คำถามที่พ่อแม่มักจะมองหาคำตอบให้กับตัวเอง ก็คือ ทำอย่างไรลูกน้อยถึงจะหย่านมได้
อาหารชนิดไหนจะมีคุณค่าต่อการเติบโต รวมถึงปัญหาในการป้อนอาหารให้แก่เด็ก
เพราะการส่ายหน้าปฏิเสธอาหารบางประเภทมักจะเกดขึ้นบ่อยครั้ง หลายครอบครัวเจอปัญหาที่ว่าลูกๆ
ปฏิเสธการทานผัก พ่อแม่บางคนก็มักจะเริ่มทำเสียงสูงขึ้น ดังขึ้น และอาจใช้ความรุนแรงอย่างอดไม่ได้
เทคนิคการป้อนอาหารต่างๆ นานา ก็เริ่มงัดออกมาใช้ ไม่ว่าจะให้ดูวิดีโอขณะป้อน ใส่อาหารเข้าไปในขนม
หรือคลุกเข้ากับขนมหวาน เพื่อให้ผ่านไปอีกหนึ่งมื้อ
|
|
นอกจากนี้พ่อ-แม่มักจะคิดกังวลตลอดเวลาว่า ควรจะปล่อยให้ลูกทานเอง
หรือต้องป้อนให้ควรจะทำตัวเป็นแบบอย่างในเรื่องการกินอาหารหรือไม่
ต้องแนะนำลูกหรือไม่ว่าอาหารแบบไหนมีประโยชน์ หรือว่าควรจะปล่อยให้พวกเขา
เรียนรู้เองว่าจะต้องทานอะไรอีกทั้งควรจะให้อาหารเสริมจำพวกวิตามินหรือไม่
จริงๆ แล้วการให้อาหารเด็กเป็นเรื่องปกติทั่วไป คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้
ขึ้นอยู่กับว่าเราสนใจในการหาข้อมูลและคำแนะนำมากขนาดไหน
หลายความคิดต่างมีความแตกต่างกัน อยู่ที่ว่าเราเลือกที่จะถามและเชื่อใคร ?
|
จากรายงานล่าสุดใน Lancel พบว่าประมาณ 10% ของเด็กอายุ 6 ขวบ มักจะอ้วนพุงพลุ้ยและจะเพิ่มมากขึ้น
ถึง 15% ในเด็กอายุ 15 ปี เท่ากับว่า 20% ของเด็กจะมีน้ำหนักมากกว่าน้ำหนักตามเกณฑ์เมื่อเทียบกับส่วนสูงของเด็ก
ซึ่งสาเหตุสำคัญเกิดจากพฤติกรรมในการกินของเด็ก เช่น เด็กมักจะกินไปด้วยในขณะที่นอนดูทีวี
รวมทั้งขาดการออกกำลังกาย
ปัญหาของการให้อาหารแก่เด็กๆ ในบางครั้งก็เกิดจากทัศนคติในเรื่องอาหารที่ว่า
อาหารเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของสังคม เราจะเห็นว่า หลายครั้งที่เราใช้อาหารเป็นตัวแสดงถึง
ความรักที่มีต่อผู้อื่น เช่น เราจะให้ขนมแก่คนที่ใกล้ชิดและรักมากที่สุด เราฉลองวันสำคัญด้วยอาหารมื้อพิเศษ
โดยไม่ได้คำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการ และหากว่าลูกดื้อดึงปฏิเสธที่จะทานอาหารที่พ่อแม่หยิบยื่นให้
กลับกลายเป็นว่าเด็กๆ กำลังปฏิเสธความรักของพ่อแม่
ความคิดกังวลเกี่ยวกับอาหารที่จะป้อนให้แก่เด็ก เป็นเรื่องที่มีการคิดให้ซับซ้อนกันมากในปัจจุบัน
ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องง่ายๆ ที่จะทำให้เด็กมีสุขภาพดีได้ด้วยวิธีการที่พ่อ-แม่ที่มีสุขภาพดีเคยได้รับมา
และนำมาใช้ในการเลี้ยงดูลูกของตน
คุณแม่ท่านหนึ่งเล่าว่า "เมื่อเด็กโตขึ้นมาหน่อยก็จะเริ่มให้เด็กดื่มนมจากถ้วย ป้อนเนื้อหมูชิ้นเล็กๆ ให้
โดยไม่ต้องมีเครื่องช่วยหรืออุปกรณ์หลอกล่อเด็ก เช่น ช้อนเปลี่ยนสีได้เมื่อตักอาหาร้อน
