ภญ.ยุวดี หงส์รัตนาวรกิจ 
 
 เมื่อกล่าวถึง "อาหารเสริมสำหรับทารก" คุณแม่หลายๆ ท่านคงจะอ่านข้ามไป 
ด้วยคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ป้อนให้ลูกน้อยจนเคยชินแล้วหรือบางท่านเห็นว่าไม่จำเป็น
เพราะลูกน้อยได้รับนมจนอิ่มแปล้อยู่แล้ว และใครๆ 
ก็บอกว่าให้ลูกน้อยดูดนมจากอกแม่จะดีที่สุด นั่นแสดงว่า คุณแม่ยังไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ที่แท้จริง
ที่ต้องให้อาหารเสริมแก่ทารก หรือไม่ทราบอย่างถ่องแท้ว่าอะไรคืออาหารเสริม 
 ในระยะแรกเกิดทารกได้รับนมอย่างเดียว ก็ได้คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน 
เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย จนถึงเวลาที่ต้องหย่านมคุณแม่ต้องเริ่มมองหาอาหารเสริม
ช่วงนี้เองที่ลูกน้อยเริ่มเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนการรับประทานอาหารเหลวเป็นน้ำมาเป็นอาหารที่แข็งขึ้น 
ซึ่งผ่านการแปรสภาพโดยบด, สับ, กรอง เป็นต้น 
 การให้อาหารเสริมไม่ได้ไปแทนที่น้ำนมที่รับได้ปกติ แต่เป็นการเพิ่มอาหารให้มากขึ้นอีก
จนเพียงพอกับความต้องการของทารก การให้อาหารเสริมจึงไม่ควรรบกวนการดูดนมของทารก 
กล่าวคือเมื่อลูกน้อยอายุ 6 เดือน พลังงานที่ได้จากอาหารเสริมไม่ควรเกินกว่าครึ่งหนึ่งของพลังงานทั้งหมด 
(นม+อาหารเสริม) เมื่ออายุมากขึ้น (6 เดือน-1 ขวบ) ลูกน้อยควรจะได้รับอาหารเสริมเพิ่มขึ้น
แต่ยังคงต้องรับนมวันละ 500-1,000 ซีซี. จึงจะได้รับคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอ 
 ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการให้อาหารเสริมแก่ทารกมีสาเหตุหลักๆ ก็เพื่อให้ทารกได้สารอาหารเพียงพอ 
เพราะการให้นมแม่หรือนมสูตรสำหรับลูกน้อยเพียงอย่างเดียว จะช่วยให้ลูกน้อยเจริญเติบโตได้ดี
เพียงช่วง 4 เดือนแรก ต่อจากนั้นเมื่อลูกน้อยเจริญเติบโตขึ้นสารอาหารจากน้ำนม
เริ่มไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย 
จึงต้องเสริมอาหารในช่วงหลังจาก 4 เดือนไปแล้ว อีกสาเหตุที่ให้อาหารเสริมก็เพื่อช่วยให้ลูกน้อย
เรียนรู้พฤติกรรมการรับประทาน ได้แก่ การกลืน, เคี้ยว, รสชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกาย
ในการรับประทานเมื่อโตขึ้น 
 การเลือกเวลาในการให้อาหารเสริม พิจารณาจากหลัก 2 ประการคือ 
1. สภาพร่างกายของลูกน้อย เนื่องจากทารกแต่ละคนจะมีความพร้อม
ในการรับประทานอาหารที่แข็งกว่าน้ำนม ช้าเร็ว-ต่างกัน แต่โดยเฉลี่ยจะเริ่มพร้อม
เมื่ออายุ 4 เดือน ลูกน้อยจะเริ่มตอบสนองอาหารแข็งโดยใช้ลิ้นดันอาหารออก 
อาหารช่วงนี้ควรเป็นอาหารกึ่งแข็งกึ่งเหลว ที่ผ่านการบดละเอียดแล้ว
และลูกน้อยจะพัฒนาความสามารถในการบดเคี้ยวตั้งแต่อายุ 6 เดือน 
ซึ่งเป็นช่วงที่ฟันน้ำนมเริ่มงอกขึ้นมาเมื่อลูกน้อยมีอาหารตอบสนองอาหาร 
โดยให้ความสนใจเริ่มขยับปากตามหรือไขว่คว้าอาหารหยิบอาหารเข้าปาก
แสดงว่าลูกน้อยมีความพร้อมจะรับประทานอาหารเสริมแล้ว 
 2. เวลาในการให้นมแม่หรือนมชงสูตรทารกเริ่มไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกน้อย 
โดยพิจารณาจากขนาดและน้ำหนักตัวของทารกเทียบกับมาตรฐานตามอายุของทารก 
ถ้าลูกน้อยของคุณแม่มีขนาดและน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน สมควรจะพัฒนาอาหารเสริม
ให้แก่ลูกน้อยได้แล้ว โดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นช่วงอายุ 4-5 เดือน 
 
