มัณฑนา
นอกจากจะอยู่ทั้งดื้อ ทั้งซน จนได้ขึ้นชื่อว่าเป็น "ตัวแสบ" ที่ชอบป่วน สร้างความวุ่นวาย
ให้กับสมาชิกในบ้านแล้ว อารมณ์ที่เปลี่ยนเร็วไม่แพ้การกดรีโมตเปลี่ยนช่องทีวีของหนูๆ วัยนี้
ทำเอาผู้ใหญ่อย่างเรางี้ตามอารมณ์น้องหนูเธอไม่ทัน
"ลูกสาวเดี๋ยวนี้ร้ายใหญ่แล้วพอขัดใจเข้าหน่อยก็ร้องไห้เป็นน้ำหูน้ำตาขึ้นมา จนเราอดสงสารไม่ได้
พอใจอ่อนยอมตามใจ ก็ดีใจหัวเราะจนออกนอกหน้าอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนาดราเจ้าน้ำตาไม่มีผิด
แสบจริงๆ เลย" คุณแม่คนหนึ่งพูดถึงลูกสาววัย 2 ขวบกว่าด้วยน้ำเสียงเอ็นดูปนอ่อนใจ
แต่คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนอาจจะทำใจไม่ได้เหมือนแม่ของน้องแป้ง ซ้ำยังพาลวิตกไปอีกว่า
เจ้าตัวเล็กจะกลายเป็นคน "เจ้าอารมณ์" เมื่อโตขึ้น
ใจเย็นๆ ก่อนค่ะ การที่เด็กวัย 2-3 ขวบเป็นอย่างนี้มันมีเหตุและที่มาที่ไป อย่างเพิ่งด่วนสรุปว่า
เจ้าตัวดีเป็นคนเจ้าอารมณ์หรือเป็นนักแสดงเจ้าบทบาทเลย ทว่าที่เห็นว่าอ่อนไหว อารมณ์แกว่งไปแกว่งมาแบบนี้
เป็นเพราะหนูกำลังอยู่ในช่วงที่ปรับตัวจากเด็กเล็กๆ มาเป็นเด็กวัยเตาะแตะที่พอจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแล้ว
ก็เลยมีบ้างที่เป็นแบบนี้
อย่างที่เห็นกันว่า ตอนนี้ลูกเริ่มช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น เดินไปไหนมาไหนด้วยสองขาป้อมๆ ของตัวเองได้
มือเด็กๆ หยิบจับชำนาญแล้ว แถมยังรู้จักพูดโต้ตอบได้ บอกความต้องการของตัวเองได้ ความอยากรู้อยากเห็นโลกกว้างที่มีอยู่ในตัว
ก็พร้อมจะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา ทุกอย่างรอบตัวจึงน่าสนใจ
เห็นอะไรก็อยากสัมผัส อยากได้เป็นเจ้าของไปเสียหมด ก็เลยเป็นเรื่องธรรมดาที่หนูจะร่าเริงจนออกนอกหน้า
เมื่อได้ดังใจหรือพร้อมจะโอดครวญโวยวาย หรือร้องไห้เสียใจเมื่อผิดหวังไม่ได้อย่างใจ
ฉะนั้นหากมีสิ่งใดหรืออะไรมากระทบ ไม่ว่าจะเป็นดีใจ เสียใจ ตกใจ กลัว โมโห ไม่พอใจ อาย
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็พร้อมจะแสดงออกมาให้คนอื่นได้เห็นทันที โดยไม่มีการซ่อนเร้น
ถ้าลูกอารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส คุณพ่อคุณแม่ก็คงไม่กลุ้มใจ แต่ถ้าลูกอารมณ์เสียง่าย
ก็คงไม่เข้าทีเสียเท่าไร และสิ่งต่อไปนี้ เชื่อกันว่าคือตัวการสำคัญที่ทำให้ลูกจอมซนของเราขุ่นมัว
นี่แหละตัวฉัน
ในขณะที่ทักษะการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อต่างๆ และการควบคุมร่างกายทำงานกันได้ดี
ความรู้สึกของ "ความเป็นตัวเอง" ก็พัฒนาขึ้นด้วย เด็กรู้สึกว่าตัวเองเป็นอิสระแยกออกจากพ่อแม่
สามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้ด้วยตนเองมากขึ้นกว่าเดิม และสนุกกับการได้พิสูจน์บทบาทของตัวเอง
แต่ในขณะเดียวกันบางช่วงลูกก็ยังต้องการพึ่งพาและการดูแลอย่างใกล้ชิดจากพ่อแม่อยู่ความรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ
ที่ผสมปนเปกันนี้ ผลมีต่ออารมณ์ของเขาอยู่ไม่น้อย
ไม่ชินกับการปฏิเสธ
เด็กๆ เคยกับการ "ได้ทุกอย่างมาก่อนตั้งแต่เล็ก หิวก็ได้กิน ง่วงก็ได้นอน แต่ต่อมากลับไม่ได้ทุกอย่างเหมือนเดิม
ย่อมทำให้เด็กไม่พอใจ เพราะไม่คุ้นเคยกับการปฏิเสธ ไม่ได้รับการสนองตอบตามที่ต้องการและที่สำคัญเขายังไม่รู้ว่า
จะจัดการกับความรู้สึกไม่พอใจนี้อย่างไรดี ทำให้เขา หงุดหงิด โวยวายได้ง่าย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังเห็นลูกอารมณ์ดีอยู่ก็ตาม
รอไม่เป็น
การที่หนูๆ วันนี้ยังไม่เข้าใจเรื่องเวลาดีนัก เขาจะรู้จักแต่ปัจจุบันและเดี๋ยวนี้ อดทน รอคอยไม่เป็น
ทำอารมณ์น้องหนูไหวไปมาและตกวูบได้
เรื่องที่อดใจรอไม่เป็นนั้น มีจิตแพทย์เด็กที่สหรัฐอเมริกาได้ทำการวิจัยเรื่องนี้โดยนำเด็กๆ วัย 1-3 ปี
จำนวนเกือบ 150 คน มาทดลองโดยพาเด็กเข้ามาอยู่ในห้องนั่งเล่นที่มีขนมวางอยู่แล้วสร้างสถานการณ์
ให้คนดูแลเด็กออกไปข้างนอก โดยบอกให้เด็กๆ อย่าเพิ่งแกะขนมกินจนกว่าคนดูแลจะกลับมา
แน่นอนว่าเด็กๆ ต่างไม่พอใจที่ไม่ได้กินขนม ผลที่ออกมาคือ เด็กวัย 2 ขวบจะใจจดจ่อกับขนมและอดใจทนรอไม่ไหว
แกะขนมกินก่อนเสียส่วนใหญ่ ในขณะที่เด็กเล็กกว่าหันไปสนใจกับของเล่น หรือทำอย่างอื่นโดยลืมเรื่องขนมไป
ส่วนเด็กที่โตกว่านั้นสามารถอดทนและบังคับตัวเองไม่ให้ไปหยิบขนมกินก่อนได้มากกว่า
ฉะนั้นใจเย็นและให้เวลาลูกสักนิด หากลูกจะยังไม่รู้จักคำว่า "รอ" เพราะเมื่อพ้นจากช่วงนี้ไป
แกก็จะค่อยๆ ปรับตัวและเรียนรู้ที่จะรอได้ในที่สุด
เข้าใจกันบ้าง
อารมณ์ที่หลายคนเข้าใจว่าแปรปรวนนี้ ความจริงแล้วเป็นสิ่งที่เด็กแสดงออกมาจามความรู้สึกที่แท้จริง
ว่าตอนนั้นก็รู้สึกอย่างไร ชอบ ไม่ชอบ พอใจหรือไม่พอใจ ขอให้เข้าใจด้วยว่าเด็กยังขาดทักษะ
ในการควบคุมความรู้สึก หรือยังคิดเรื่องถูกผิดไม่เป็นนัก คุณพ่อคุณแม่ควรใจเย็น อดทนไว้ค่อยๆ สอน
และชี้ให้ลูกเห็นถึงเรื่องความถูกต้องเหมาะสม (แต่ไม่ควรสอนตอนที่ลูกกำลังอารมณ์ไม่ดี เพราะลูกคงไม่ฟังแน่ๆ)
ในเวลาที่ลูกสงบหรืออารมณ์ดีแล้วน่าจะช่วยได้ แม้ว่าจะใช้เวลาบ้างก็ตาม
หลีกเลี่ยงการปะทะ
เมื่อลูกเกิดงอแงพูดไม่รู้เรื่อง พยายามอย่าใช้อารมณ์ตอบโต้ลูก เพราะนั่นจะทำให้สถานการณ์
