เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญจากองค์กรแห่งหนึ่งให้เป็นผู้สอบสัมภาษณ์
นักศึกษาจำนวนหลายคน ที่มาสมัครแข่งขันเพื่อขอรับทุนการศึกษาจากหน่วยงานต่างประเทศ
ซึ่งแต่ละคนนั้นมีผลการเรียนในระดับยอดเยี่ยมหรือจะเรียกว่าเป็น "หัวกะทิ" ของมหาวิทยาลัย
หรือชั้นปีของเขาก็ว่าได้ และข้อมูลที่ได้รับจากการสัมภาษณ์ทำให้ผมรู้ว่า การที่เด็กๆ เหล่านี้
เรียนเก่งไม่ใช่เพียงเพราะว่าเขา "หัวดี" หรือฉลาดกว่าคนอื่น แต่มีปัจจัยอื่นๆ อีกหลายประการ
ที่ส่งผลต่อความสำเร็จของพวก
"แนวทางการเลี้ยงดูของพ่อแม่" นับเป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรกที่มีอิทธิพลกำหนดให้พวกเขา
สามารถเรียนได้ดีกว่าเด็ก คนอื่นๆ ซึ่งผมเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ยิ่งหากสรุปเป็น
"เคล็ดลับเลี้ยงลูกให้เรียนเก่ง" เพื่อให้พ่อแม่ทุกคนได้มีโอกาสเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้
ในการดูแลลูกให้เรียนเก่งอย่างถูกวิธี
เคล็ดลับการเลี้ยงลูกให้เรียนเก่งเหล่านี้ ได้แก่
- สนับสนุนให้เด็กค้นหาสิ่งที่ตนเองชอบ
เด็กๆ ที่เรียนได้ดีนั้นส่วนใหญ่ไม่ได้ เป็นเด็กที่มีสติปัญญาแตกต่างจากเด็กทั่วๆ ไปเท่าใดนัก
แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างและทำให้เขาเรียนดีกว่าเด็กอื่นๆ ก็คือ การที่เขาได้ทำในสิ่งที่ชอบ ทำในสิ่งที่เขารัก
ไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกบังคับ
เด็กที่ผมสัมภาษณ์นั้นมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ พวกเขาเรียนเก่งเพราะพ่อแม่เปิดโอกาสให้เขาได้เลือก
และทำในสิ่งที่เขาชอบ เมื่อเด็กชอบที่จะเรียนเขาก็จะรู้สึกสนุกกับการเรียน มีความตั้งใจในการเรียนรู้
ทำความเข้าใจ ช่างซักถาม ขยันที่จะทบทวนและค้นคว้าหาอ่านเพิ่มเติมด้วยตนเอง ความรักในสิ่งที่เรียน
เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้พวกเขาเรียนอย่าง "ดีเลิศ" คะแนนที่ยอดเยี่ยมเป็นผลที่ตามมา
จากความสนุกในการเรียนรู้ที่ได้รับ
ดังนั้น พ่อแม่จึงควรเป็นผู้สนับสนุนให้ลูกค้นหาสิ่งที่ตนเองชอบ ไม่ควรบังคับความคิดลูกว่า
"ต้อง" ทำสิ่งนั้น "ห้าม" ทำสิ่งนั้น ไม่ควรปิดกั้นความคิดและโอกาสในการเลือกของลูกๆ
เพราะจะทำให้เด็กเบื่อหน่ายในการเรียน เห็นการเรียนเป็นเหมือนยาขมที่พ่อแม่บังคับ
ให้ต้องกล้ำกลืนฝืนกิน และไม่สามารถจะดื่มน้ำหวานที่ตนเองโปรดปรานได้เพราะถูกห้ามไว้
เด็กที่ถูกบังคับจะไม่สามารถเรียนได้อย่างเต็มที่เพราะเขาจะไม่จดจ่อและเกิดความเบื่อหน่าย
ซึ่งนอกจากจะส่งผลถึงคะแนนในปลายภาคแล้ว ยังมีผลต่อเป้าหมายในอนาคตของเขาเขา
อาจจะกลายเป็นคนที่ขาดความมั่นใจ ไม่รู้ว่าตนเองชอบอะไร ถนัดอะไร เพราะไม่ได้รับการเปิดโอกาสให้ค้นหา
และค้นพบตนเอง นอกจากนั้นเขามักจะทำสิ่งที่เป็นอาชีพการงานที่เรียนมาไม่ได้ดีเท่าที่ควร
เพราะขาดความสนใจ สิ่งนี้ย่อมทำให้มีแนวโน้มสูงมากที่เขาจะดำเนินชีวิตอย่างไม่มีความสุข
และล้มเหลวในการทำงาน
- สภาพครอบครัวอบอุ่นและมีความรัก
บรรยากาศในครอบครัวมีส่วนสำคัญอย่างมากในการกำหนดสภาวะจิตใจ อารมณ์
และสมาธิในการเรียนรู้ของเด็ก เด็กที่เรียนได้ดีส่วนมากจะอยู่ในครอบครัวที่ได้รับความรักจากพ่อแม่
และพี่น้อง พ่อแม่มีความรักให้แก่กันและกันและมีความรักให้กับลูก ลูกๆ รักกัน ภายในบ้านมีความอบอุ่น
ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง มีบรรยากาศของการพูดคุยและทำกิจกรรมร่วมกัน
ครอบครัวที่อบอุ่นจะทำให้เด็กมีความมั่นคงทางจิตใจ จะทำให้เป็นเด็กที่มีความร่าเริงแจ่มใส
มีความสุขและเป็นคนที่มองโลกในแง่บวก ซึ่งเป็นสภาวะที่เอื้อให้เด็กมีสมองปลอดโปร่งและแจ่มใส
ที่จะเปิดรับความรู้ใหม่ๆ ที่เข้ามาได้เป็นอย่างดี
- สร้างบรรยากาศภายในบ้านเอื้อต่อการเรียนรู้
สภาพแวดล้อมภายในบ้านเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของลูก
คุณแม่ของนักศึกษาที่ผมสัมภาษณ์คนหนึ่ง เปิดวิดีโอเสียงภาษาอังกฤษให้ลูกฟังตั้งแต่เด็ก
เพื่อให้ลูกเรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างธรรมชาติ ปรากฏว่านักศึกษาคนนี้เมื่อเติบโตขึ้นเป็นเด็กไทย
ที่มีทักษะภาษาอังกฤดีมากทั้งการสนทนา อ่าน และเขียนโดยที่ไม่เคยไปเรียนที่ต่างประเทศเลย
เพราะเขาได้ซึมซับสิ่งที่ดีเหล่านี้ที่ครอบครัว
พ่อแม่จึงควรจัดสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้เป็นบรรยากาศที่เด็กจะได้รับการพัฒนาทางความคิด
ความรู้ และทักษะต่างๆ อาทิ บ้านที่เงียบสงบ ไม่มีเสียงดังตลอดเวลา ลูกมีห้องส่วนตัวเพื่อการอ่านหนังสือ
และทำกิจวัตรส่วนตัว ที่บ้านมีห้องสมุดและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้ลูกได้ค้นคว้าเรียนรู้
สมาชิกในครอบครัวเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านการเรียนรู้ เช่น อ่านหนังสือมากกว่าใช้เวลาส่วนใหญ่ดูทีวี
หรือทำแต่สิ่งที่ให้ความบันเทิง เป็นต้น
- ให้คุณค่าที่ความตั้งใจ มากกว่าให้คุณค่าที่คะแนน
พ่อแม่ส่วนใหญ่มักคาดหวังให้ลูกเรียนเก่งโดยดูจาก "คะแนน" หรือ "เกรด" หรือ "อันดับที่" เป็นหลัก
โดยสร้างแรงจูงใจว่าจะให้รางวัลบางอย่างเมื่อทำสำเร็จ การสร้างแรงจูงใจเช่นนี้อาจมีส่วนทำให้ลูกขยันมากขึ้น
แต่ในทางตรงข้ามอาจส่งผลเสียที่พ่อแม่คาดไม่ถึง เพราะไม่ใช่เด็กๆ ทุกคนจะมีระดับสติปัญญา
หรือความสามารถเท่ากัน เด็กคนหนึ่งอาจจะเรียนรู้เร็ว ขณะที่เด็กอีกคนหนึ่งอาจจะเรียนรู้ได้ช้า
หรือในแต่ละเรื่องเด็กอาจมีความถนัดแตกต่างกัน เด็กบางคนอาจจะตั้งใจเต็มที่แล้วแต่ได้คะแนนไม่ดี
หากพ่อแม่คาดหวังจากเขามาก เขาก็จะเสียใจที่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง และเห็นว่าตนเองเป็นคนไม่ฉลาด
การคาดหวังให้ลูกเรียนเก่งด้วยดูเพียง "ผลลัพธ์" เช่นนี้จะทำให้เด็กเครียด ไม่สนุกกับการเรียน
และจะท้อแท้หมดกำลังใจเมื่อไม่สามารถทำได้ ซึ่งอาจจะกลายเป็นปมด้อยเมื่อเติบโตขึ้นได้
ในทางตรงกันข้ามหากพ่อแม่ให้คุณค่าและรางวัลที่ "ความตั้งใจ" ของลูกโดยสนับสนุนลูก
ให้ตั้งใจเรียนหนังสือ และให้กำลังใจเขาทำดีที่สุด เมื่อลูกพยายามดีที่สุดแล้ว แม้คะแนนจะออกมาเช่นไร