แต่อย่างไรก็ตาม การให้อาหารเสริมเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป ล้วนแล้วแต่มีผลเสียต่อลูกน้อยทั้งสิ้น 
กล่าวคือ ถ้าคุณแม่ให้อาหารเสริมเร็วเกินไป (ช่วงอายุก่อนครบ 3 เดือน) อาหารเสริมจะทำให้ลูกน้อยอิ่ม
จนไม่สามารถดูดนมได้ เพราะกระเพาะทารกมีขนาดเล็กจุอาหารได้ไม่มาก ดังนั้นอาหารเสริม
จะทำให้ลูกน้อยหย่านมเร็วขึ้นและยังทำให้ระบบการย่อยอาหาร การดูดซึมอาหาร
และระบบขับถ่ายแปรปรวนไปด้วยจนที่สุดส่งผลต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อยด้วย 
 แต่ถ้าคุณแม่ให้อาหารเสริมช้าเกินไป (หลังอายุ 6 เดือนไปแล้ว) 
จะมีผลทำให้อัตราการเจริญเติบโตของทารกต่ำกว่าปกติ เพราะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ 
โดยเฉพาะการพัฒนาการของสมองจำเป็นต้องใช้สารอาหารครบถ้วนและปริมาณที่เพียงพอ 
การให้อาหารเสริมในเวลาที่เหมาะสมจะช่วยเสริมพัฒนาการนี้ได้ นอกจากนี้หากลูกน้อย
ได้รับอาหารเสริมช้าเกินไปจะทำให้ลูกน้อยเรียนรู้พฤติกรรมเกี่ยวกับการรับประทานอาหารแข็งช้าไป
ทำให้ยาต่อการฝึกขึ้น และเกิดปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมการรับประทานด้วย 
 กล่าวโดยสรุปก็คือ ช่วงเวลาที่เหมาะสมของการให้อาหารเสริมแก่ทารก 
ควรเริ่มเมื่อทารกอายุ 3-4 เดือน ไม่ควรช้าเกินกว่า 6 เดือน 
 เมื่อกำหนดเวลาที่เหมาะสมได้แล้วคุณแม่ควรทราบหลักการในการให้อาหารเสริมที่ถูกต้องด้วยคือ 
 ควรเลือกชนิดของอาหารให้เหมาะสมกับลูกน้อย คือเป็นอาหารที่ย่อยง่าย เช่น 
ผ่านการบดอย่างละเอียดเพราะทารกนี้ยังไม่สามารถเคี้ยวได้ ไม่มีฟันสำหรับบด-เคี้ยว 
ต้องมีสารอาหารเข้มข้นสูง เนื่องจากยังมีขนาดกระเพาะอาหารเล็ก จุได้น้อย ถ้าอาหารเสริมไม่เข้มข้น
ด้วยสารอาหารเพียงพอลูกน้อยจะขาดสารอาหารได้ 
 จัดวางรูปแบบการรับประทานให้ถูกต้อง โดยทั่วไปแล้วไม่มีหลักเกณฑ์ที่ตายตัวว่า
จะเริ่มให้รับประทานแบบใดก่อน มีข้อแนะนำว่าควรเริ่มต้นอาหารเสริมด้วยอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหา
การแพ้เช่น ข้าวบด กล้วยครูด จนอายุได้ 5-6 เดือน จึงค่อยให้เนื้อปลาบดและจะให้ไข่เมื่ออายุ 7 เดือนไปแล้ว 
และควรจัดอาหารให้มีความหลากหลายครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ลูกน้อยเรียนรู้และคุ้นเคยกับอาหาร
ครบทั้ง 5 หมู่ ถ้าเป็นไปได้คุณแม่ควรส่งเสริมการเรียนรู้วิธีการรับประทานโดยให้ลูกน้อย
ฝึกหยิบจับอาหารเข้าปากเอกบ้างเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม 
 ควรเลือกอาหารหรือวิธีปรุงอาหารที่สะอาดเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร
พึงระลึกเสมอว่าทารกท้องเสียมีอันตรายมากกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า
 ควรระมัดระวังในเรื่องรสชาติของอาหาร โดยทั่วไปแล้วผู้ใหญ่จะเคยชินกับอาหารที่มีรสชาติเปรี้ยว, 
หวาน เค็มต่างๆ แต่ทารกไม่ต้องการเช่นนั้นผู้ใหญ่ที่ให้อาหารเป็นผู้ทำให้ทารกเคยชินกับรสชาติอาหารเองต่างหาก 
หากให้อาหารปรุงรสกับลูกน้อยจนลูกน้อยติดในรสชาติอาหารจะส่งผลให้การรับประทานต่อไปในอนาคต 
และส่งผลต่อสุขภาพของลูกน้อยด้วย เช่น การเติมเกลือลงไปในอาหารเสริมเป็นประจำ จะทำให้ลูกน้อย
มีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูงเมื่อโตขึ้นมากกว่าที่ไม่ได้รับเกลือตั้งแต่เล็ก การเติมน้ำตาลทราย
จะทำให้ลูกน้อยติดรสชาติหวานทำให้อิ่มเร็ว และเป็นโรคอ้วน (น้ำหนักเกินแต่ไม่แข็งแรง) เป็นต้น 
 ขอแนะนำลำดับการให้อาหารเสริมชนิดต่างๆ ตามหลักที่กล่าวมาแล้วเป็นตัวอย่างให้คุณแม่
ได้มองเห็นชัดเจนขึ้น ดังนี้ 
 