ยิ่งเลวร้ายขึ้น ถ้าคุณพ่อคุณแม่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจหรือเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ลูกอารมณ์แปรปรวน
จะเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยได้ เช่น หากลูกร้องจะเอาของกลางห้างสรรพสินค้า แทนที่คุณจะตามใจหรือโมโห
ตีลูก ปล่อยให้เขาร้องไปสักพัก แล้วค่อยพาหรืออุ้มลูกเดินไปที่อื่น (อย่าอายนะคะ พ่อแม่ส่วนใหญ่จะแพ้ลูก
เพราะอายคนที่มองว่าปล่อยให้ลูกร้องไห้ ปล่อยไปสักพักเขาจะเงียบไปเอง) เพื่อเปลี่ยนอารมณ์และบรรยากาศให้ดีขึ้น
ก่อนที่จะอธิบายให้ลูกฟังว่าทำไมเราจึงไม่ซื้อสิ่งนั้นๆ ให้เขา
รู้อกรู้ใจลูก
คุณพ่อคุณแม่คงต้องคอยจับสัญญาณของลูกด้วยว่า เขาเป็นอย่างไร ง่วง หิว ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า
ถ้ารู้นิสัยเข้าใจลูก ก็จะช่วยให้เราจัดการรับมือกับอารมณ์ของลูกได้ง่ายขึ้น บางคนเห็นลูกเริ่มหงุดหงิดก็รู้แล้วว่า
เจ้าตัวน้อยเริ่มง่วง พอจัดการกล่อมนอนก็หมดฤทธิ์หลับปุ๋ยไปเลย
แต่บางครั้งเราต้องเดาความคิดของลุกน้อยว่าลูกจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับสถานการณ์ต่างๆ
และเตรียมหาทางหนีทีไล่ไว้ให้ดี เช่น รู้ว่าหากให้ของขวัญวันเกิดพี่ แน่นอนว่าถ้าน้องเห็น
คงต้องร้องอยากได้บ้างแน่ เราก็อาจจะเตรียมลูกกวาดหรือของขวัญขึ้นเล็กๆ เผื่อไว้ให้คนน้องด้วย
ก็เป็นทางหนึ่งที่ช่วยได้
ยืดหยุ่นตามสมควร
การบังคับไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดี เพราะลูกจะยิ่งต่อต้านไม่เชื่อฟังมากขึ้น ควรยืดหยุ่นปรับเปลี่ยน
ไปตามสถานการณ์ แต่ถ้าเป็นกฎและกติกาที่ตกลงกันไว้แล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรยอมโอนอ่อน
ตามใจโดยไม่มีเหตุผล มิเช่นนั้นลูกจะเคยตัวและไม่ยอมทำตามสิ่งที่ตกลงกันไว้
เป็นโค้ชที่ดี
การรู้จักแสดงความรู้สึกต่อเหตุการณ์ต่างๆ นั้น นับเป็นบทเรียนสำคัญของเด็กในวัยกำลังเรียนรู้
ที่จะจัดการกับอารมณ์ในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่า เด็กๆ ต้องการคำแนะนำอย่างใกล้ชิด
จากคุณพ่อคุณแม่ เช่น หากกไม่พอใจก็มีวิธีอื่นบอกให้คุณพ่อคุณแม่หรือคนอื่นๆ รู้ได้ว่าไม่ชอบนะ โมโหแล้ว
มากกว่าที่จะใช้วิธีร้องหรืออาละวาด
การจะสอนเรื่องยากๆ เหล่านี้ให้ลูกเข้าใจได้ง่ายๆ นอกจากใช้วิธีสมมติเหตุการณ์ต่างๆ ให้เห็นจริงแล้ว
การเป็นตัวอย่างให้ลูกก็เป็นวิธีที่ได้ผลมากอีกวิธีหนึ่งค่ะ
อารมณ์ของเด็กวัยนี้อาจจะปรวนแปรไปบ้าง แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ให้ความรักและความเข้าใจ
ก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะจัดการกับเรื่องนี้
|