และเสริมด้วยการให้ทานน้ำมันตับปลาและน้ำส้มคั้น"
คุณแม่บางท่านบอกว่า เขาใช้วิธีการผสมขนมปังป่นลงไปในขวดนม ซึ่งต้องขยายรูปากขวดให้กว้างขึ้น
เพื่อให้ขนมปังสามารไหลออกมาได้โดยไม่จำเป็นต้องป้อนอาหารที่มีราคาแพงแก่เด็กแต่อย่างใด
เมื่อเริ่มมีการหย่านม พ่อ-แม่สามารถป้อนผักที่คลุกเข้ากับไข่แดงได้ โดยจะแยกไข่ขาวออก
จนกว่าเด็กจะสามารถเคี้ยวได้เอง จึงจะนำไข่แดงและไข่ขาวมาคลุกเข้ากัน และหากว่าครอบครัวมีประวัติ
ในการเป็นโรคภูมิแพ้ การให้ไข่คลุกนี้ต้องรอจนกว่าเด็กจะอายุครบ 6 เดือน
ก่อน 6 เดือน เป็นโอกาสเหมาะที่จะให้เด็กได้ลองทานอาหารคาวหลายๆ ชนิด เราต้องเริ่มต้นที่ความอดทนของคนป้อน
เพราะบางครั้งเด็กมักจะไม่ยอมทาน บ้างก็เล่นอาหารและชามข้าว ผู้ใหญ่บางคนสร้างนิสัยการให้รางวัลด้วยการให้ขนมหวาน
ซึ่งจะทำให้เด็กทานอาหารได้ยากขึ้น จริงๆ ธรรมชาติ ของเด็กๆ นั้นพวกเขาจะทานอาหารได้เองเมื่อรู้สึกหิว
เด็กที่จะสามารถเริ่มทานอาหารคาวได้ แต่เดิมมีข้อแนะนำว่าควรจะมีอายุระหว่าง 4-6 เดือน
แต่ครอบครัวอเมริกันในปัจจุบัน เห็นว่าควรจะเริ่มเมื่อเด็กมีอายุครบ 6 เดือน
แต่บางคนก็มีความคิดแตกต่างกันไป โดยเห็นว่าควรเริ่มที่ 4 เดือน เพราะเป็นการสร้างความคุ้นเคย
ในการทานอาหารให้แก่เด็ก แม้ว่าจะไม่ได้มุ่งเน้นว่าอาหารที่ทานเข้าไปจะต้องบำรุงสุขภาพได้
เพราะเด็กช่วงนี้จะได้รับสารอาหารจากนมอย่างเพียงพอแล้ว และเมื่อเด็กอายุถึง 6 เดือน
สารอาหารที่มีอยู่ในนมไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว เด็กก็จะสามารถทานอาหารได้อย่างรวดเร็ว
มีข้อสังเกตว่าเด็กอายุ 1-2 ขวบ มักเป็นโรคโลหิตจางเนื่องจากขาดสารอาหารเพราะยังไม่ยอมทานอาหาร
การป้องกันโรคโลหิตจาง คือการให้เด็กได้ทานเนื้อแดง ควบคู่ไปกับผักหรือผลไม้
เพราะผักและผลไม้จะช่วยดูดซับธาตุเหล็กในเนื้อได้ดีขึ้น การให้เด็กดื่มน้ำผลไม้ในเวลาอาหารเช้านั้น
จะเป็นการช่วยดูดซับธาตุเหล็กเฉพาะมื้อเช้าเท่านั้น จึงน่าจะเพิ่มน้ำผลไม้เข้าไปในมื้ออื่นๆ
เพื่อช่วยดูดซับได้ตลอดทั้งวัน
อีกสาเหตุหนึ่งพบว่าเด็กที่ดูดนมแม่ที่เป็นมังสวิรัติมีอัตราเสี่ยงที่จะเป็นโรคโลหิตจางได้มาก
เพราะนมจากเต้ามีธาตุเหล็กน้อยกว่านมปรุงแต่ง จึงควรเสริมธาตุเหล็กจากแหล่งอื่นๆ เข้าไป เช่น
จากถั่วหรือให้เด็กดื่มนมปรุงแต่งในขณะที่ทานอาหารควบคู่ไปกับการดูดนมแม่ (สำหรับเด็กที่ยังไม่สามารถหย่านมได้)
และอย่าคิดว่าการให้เด็กลดความอ้วนโดยทานอาหารประเภทพร่องมันเนยหรือไขมันต่ำ
จะดีสำหรับเด็กเหมือนที่เป็นอาหารที่ดีสำหรับผู้ใหญ่ เพราะอาหารไขมันต่ำจะให้พลังงานแก่ร่างกายน้อย
