อาการปวดหัวเป็นอาการที่เกิดเนื่องจากโรคอื่นๆ ซึ่งอาจแบ่งชนิดของการปวดหัวได้ดังนี้คือ
1. ปวดหัวแบบเฉียบพลันครั้งแรก
2. ปวดหัวแบบเฉียบพลันที่เกิดซ้ำ
3. ปวดหัวแบบเรื้อรังแต่ไม่ปวดมากขึ้น
4. ปวดหัวแบบเรื้อรังที่ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ
- ปวดหัวแบบเฉียบพลันครั้งแรก
จากการศึกษาพบว่าสาเหตุของการปวดหัวแบบเฉียบพลัน มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส
ไซนัสอักเสบ และไมเกรน
การมีเลือดออกในสมองและการมีน้ำในสมองมากเกินไปแบบเฉียบพลัน (Acute onset Hydrocephalus)
พบน้อยแต่ต้องการการรักษาแบบเร่งด่วน
การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ, เป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ, ไซนัสอักเสบ, เป็นหนองที่รากฟันจะปวดศีรษะ
แต่มักมีอาการอื่นร่วมด้วย
อาการปวดศีรษะอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคความดันโลหิตสูง
การได้รับการกระทบกระแทกที่ศีรษะเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้ปวดศีรษะได้
การออกกำลังกายที่มากเกินไปก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดศีรษะได้เช่นกัน
การปวดศีรษะที่เกิดขึ้นบ่อยๆ หรือการปวดศีรษะที่เรื้อรัง
เป็นปัญหาที่พบบ่อย ซึ่งแพทย์จะต้องพยายามแยกแยะให้ได้ว่า ปวดศีรษะเรื้อรังจากสาเหตุอะไร
โดยแพทย์จะต้องซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด รวมทั้งการดูการเจริญเติบโตของเด็กว่าสมวัยไหม
วัดศีรษะว่าใหญ่ผิดปกติไหม วัดความดันโลหิตว่าสูงหรือไม่ ฟันผุไหม มีน้ำมูกเรื้อรังซึ่งเป็นอาการ
ของไซนัสอักเสบหรือไม่
นอกจากนี้ยังต้องดูอารมณ์ของเด็ก ดูปฏิกิริยาของครอบครัวต่อการปวดศีรษะของเด็ก
และดูว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในครอบครัวดีไหม
การตรวจตาอย่างละเอียดจะทำให้แพทย์รู้ว่าเด็กมีความดันในสมองสูงผิดปกติหรือไม่
โดยแพทย์รู้ว่าเด็กมีความดันในสมองสูงผิดปกติหรือไม่ โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือส่องดูเส้นประสาทในลูกตา
ถ้าเส้นประสาทในลูกตาบวมก็แสดงว่ามีความดันในสมองสูงซึ่งอาจเกิดจากเนื้องอกในสมอง
หรือสาเหตุสำคัญอื่นๆ ได้
นอกจากดูเส้นประสาทตาแล้ว ควรวัดสายตาให้เด็กและตรวจระบบประสาทอย่างละเอียด
จากการซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียดจะช่วยให้แพทย์ตัดสินใจได้ว่า
ควรส่งไปตรวจพิเศษเพิ่มเติมไหม ส่วนใหญ่แพทย์ไม่ค่อยมีความจำเป็นต้องตรวจพิเศษเพิ่มเติม
เพราะถ้าตรวจร่างกายโดยเฉพาะตรวจทางระบบประสาทอย่างละเอียดแล้วไม่พบความผิดปกติ
ก็มักไม่มีโรคร้ายแรง เช่น เนื้องอกในสมองซึ่งผู้ปกครองของเด็กจะกังวลกับเรื่องนี้มาก
แต่ถ้าตรวจพบว่ามีความดันในสมองสูงก็ควรตรวจ X-Ray คอมพิวเตอร์ของสมองทันที
ไมเกรน เป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กปวดหัวได้บ่อยๆ อาการของการปวดหัวแบบไมเกรนได้แก่
- ปวดหัวข้างเดียว
- ปวดตุ๊บๆ
- มีอาการปวดท้องคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
- อาการหายไปเมื่อได้นอนพัก
- มีอาการเตือนก่อนปวด (Aura) เช่น อาจเห็นภาพผิดปกติก่อนมีอาการปวด
- มีประวัติครอบครัวว่าเป็นไมเกรน
เด็กโตมักจะบรรยายอาการได้ชัดว่ามักปวดข้างเดียวหรือปวดหัว 2 ข้างก็ได้ ปวดตุ๊บๆ
จะมีคลื่นไส้อาเจียน เวลาปวดเด็กจะหน้าซีด ขอบตาดำ กลัวแสงจ้า หรือไม่อยากได้ยินเสียงดัง
อาการปวดจะหายไปโดยการนอนพักหรือกินยาแก้ปวดในขนาดที่เหมาะสม
80% ของเด็กที่ปวดหัวแบบไมเกรน จะมีประวัติว่ามีคนในครอบครัวเป็นไมเกรนด้วย
นอกจากนี้ยังมีประวัติว่ามีคนในครอบครัวเป็นโรคเวียนหัว หรือเมารถ เมาเรือได้
อาการปวดหัวไมเกรนจะถูกกระตุ้นได้ด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น ความเครียด อดนอน ตื่นเต้น
มีประจำเดือน และจากการรับประทานอาหารบางอย่าง ถ้าเด็กปวดหัวไมเกรนบ่อยอาจต้องให้พ่อแม่
จดรายการอาหารที่เด็กกินใน 12 ชม. ก่อนเป็นไมเกรน การกระทบกระเทือนที่ศีรษะเล็กๆ น้อยๆ
อาจกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้เช่นกัน
- สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดไมเกรน
- ความเครียดทางอารมณ์
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น อดอาหารทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ, การนอนน้อยหรือนอนมากผิดปกติ
- สาเหตุจากสิ่งแวดล้อม เช่น มีแสงจ้าหรือแสงกระพริบ มีเสียงดัง, มีการเปลี่ยนแปลงของอากาศ
- อาหารและสารเคมี
- ช็อกโกแลต
- ถั่ว, เนย, ถั่วลิสง (peanut butter)
- ