มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



ได้เวลาอาหารเสริม

ภญ.ยุวดี หงส์รัตนาวรกิจ

เมื่อกล่าวถึง "อาหารเสริมสำหรับทารก" คุณแม่หลายๆ ท่านคงจะอ่านข้ามไป ด้วยคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ป้อนให้ลูกน้อยจนเคยชินแล้วหรือบางท่านเห็นว่าไม่จำเป็น เพราะลูกน้อยได้รับนมจนอิ่มแปล้อยู่แล้ว และใครๆ ก็บอกว่าให้ลูกน้อยดูดนมจากอกแม่จะดีที่สุด นั่นแสดงว่า คุณแม่ยังไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ที่แท้จริง ที่ต้องให้อาหารเสริมแก่ทารก หรือไม่ทราบอย่างถ่องแท้ว่าอะไรคืออาหารเสริม

ในระยะแรกเกิดทารกได้รับนมอย่างเดียว ก็ได้คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย จนถึงเวลาที่ต้องหย่านมคุณแม่ต้องเริ่มมองหาอาหารเสริม ช่วงนี้เองที่ลูกน้อยเริ่มเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนการรับประทานอาหารเหลวเป็นน้ำมาเป็นอาหารที่แข็งขึ้น ซึ่งผ่านการแปรสภาพโดยบด, สับ, กรอง เป็นต้น

การให้อาหารเสริมไม่ได้ไปแทนที่น้ำนมที่รับได้ปกติ แต่เป็นการเพิ่มอาหารให้มากขึ้นอีก จนเพียงพอกับความต้องการของทารก การให้อาหารเสริมจึงไม่ควรรบกวนการดูดนมของทารก กล่าวคือเมื่อลูกน้อยอายุ 6 เดือน พลังงานที่ได้จากอาหารเสริมไม่ควรเกินกว่าครึ่งหนึ่งของพลังงานทั้งหมด (นม+อาหารเสริม) เมื่ออายุมากขึ้น (6 เดือน-1 ขวบ) ลูกน้อยควรจะได้รับอาหารเสริมเพิ่มขึ้น แต่ยังคงต้องรับนมวันละ 500-1,000 ซีซี. จึงจะได้รับคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอ

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการให้อาหารเสริมแก่ทารกมีสาเหตุหลักๆ ก็เพื่อให้ทารกได้สารอาหารเพียงพอ เพราะการให้นมแม่หรือนมสูตรสำหรับลูกน้อยเพียงอย่างเดียว จะช่วยให้ลูกน้อยเจริญเติบโตได้ดี เพียงช่วง 4 เดือนแรก ต่อจากนั้นเมื่อลูกน้อยเจริญเติบโตขึ้นสารอาหารจากน้ำนม เริ่มไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จึงต้องเสริมอาหารในช่วงหลังจาก 4 เดือนไปแล้ว อีกสาเหตุที่ให้อาหารเสริมก็เพื่อช่วยให้ลูกน้อย เรียนรู้พฤติกรรมการรับประทาน ได้แก่ การกลืน, เคี้ยว, รสชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกาย ในการรับประทานเมื่อโตขึ้น

การเลือกเวลาในการให้อาหารเสริม พิจารณาจากหลัก 2 ประการคือ
1. สภาพร่างกายของลูกน้อย เนื่องจากทารกแต่ละคนจะมีความพร้อม ในการรับประทานอาหารที่แข็งกว่าน้ำนม ช้าเร็ว-ต่างกัน แต่โดยเฉลี่ยจะเริ่มพร้อม เมื่ออายุ 4 เดือน ลูกน้อยจะเริ่มตอบสนองอาหารแข็งโดยใช้ลิ้นดันอาหารออก อาหารช่วงนี้ควรเป็นอาหารกึ่งแข็งกึ่งเหลว ที่ผ่านการบดละเอียดแล้ว และลูกน้อยจะพัฒนาความสามารถในการบดเคี้ยวตั้งแต่อายุ 6 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ฟันน้ำนมเริ่มงอกขึ้นมาเมื่อลูกน้อยมีอาหารตอบสนองอาหาร โดยให้ความสนใจเริ่มขยับปากตามหรือไขว่คว้าอาหารหยิบอาหารเข้าปาก แสดงว่าลูกน้อยมีความพร้อมจะรับประทานอาหารเสริมแล้ว

