วิตามินและเกลือแร่เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการในปริมาณไม่มาก แต่เป็นกลจักรสำคัญ
ต่อการเจริญเติบโตของทารก คุณพ่อคุณแม่จำนวนไม่น้อยที่ยังคงเข้าใจไม่ถูกต้อง ว่ายิ่งใช้วิตามินมากๆ
ยิ่งทำให้ทารกมีสุขภาพแข็งแรงยิ่งขึ้น หรือเข้าใจว่า วิตามินเป็นสิ่งที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยจึงรับประทานกันเป็นว่าเล่น
ตลอดจนความเชื่อผิดๆ ว่าอาหารที่ให้ทารกรับประทานมีคุณค่าของวิตามินและเกลือแร่ไม่เพียงพอ
ความเข้าใจเหล่านี้เป็นเหตุให้เกิดการใช้วิตามินและเกลือแร่กันอย่างฟุ่มเฟือย ซึ่งนอกจาก
จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายแล้วยังอาจเป็นอันตรายแก่ลูกน้อยของท่านได้
ดังที่เคยกล่าวไว้แล้วว่าทารกในช่วง 12 เดือนแรก มีอัตราการเจริญเติบโตสูงมาก
คุณพ่อคุณแม่จึงต้องให้ทารกได้รับสารอาหาร เกลือแร่ และวิตามินอย่างเพียงพอ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า
จะให้วิตามินและเกลือแร่แค่ไหนจึงจะ "เพียงพอ" เพราะการกำหนดเป็นตัวเลขบ่งบอกปริมาณ
ก็ยังคงยากในทางปฏิบัติ จึงขอรวบรวมข้อมูลจากการสำรวจของประเทศต่างๆ มาสรุป
เพื่อหาคำตอบดังกล่าวในเชิงปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
ทารกส่วนใหญ่จะได้รับวิตามินอีและกรดโฟลิก ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
ดังนั้นวิตามินอีและกรดโฟลิกจึงเป็นวิตามินที่ต้องเสริมให้กับทารกเพิ่มจากอาหารที่ได้รับทุกวัน
อาหารประจำวันที่ให้แก่ทารกจะมีวิตามินเอ, บี1, บี2 และวิตามินซี อย่างเพียงพอ
จึงไม่พบภาวะขาดวิตามินเหล่านี้ ตั้งแต่แรกเกิดจนทารกครบ 12 เดือน ดังนั้นในช่วงนี้
จึงยังไม่จำเป็นต้องให้วิตามินทั้ง 4 ชนิดนี้เพิ่มอีก นอกจากทารกมีภาวะเจ็บป่วยรับประทานได้น้อยกว่าปกติ
หรือแสดงอาการขาดวิตามิน
น้ำนมของแม่จะมีวิตามินและเกลือแร่สูงกว่านมสูตรอื่นๆ
ปัญหาทารกขาดวิตามินดี มักพบในประเทศที่ไม่ค่อยมีแสงแดด ในเมืองไทยพบน้อย
เนื่องจากบ้านเรามีแสงแดดมากเพียงพอในการช่วยสังเคราะห์วิตามินดี
วิตามินเอ มีปริมาณสูงในอาหารเสริมทารกประเภทไข่ ตับ ผักสีเหลืองและผักสีเขียว
ดังนั้นถ้าทารกได้อาหารเสริมลักษณะนี้เพียงพอก็ไม่จำเป็นจะต้องให้วิตามินเพิ่มอีก
หากทารกมีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติได้รับสารอาหารเสริมและนมพอควร ควรจะได้รับแคลเซียม
ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุเหล็กของร่างกายอย่างเพียงพอ
ธาตุเหล็ก พบมากในอาหารเสริมประเภทไข่แดง, ตับ, เนื้อสัตว์ ช่วยบำรุงเลือด
และช่วยด้านพัฒนาสติปัญญาของทารก ดังนั้นหากทารกได้รับประทานอาหารเสริมดังกล่าว
หรือรับประทานนมเสริมธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ
การเสริมฟลูออไรด์ให้ทารกนับเป็นสิ่งจำเป็น เพราะฟลูออไรด์ที่ได้รับจากน้ำนมแม่
และนมสูตรทารกมีฟลูออไรด์ไม่เพียงพอที่จะใช้ป้องกันฟันผุได้โดยมีการพิสูจน์แล้วพบว่า
การเสริมฟลูออไรด์ตั้งแต่แรกเกิด สามารถลดการเกิดฟันผุได้ทั้งในช่วงก่อนและหลังฟันจะโผล่ทะลุเหงือก
และลดฟันผุทั้งฟันน้ำนมและฟันแท้ แต่ขณะเดียวกันพบว่าถ้าทารกได้รับฟลูออไรด์มากเกินไป
จะทำให้เกิดการสะสมจนฟันเป็นจุดๆ ไม่สวยงามได้
ดังนั้นการเสริมฟลูออไรด์ที่ถูกต้องจะต้องปรับขนาดที่ให้ทารกให้สอดคล้องกับปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำดื่ม
ซึ่งในเขตกทม. มีค่า 0.1-0.3 ส่วนในล้านส่วน ซึ่งฟลูออไรด์ที่ละลายในน้ำดื่มจะดูดซึมได้ดี
แต่ถ้านำไปผสมกับนมจะดูดซึมได้น้อยลงกว่า 50% ดังนั้นขอแนะนำการเสริมฟลูออไรด์ให้แก่ทารก ดังนี้
1. ไม่ให้ฟลูออไรด์ร่วมกับนมหรือให้ก่อนให้นมอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
2. ถ้าจะผสมฟลูออไรด์ในน้ำดื่มควรให้ทารกจิบทีละน้อยไปทั้งวัน จะให้ผลดีกว่าการให้ครั้งเดียวหมด
3. การใช้ฟลูออไรด์เดี่ยวๆ สำหรับทารกขนาด 0.25 มิลลิกรัม
ดีกว่าการให้ในรูปวิตามินผสมฟลูออไรด์ เนื่องจากในขนาดของฟลูออไรด์
ที่ทารกต้องการอาจได้รับวิตามินอื่นเกินขนาดได้
หากทารกได้รับอาหารตามปกติ จะได้รับธาตุสังกะสีในปริมาณที่เพียงพออยู่แล้ว
แต่ถ้าทารกมีอาการขาดธาตุสังกะสี เช่น เบื่ออาหาร เชื่องช้า เจริญเติบโตช้า ภูมิต้านทานลดลง
ควรเสริมธาตุสังกะสีในรูปของอาหารได้แก่ ไข่, ตับ, เนื้อสัตว์ เป็นต้น
คำแนะนำเพิ่มเติมในการเสริมวิตามินและเกลือแร่ในแก่ทารกที่คุณพ่อคุณแม่ควรทราบ ได้แก่
1. ในช่วงทารกอายุไม่เกิน 6 เดือน ถ้าทารกได้รับนมแม่และคุณแม่นำไปรับแสงแดดบ้าง
ทารกก็จะได้รับเกลือแร่ วิตามินเพียงพอไม่ต้องเสริมอีก แต่ถ้าทารกได้รับนมดัดแปลงสำหรับทารก
ควรเลือกชนิดที่เสริมธาตุเหล็กด้วย และนำไปสัมผัสแสงแดดบ้างเพื่อรับวิตามินดี เท่านี้ก็เพียงพอ
ไม่จำเป็นต้องเสริมวิตามินอีก
2. ทารกที่มีอายุ 6-12 เดือน ควรได้รับอาหารเสริมตามที่กล่าวไว้ในฉบับที่แล้ว
ทารกก็ควรได้รับวิตามินและเกลือแร่ครบถ้วนเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เสริมอีก
3. กรณีทารกเจ็บป่วยรับประทานได้น้อยลง อาจพิจารณาเสริมวิตามินและเกลือแร่
เป็นครั้งคราวได้ โดยจะต้องเลือกชนิดและปริมาณที่เหมาะสม คือ
- เลือกชนิดที่คาดว่าร่างกายได้รับไม่เพียงพอและเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายได้แก่
วิตามิน เอ, ดี, อี, เค, บี1, บี2, บี6, บี12, ไนอาริน, กรดโฟลิค และไบโอติน เป็นต้น
