรให้ลูกได้พบได้เห็นอาชีพที่ผู้คนมักมองว่า
จะต้องเฉพาะเพศเท่านั้น เช่น ครูสอนคาราเต้ที่เป็นผู้หญิงหรือครูสอนเต้นรำที่เป็นผู้ชาย
อาชีพที่เป็นไปได้ยาก
ลูกบางคนอาจจะมีความฝันที่ดูห่างไกลจากความจริง หรือทะแม่งหูสำหรับพ่อแม่ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่นักร้องวัยรุ่นกำลังมาแรง
เพียง 9 ขวบ 10 ขวบก็เป็นซูเปอร์สตาร์กันแล้ว ลูกจึงมีสิทธิ์ที่จะฝันได้ แล้วรีบซุ่มซ้อมฟังเพลง
ร้องเพลงเป็นการใหญ่และไปได้ดีเสียด้วย แต่ก็ใช่ว่าเด็กที่รักการฟังเพลงวัย 9 ขวบ
จะเติบโตขึ้นไปเป็นนักร้องสังกัดค่ายดังได้ทุกคนไป เจอแบบนี้พ่อแม่จะทำอย่างไรดี คำแนะนำคือ ให้ลูกร้องต่อไป
แต่ถ้าพ่อแม่พอมีกำลังส่งเสีย การให้ลูกไปเรียนเปียโนก็เป็นทางออกทางหนึ่ง เพราะอย่างน้อย
ครูสอนเปียโนก็เป็นอาชีพหนึ่งที่ทำรายได้ได้ดี
ยังเลือกไม่ได้
ยังมีเด็กอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่แน่นอนหรือไม่ได้พูดถึงสิ่งที่อยากจะเป็นในอนาคต
ซึ่งอาจจะเป็นเพราะยังมีความสนใจหลากหลายมาก ก็อย่าเพิ่งไปขัดกรอบกะเกณฑ์
แต่ควรช่วยลูกมองหาและพัฒนาทักษะของตัวเองไปก่อน เพราะเด็กบางคนอาจจะค้นพบตัวเอง
เอาเมื่อจบชั้นมัธยม 6 ก็ยังมี
พาไปทำงานด้วย
การจะทำให้ลูกเห็นซึ้งถึงงาน โดยเฉพาะงานของพ่อแม่ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการพาลูกไปที่ทำงานด้วย
(ถ้าเจ้านายอนุญาต เพื่อนร่วมงานยินดี และสภาพการทำงานไม่วุ่นวายนัก)
การพาลูกไปที่ทำงานมิใช่ประโยชน์เพียงแค่เข้าใจหรือรู้จักงานที่พ่อแม่ทำแต่ตลอดช่วงเวลาที่ลูกขลุกอยู่ใกล้ๆ
ลูกจะได้เห็นถึงวิธีที่พ่อแม่พูดคุยกับผู้ร่วมงาน สั่งงาน รับงาน พูดคุยโทรศัพท์ หรือถ้าพ่อแม่มีเวลา
อาจจะอธิบายลูกไปด้วยก็ดีเลยว่า ทำไมปัญหานี้ถึงได้เลือกการตัดสินใจอย่างนี้ นอกจากนั้น
ลูกยังจะได้มีโอกาสเห็นการทำงานประเภทอื่นๆ ในที่ทำงานพ่อแม่ด้วย
แต่ก่อนพาไปที่ทำงาน ควรถามลูกก่อนว่าอยากไปไหม เพราะเด็กบางคนอาจจะค่อนข้างเขิน
หรือกลัวว่าไปแล้วพ่อแม่จะยุ่งจนไม่มีเวลามาคุยด้วย เพราะฉะนั้นอย่าบังคับ แต่ถ้าลูกยินดี ก็ต้องพูดคุยกับลูกก่อน
ว่าพาไปเพราะอะไร และต้องปฏิบัติตัวอย่างไร เช่น ไม่แตะต้องข้าวของเครื่องมือถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ดูแล
หลังจากกลับมาแล้ว พ่อแม่ควรได้พูดคุยต่อกับลูกว่า ลูกรู้สึกอย่างไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร
อยากจะทำงานอย่างพ่อแม่ไหม หรืออยากจะทำงานอย่างอื่นหรืออยากจะดูอะไร คุยกับใครอื่นอีกไหม
ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ลูกรู้จักงานที่พ่อแม่ทำอยู่คือการให้ลูก สัมภาษณ์ โดยสมมติลูก
เป็นนักข่าวมาสัมภาษณ์เรื่องราวของพ่อแม่ เช่น
- ตอนเป็นเด็กอายุเท่ากันนี้ พ่อแม่เคยคิดอยากเป็นอะไรเมื่อโตขึ้น
- ความฝันมีอิทธิพลต่อการเลือกงานไหม
- เคยเล่าให้คุณตาคุณยายฟังเรื่องความฝันเหล่านี้ไหม ถ้าเล่า คุณตาคุณยายว่าอย่างไรบ้าง
- คุณตาคุณยายมีอิทธิพลต่อการเลือกงานในปัจจุบันนี้ไหม
- ถ้ามีโอกาสเลือกงานใหม่อีกครั้ง จะเลือกงานแบบเดิม หรือแตกต่างไปเลย
- อะไรที่พ่อแม่คิดว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดในการเลือกงานของคนเรา
ปิดเทอมแล้ว จัดเวลาให้ลูกหน่อยเถอะค่ะ เพราะวิธีการเหล่านี้จะช่วยให้เด็กได้มองเห็นว่า
การได้ทำงานประกอบอาชีพ คือส่วนที่ต่อยอดออกไปจากความสนใจและความมุ่งมั่นของตัวเอง
การทำงานไม่ใช่เพียงเพื่อสิ่งซึ่งได้มาเพื่อให้มีชีวิตรอด มีเงินอยู่ในตู้เอทีเอ็มเมื่อปลายเดือน
หรือเพื่อให้สมความปรารถนาของพ่อแม่
เมื่อลูกเข้าใจจุดนี้ ลูกก็จะเดินไปได้ถูกทางอย่างรู้ว่าเมื่อโตขึ้นเขาอยากเป็นอะไรจริงๆ
ทอฝัน
|