2. เวลาในการให้นมแม่หรือนมชงสูตรทารกเริ่มไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกน้อย โดยพิจารณาจากขนาดและน้ำหนักตัวของทารกเทียบกับมาตรฐานตามอายุของทารก ถ้าลูกน้อยของคุณแม่มีขนาดและน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน สมควรจะพัฒนาอาหารเสริม ให้แก่ลูกน้อยได้แล้ว โดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นช่วงอายุ 4-5 เดือน
แต่อย่างไรก็ตาม การให้อาหารเสริมเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป ล้วนแล้วแต่มีผลเสียต่อลูกน้อยทั้งสิ้น กล่าวคือ ถ้าคุณแม่ให้อาหารเสริมเร็วเกินไป (ช่วงอายุก่อนครบ 3 เดือน) อาหารเสริมจะทำให้ลูกน้อยอิ่ม จนไม่สามารถดูดนมได้ เพราะกระเพาะทารกมีขนาดเล็กจุอาหารได้ไม่มาก ดังนั้นอาหารเสริม จะทำให้ลูกน้อยหย่านมเร็วขึ้นและยังทำให้ระบบการย่อยอาหาร การดูดซึมอาหาร และระบบขับถ่ายแปรปรวนไปด้วยจนที่สุดส่งผลต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อยด้วย

แต่ถ้าคุณแม่ให้อาหารเสริมช้าเกินไป (หลังอายุ 6 เดือนไปแล้ว) จะมีผลทำให้อัตราการเจริญเติบโตของทารกต่ำกว่าปกติ เพราะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ โดยเฉพาะการพัฒนาการของสมองจำเป็นต้องใช้สารอาหารครบถ้วนและปริมาณที่เพียงพอ การให้อาหารเสริมในเวลาที่เหมาะสมจะช่วยเสริมพัฒนาการนี้ได้ นอกจากนี้หากลูกน้อย ได้รับอาหารเสริมช้าเกินไปจะทำให้ลูกน้อยเรียนรู้พฤติกรรมเกี่ยวกับการรับประทานอาหารแข็งช้าไป ทำให้ยาต่อการฝึกขึ้น และเกิดปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมการรับประทานด้วย

กล่าวโดยสรุปก็คือ ช่วงเวลาที่เหมาะสมของการให้อาหารเสริมแก่ทารก ควรเริ่มเมื่อทารกอายุ 3-4 เดือน ไม่ควรช้าเกินกว่า 6 เดือน

เมื่อกำหนดเวลาที่เหมาะสมได้แล้วคุณแม่ควรทราบหลักการในการให้อาหารเสริมที่ถูกต้องด้วยคือ

ควรเลือกชนิดของอาหารให้เหมาะสมกับลูกน้อย คือเป็นอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ผ่านการบดอย่างละเอียดเพราะทารกนี้ยังไม่สามารถเคี้ยวได้ ไม่มีฟันสำหรับบด-เคี้ยว ต้องมีสารอาหารเข้มข้นสูง เนื่องจากยังมีขนาดกระเพาะอาหารเล็ก จุได้น้อย ถ้าอาหารเสริมไม่เข้มข้น ด้วยสารอาหารเพียงพอลูกน้อยจะขาดสารอาหารได้

จัดวางรูปแบบการรับประทานให้ถูกต้อง โดยทั่วไปแล้วไม่มีหลักเกณฑ์ที่ตายตัวว่า จะเริ่มให้รับประทานแบบใดก่อน มีข้อแนะนำว่าควรเริ่มต้นอาหารเสริมด้วยอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหา การแพ้เช่น ข้าวบด กล้วยครูด จนอายุได้ 5-6 เดือน จึงค่อยให้เนื้อปลาบดและจะให้ไข่เมื่ออายุ 7 เดือนไปแล้ว และควรจัดอาหารให้มีความหลากหลายครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ลูกน้อยเรียนรู้และคุ้นเคยกับอาหาร ครบทั้ง 5 หมู่ ถ้าเป็นไปได้คุณแม่ควรส่งเสริมการเรียนรู้วิธีการรับประทานโดยให้ลูกน้อย ฝึกหยิบจับอาหารเข้าปากเอกบ้างเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

ควรเลือกอาหารหรือวิธีปรุงอาหารที่สะอาดเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร พึงระลึกเสมอว่าทารกท้องเสียมีอันตรายมากกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า