พ่อแม่ก็ยังชื่นชมและให้กำลังใจเขาได้เสมอ ซึ่งนักศึกษาคนหนึ่งที่ผมสัมภาษณ์นั้นได้กล่าวว่า
พ่อแม่ของเขาไม่ได้เน้นความสำคัญต่อผลการเรียนของเขา หรือจากเกรดที่เขาได้รับ
แต่สอนว่าไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใดก็ตามต้องทำด้วยความตั้งใจอย่างเต็มกำลังความสามารถ
ส่งผลให้เขาเรียนรู้ที่จะทำสิ่งต่างๆ อย่างตั้งใจ และจะไม่รู้สึกผิดหวังเมื่อได้คะแนนน้อย
แต่จะมีความมุมานะและเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
ความตั้งใจจะช่วยพัฒนาลักษณะนิสัยของลูกให้เป็นคนที่มีความเอาจริงเอาจัง ไม่จับจด
แต่มีความพากเพียรมุมานะ ซึ่งเป็นลักษณะชีวิตที่จะช่วยผลักดันให้ลูกประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ
ของชีวิตเมื่อเติบโตขึ้น
การเลี้ยงลูกแบบ "ไข่ในหิน" หรือทำสิ่งต่างๆ ให้ลูกทุกอย่างโดยคิดว่าการทำเช่นนั้น
จะทำให้ลูกมีเวลาอ่านหนังสือได้มาก อาจเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนักของพ่อแม่
เพราะจะไม่ช่วยให้ลูกเรียนรู้ที่จะจัดการบริหารชีวิตตนเองว่า เวลาใดควรทำอะไร ทำอย่างไร
ถ้าไม่ทำจะเกิดผลเสียอย่างไรอันจะส่งผลกระทบต่อการบริหารตนเองในการเรียน การทบทวน
การอ่านหนังสือ การเที่ยวเล่น เด็กจะไม่สามารถรับผิดชอบเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเองได้ดีนัก
ทำให้การเรียนในระดับที่สูงขึ้นประสบความล้มเหลวได้ และจะส่งผลเสียสืบเนื่องไปถึงชีวิตการทำงาน
ในอนาคตด้วย
ในทางตรงกันข้าม เด็กที่มีความรับผิดชอบจะมีแนวโน้มประสบความสำเร็จมากกว่า
เพราะเมื่อเด็กพบสิ่งที่ยากเขาก็จะไม่ทิ้งกลางคันหรือล้มเลิกความตั้งใจเมื่อประสบความล้มเหลว
แต่เขาจะอดทนและรับผิดชอบจนสำเร็จ เด็กที่เป็นเช่นนี้ได้จะต้องได้รับการฝึกตั้งแต่เด็กๆ
ดังนั้นพ่อแม่ควรปล่อยให้ลูกทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง เช่น ให้จัดตารางเวลากิจวัตรประจำวันของตนเอง
ทั้งเวลาเรียน เวลาเล่น เวลาทำกิจกรรมและเวลาพักผ่อน ให้ลูกมีหน้าที่รับผิดชอบบางอย่างภายในบ้าน
โดยพ่อแม่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ผู้คอยให้คำแนะนำ ผู้ให้กำลังใจและดูแลควบคุม
เพื่อให้ลูกสามารถรับผิดชอบตนเองได้มากขึ้นเมื่อเขาเติบโตขึ้น
การฝึกความรับผิดชอบตนเองในเรื่องต่างๆ อย่างครบถ้วนจะช่วยให้เด็กจัดระเบียบ
ด้านการเรียนด้วยตนเองได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์เมื่อเรียนในระดับที่สูงขึ้น
- ส่งเสริมให้เห็นคุณค่าของเวลา
ความแตกต่างประการสำคัญของเด็กที่เรียนได้ดับเด็กอื่นๆ นั่นคือ เด็กที่เรียนดีมักจะเป็นเด็ก
ที่เห็นคุณค่าของการใช้เวลา ไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ พวกเขาสามารถบริหารเวลา
ในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี โดยรู้ว่าควรจะทำสิ่งใดก่อน-หลังตามลำดับ ความสำคัญพวกเขารู้ว่า
หากเขาไม่บริหารเวลาก็จะไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่อย่างมากมายให้สำเร็จได้ เช่น