	| อายุของทารก | 		
	ตัวอย่างอาหารเสริมที่ให้ได้  | 
 
	| 3-4 เดือน | 	
	กล้วยสุกครูด, ข้าวบดใส่น้ำแกงจืด, ข้าวบดใส่ตับบด,  
	ข้าวบดกับถั่วต้มเปื่อยๆ, ข้าวบดกับเต้าหู้ขาว |  
 
	| 5-6 เดือน | 		
	เริ่มให้อาหารประเภทเนื้อปลาบด, ข้าวบดกับฟักทองต้มเปื่อย,  
	มะละกอสุกครูด, ข้าวบดกับผักต้มเปื่อยๆ  | 
 
	| 7 เดือน  | 	
	ให้เนื้อสัตว์บดกับข้าว, ไข่ทั้งฟองบด | 
 
	| 8-9 เดือน | 		
	ให้อาหารเป็นมื้อหลักได้ 1-2 มื้อ (ยังคงให้นมด้วย) | 
 
	| 10-11 เดือน | 		
	ให้อาหารเป็นมื้อหลักได้ 3 มื้อ (ยังคงให้นมด้วย)  
	และเริ่มให้ผลไม้เป็นอาหารว่างได้  | 
 
 
 สำหรับเทคนิคในการให้อาหารเสริมเพื่อให้ลูกน้อยยอมรับได้ขอแนะนำดังนี้ 
- ครั้งแรกที่ให้ต้องเริ่มทีละน้อยๆ ประมาณ 1 ช้อนชา และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อลูกน้อยเริ่มคุ้นเคย
 - ไม่ควรผสมอาหารปนกันหลายๆ อย่างในครั้งเดียวจะทำให้รสชาติอาหารไม่ดี 
ลูกน้อยอาจไม่ชอบใจตั้งแต่เริ่มแรกที่ลองรับประทาน ก่อให้เกิดปัญหาไม่ยอมรับอาหารครั้งถัดไป 
 - เมื่อเริ่มอาหารชนิดใหม่ ให้ลูกน้อยรับประทานอาหารที่ชอบก่อน แล้วจึงตามด้วยอาหารชนิดใหม่
 - ไม่ควรผสมอาหารกับนมหรือน้ำใส่ขวดให้ลูกดูด จะทำให้ลูกน้อยไม่คุ้นเคย
ในการรับประทานอาหารเสริม
 - ขณะป้อนอาหารเสริมควรจัดเป็น 2 ชุด คือชุดแรกให้ลูกน้อยหยิบจับหรือตักเข้าปากเอง 
อีกชุดหนึ่งไว้ป้อนเพื่อให้ลูกน้อยคุ้นเคยและเพลิดเพลินกับการรับประทานมากขึ้น 
 - หากลูกน้อยปฏิเสธอาหารใด ควรเว้นระยะไม่ป้อนอาหารนี้ไปก่อน แล้วค่อยกลับมาลองซ้ำ 
ถ้าไม่ได้ผลก็ไม่ควรยัดเยียดน่าจะลองเปลี่ยนเป็นอาหารเสริมชนิดอื่น
ที่มีคุณค่าทางอาหารเท่ากันแทน 
   
ฉบับนี้คุณแม่คงจะได้ทราบแนวทางและความจำเป็นในการให้อาหารเสริมแก่ลูกน้อยที่ถูกต้อง 
ฉบับต่อไปคุณแม่จะได้ทราบถึงการเสริมวิตามินและเกลือแร่ที่เหมาะสมสำหรับลูกน้อยกันค่ะ
  |