ควรระมัดระวังในเรื่องรสชาติของอาหาร โดยทั่วไปแล้วผู้ใหญ่จะเคยชินกับอาหารที่มีรสชาติเปรี้ยว, หวาน เค็มต่างๆ แต่ทารกไม่ต้องการเช่นนั้นผู้ใหญ่ที่ให้อาหารเป็นผู้ทำให้ทารกเคยชินกับรสชาติอาหารเองต่างหาก หากให้อาหารปรุงรสกับลูกน้อยจนลูกน้อยติดในรสชาติอาหารจะส่งผลให้การรับประทานต่อไปในอนาคต และส่งผลต่อสุขภาพของลูกน้อยด้วย เช่น การเติมเกลือลงไปในอาหารเสริมเป็นประจำ จะทำให้ลูกน้อย มีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูงเมื่อโตขึ้นมากกว่าที่ไม่ได้รับเกลือตั้งแต่เล็ก การเติมน้ำตาลทราย จะทำให้ลูกน้อยติดรสชาติหวานทำให้อิ่มเร็ว และเป็นโรคอ้วน (น้ำหนักเกินแต่ไม่แข็งแรง) เป็นต้น

ขอแนะนำลำดับการให้อาหารเสริมชนิดต่างๆ ตามหลักที่กล่าวมาแล้วเป็นตัวอย่างให้คุณแม่ ได้มองเห็นชัดเจนขึ้น ดังนี้

อายุของทารก ตัวอย่างอาหารเสริมที่ให้ได้
3-4 เดือน
กล้วยสุกครูด, ข้าวบดใส่น้ำแกงจืด, ข้าวบดใส่ตับบด,
ข้าวบดกับถั่วต้มเปื่อยๆ, ข้าวบดกับเต้าหู้ขาว
5-6 เดือน
เริ่มให้อาหารประเภทเนื้อปลาบด, ข้าวบดกับฟักทองต้มเปื่อย,
มะละกอสุกครูด, ข้าวบดกับผักต้มเปื่อยๆ
7 เดือน
ให้เนื้อสัตว์บดกับข้าว, ไข่ทั้งฟองบด
8-9 เดือน
ให้อาหารเป็นมื้อหลักได้ 1-2 มื้อ (ยังคงให้นมด้วย)
10-11 เดือน
ให้อาหารเป็นมื้อหลักได้ 3 มื้อ (ยังคงให้นมด้วย)
และเริ่มให้ผลไม้เป็นอาหารว่างได้

สำหรับเทคนิคในการให้อาหารเสริมเพื่อให้ลูกน้อยยอมรับได้ขอแนะนำดังนี้
  • ครั้งแรกที่ให้ต้องเริ่มทีละน้อยๆ ประมาณ 1 ช้อนชา และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อลูกน้อยเริ่มคุ้นเคย
  • ไม่ควรผสมอาหารปนกันหลายๆ อย่างในครั้งเดียวจะทำให้รสชาติอาหารไม่ดี ลูกน้อยอาจไม่ชอบใจตั้งแต่เริ่มแรกที่ลองรับประทาน ก่อให้เกิดปัญหาไม่ยอมรับอาหารครั้งถัดไป
  • เมื่อเริ่มอาหารชนิดใหม่ ให้ลูกน้อยรับประทานอาหารที่ชอบก่อน แล้วจึงตามด้วยอาหารชนิดใหม่
  • ไม่ควรผสมอาหารกับนมหรือน้ำใส่ขวดให้ลูกดูด จะทำให้ลูกน้อยไม่คุ้นเคย ในการรับประทานอาหารเสริม
  • ขณะป้อนอาหารเสริมควรจัดเป็น 2 ชุด คือชุดแรกให้ลูกน้อยหยิบจับหรือตักเข้าปากเอง อีกชุดหนึ่งไว้ป้อนเพื่อให้ลูกน้อยคุ้นเคยและเพลิดเพลินกับการรับประทานมากขึ้น
  • หากลูกน้อยปฏิเสธอาหารใด ควรเว้นระยะไม่ป้อนอาหารนี้ไปก่อน แล้วค่อยกลับมาลองซ้ำ ถ้าไม่ได้ผลก็ไม่ควรยัดเยียดน่าจะลองเปลี่ยนเป็นอาหารเสริมชนิดอื่น ที่มีคุณค่าทางอาหารเท่ากันแทน
ฉบับนี้คุณแม่คงจะได้ทราบแนวทางและความจำเป็นในการให้อาหารเสริมแก่ลูกน้อยที่ถูกต้อง ฉบับต่อไปคุณแม่จะได้ทราบถึงการเสริมวิตามินและเกลือแร่ที่เหมาะสมสำหรับลูกน้อยกันค่ะ

(update 8 มกราคม 2001)


[ ที่มา... นิตยสารแม่และเด็ก   ปีที่ 23 ฉบับที่ 339 พฤษภาคม 2543]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600