จนเป็นผลให้เด็กไม่สามารถเติบโตได้เท่าที่ควรจะเป็น
คำถามอีกข้อหนึ่งที่น่าสนใจคือควรจะปล่อยให้เด็กทานข้าวเองและเลือกว่าจะทานอะไร
ด้วยตัวเองตามลำพังหรือทานพร้อมกับผู้ใหญ่ ซึ่งธรรมชาติอย่างหนึ่งของเด็กๆ นั้น
เขาจะเรียนรู้ได้ด้วยการเลียนแบบผู้อื่นหากไม่มีใครให้เลียนแบบก็จะพยายามเรียนรู้ด้วยตัวเอง
และในที่สุดเขาจะปฏิเสธสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ และแน่นอนว่าจะต้องเลือกกินแต่ขนมหวานที่เขารู้สึกว่าถูกใจ
ใช่เลย ฉะนั้นการเลี้ยงเด็กท่ามกลางคนในครอบครัวที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กๆ ได้
จึงถือเป็นเรื่องที่ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง
สมาชิกในครอบครัวควรจะทำตัวเป็นแบบอย่างด้วยการทานอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารอย่างสมดุล
อย่าไปเน้นที่หน้าตาของอาหารหรือสรรพคุณตามที่มีการโฆษณา และอย่าลืมว่าพ่อแม่ ไม่ควรจะยอม
เมื่อลูกปฏิเสธอาหารที่จัดให้แล้วให้อย่างอื่นแทนโดยเฉพาะเพราะนั่นเท่ากับเป็นการให้รางวัล (แทนที่จะเป็นการทำโทษ)
สิ่งเหล่านี้จะสร้างให้เกิดพฤติกรรมการทานยากตามมา
และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ให้ระลึกอยู่เสมอว่าพวกเขาเป็นเด็ก ควรจะได้รับการเลี้ยงดู
ด้วยการเอาใจใส่และอ่อนโยน จำไว้ว่าปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพอย่าไปดุด่าว่ากล่าว
เมื่อเขายังทานอาหารไม่ได้ตามที่พ่อแม่คาดหวังไว้
"ไม่มีเด็กคนไหนจะยอมอดอาหาร แต่พ่อแม่ต้องพยายามไม่หลอกล่อด้วยของหวาน
แล้วในที่สุดลูกจะทานอาหารอย่างที่คุณต้องการจะหยิบยื่นให้"
- อย่าเร่งให้เด็กหย่านมจนกว่าจะอายุครบ 4 เดือน เพราะระบบการย่อยอาหารของเด็ก
ยังไม่แข็งแรงพอ หลังจากเด็กมีอายุได้ 4 เดือน คุณสามารถให้เด็กทานมะเขือเทศ ฟักทอง ฯลฯ
- ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการให้ผลไม้มากเกินไปจะทำให้อาหารผ่านตัวเด็กเร็ว
และจะทำให้เด็กขาดสารอาหาร
- ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป คุณสามารถให้อาหารประจำวัน สามารถนำมาผสม
กับอาหารจำพวกธัญพืช แต่น้ำนมจากอกแม่เป็นอาหารหลักสำหรับเด็กในขวบปีแรก
- ช่วงเวลาตั้งแต่ 8-9 เดือนให้อาหารจำพวกผักปลอกเปลือก ขนมปังแท่ง
หรือผลไม้ปลอกเปลือก เพื่อให้เด็กได้หัดเคี้ยวและพัฒนาความสามารถ
ในการรับรู้ความรู้สึก แต่ต้องระวังการสำลักด้วย
- ตั้งแต่ 9 เดือน ถึง 1 ขวบ เด็กจะสามารถรับรสชาติและมีความสุข
กับการทานอาหารได้ ถ้าอาหารไม่ถูกสับอย่างละเอียดและไม่ได้มีการ
ใส่เครื่องปรุงมากจนเกินไป
|
เรียบเรียงจาก More Broccoli Please (If only
) /Junior
ชมพู่
|