- เลือกชนิดที่มีปริมาณวิตามินและเกลือแร่เท่ากับที่ร่างกายต้องการ วิธีดูแบบง่ายๆ ก็คือ
สังเกตค่า %RDA วิตามินที่ได้มาตรฐานจะระบุ %RDAซึ่งคือปริมาณขั้นต่ำ
ที่ร่างกายต้องการ ควรเลือกที่มีปริมาณวิตามินและแร่ธาตุไม่น้อยกว่า 50%RDA
และไม่มากเกิน 15%RDA เช่น ระบุว่า RDA = 20 มิลลิกรัม ปริมาณวิตามินที่มีในขวดนั้น
ชนิดนั้นต้องไม่น้อยกว่า 10 มิลลิกรัม แต่ไม่ควรมากกว่า 30 มิลลิกรัม เป็นต้น
หรือบางสูตรจะระบุเป็น %RDA ไว้เลย ถ้าระบุว่า 100%RDA หมายความว่า
มีวิตามินชนิดนั้นในปริมาณที่เท่ากับปริมาณที่ร่างกายต้องการ ถ้าระบุว่า 50%RDA
จะหมายถึงมีวิตามินชนิดนั้นในปริมาณครึ่งหนึ่งของปริมาณที่ร่างกายต้องการ เป็นต้น
ทั้งนี้คุณแม่ต้องไม่ลืมว่า วิตามินและเกลือแร่ที่ให้ทารกมากเกินไป อาจก่อให้เกิดผลเสียด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะวิตามินเอและวิตามินดี เนื่องจากร่างกายสามารถสะสมได้ ผลเสียคือ
การสะสมวิตามินเอในปริมาณมากจะทำให้ความดันในสมองของทารกเพิ่มขึ้น เกิดอาการปวดศีรษะ
คลื่นไส้อาเจียน และสมองบวมน้ำได้ นอกจากนี้ยังนำไปสู่ภาวะขาดวิตามินซีตามมาด้วย
การให้วิตามินบีใดๆ สูงๆ จะทำให้เกิดการขาดวิตามินบีตัวอื่นๆ ได้ หรือหากให้วิตามินบี 12
จำนวนมากๆ จะทำให้ทารกตาสู้แสงไม่ได้
ปกติวิตามินดีที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเองได้ทำให้การดูดซึมแคลเซียมเพิ่มมากขึ้น
จนเกิดการสะสมของแคลเซียมตามอวัยวะสำคัญๆ เช่น ไต, หัวใจ
การเสริมวิตามินซีมากเกินไปจะทำให้ทารกขาดวิตามินบี 12 และกรดโฟลิกได้
นอกจากนี้คุณแม่หลายท่านคงเคยได้ยิน "วิตามิน F" ซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือ กรดไขมัน
ชนิดไม่อิ่มตัวไลโนลีอิค (Linoleic) กับไลโนลีนิค (Linolenic) ซึ่งพบอยู่ในน้ำมันปลา น้ำมันพืชพวกข้าวโพ
ดอกทานตะวัน, อีวีนิ่งพริมโรส เป็นต้น ซึ่งทำหน้าที่ช่วยให้การแข็งตัวของเลือดเป็นปกติ
รวมถึงการทำงานของต่อมต่างๆ ในร่างกาย และการควบคุมคอเรสเตอรอลกับความดันโลหิตให้เป็นปกติ
ซึ่งวิตามินนี้ทารกควรจะได้รับน้ำมันได้ครบถ้วนแล้ว
ส่วนสารไบโอติน (Biotin) ซึ่งช่วยในการเผาผลาญและใช้ประโยชน์จากโปรตีน, ไขมัน
และคาร์โบไฮเดรตทำให้เซลล์เจริญเติบโตนั้นแทบไม่ต้องให้เสริมแก่ทารกเลย
ถ้าคุณแม่เสริมอาหารให้ครบถ้วนในประเภทตับ, ไข่แดง, ถั่ว, ข้าวโอ๊ต และผักใบเขียว
สำหรับฉบับนี้หวังว่าคุณแม่จะได้รับความรู้ สามารถนำไปประยุกต์เลือกเสริมวิตามิน
และเกลือแร่ให้กับลูกน้อยได้อย่างพอเหมาะไม่มากเกินไปและไม่น้อยจนมีผลต่อการเจริญเติบโตของลูก
อย่าลืมวิตามินและเกลือแร่มีคุณอนันต์ แต่ก็มีโทษเหมือนกันถ้าได้รับมากเกินไป
ภญ.ยุวดี หงส์รัตนาวรกิจ
|