หากปล่อยเวลาดูโทรทัศน์สามชั่วโมงเขาจะเสียเวลาเรียนรู้และทบทวนเรื่องที่เขาสนใจจริงๆ ไปสามชั่วโมง
ซึ่งอาจทำให้เขาเรียนไม่ทันในวันรุ่งขึ้นได้
พ่อแม่ที่ต้องการให้ลูกเรียนเก่งจึงควรสอนให้ลูกเห็นคุณค่าของเวลา และมีส่วนช่วยให้ลูกบริหารเวลา
บริหารชีวิตของตนเอง โดยร่วมมือกับลูกในการกำหนดเป้าหมายและวางแผนการเรียนในระยะยาว
การส่งเสริมให้ลูกจัดการตารางเวลาประจำวัน ประจำสัปดาห์ ประจำเดือน หรือมากกว่านั้น
และสนับสนุนให้เขาสร้างแรงจูงใจให้กับตนเองว่า หากทำได้จะให้รางวัลอะไรกับตนเอง
ถ้าทำไม่ได้จะต้องทำอย่างไรและมีการประเมินแผนที่วางไว้เสมอเพื่อให้สามารถปฏิบัติได้จริง
เมื่อลูกๆ ดำเนินชีวิตอย่างมีแผนและมีเป้าหมายชัดเจน เขาก็จะเป็นคนที่เห็นความสำคัญของเวลา
ซึ่งจะช่วยให้เขาสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าและมีประสิทธิภาพกว่าคนอื่นๆ ที่ดำเนินชีวิตอย่างไม่มีแผน
ไม่มีเป้าหมาย และสิ่งนี้เองเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้พวกเขาเรียนได้อย่าง "ดีเลิศ" เหนือคนอื่นๆ ทั้งหลาย
ทั้งที่มีสติปัญญาเทียบเท่ากัน
- ส่งเสริมให้ทำกิจกรรมต่างๆ
พ่อแม่ที่ปรารถนาให้ลูกเรียนเก่งต้องไม่ลืมว่าชีวิตมีองค์ประกอบด้านอื่นๆ ที่พ่อแม่ต้องเป็นผู้จัดสรร
อย่างครบถ้วนด้วย เพื่อช่วยให้ชีวิตลูกได้รับการเติมเต็มอย่างครบถ้วน ทั้งในด้านของสุนทรียะ
ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนด้านความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย และด้านความเบิกบานของจิตใจ
เป็นการพัฒนาให้ลูกเติบโตอย่างสมบูรณ์พร้อมในทุกๆ ด้าน
นอกจากนี้พ่อแม่ควรตระหนักว่าเด็กมีศักยภาพที่จะทำสิ่งต่างๆ ได้อย่าง "ดีเลิศ"
ไม่แพ้การเรียนหากพ่อแม่สนับสนุนให้เขาปลดปล่อยศักยภาพด้านนั้นออกมา
ดังนั้นพ่อแม่จึงควรส่งเสริมสนับสนุนให้ลูกทำกิจกรรมอื่นๆ ด้วย เช่น ดนตรี กีฬา ภาษา คอมพิวเตอร์
กิจกรรมอาสาสมัครหรือกิจกรรมอื่นๆ เป็นต้น
เด็กที่เรียนเก่งนั้นจึงไม่ได้เป็น "หนอนหนังสือ" เพียงอย่างเดียวอย่างที่หลายคนคิดกัน
แต่เขาเป็นเด็กที่ได้รับการเปิดโอกาสให้ทำสิ่งต่างๆ อย่างครบถ้วน การส่งเสริมให้ลูกทำกิจกรรมที่หลากหลาย
นอกจากจะช่วยให้ลูกไม่เคร่งเครียดกับการเรียนจนเกินไปแล้ว ยังช่วยทำให้สมองปลอดโปร่งแจ่มใส
อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ลูกจะเรียนเก่งหรือไม่นั้น มีส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับสิ่งต่างๆ ที่พ่อแม่หยิบยื่นให้กับเขา
หากเขาได้รับความรัก ได้รับโอกาสที่จะทำในสิ่งที่ตนชอบ ได้รับคำแนะนำในการวางแผนชีวิต
ได้รับการสนับสนุนด้านการเรียนรู้ ได้รับกำลังใจและได้รับการเติมเต็มชีวิตอย่างครบถ้วนในทุกๆ ด้าน
ลูกย่อมสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างเต็มศักยภาพและเต็มกำลังสติปัญญาของเขาได้เสมอ
ซึ่งไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตามเขามักทำได้อย่างดีเลิศและการเรียนเก่งก็เป็นหนึ่งในผลปลายทาง
ที่จะติดตามมาด้วยเช่นกัน
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
|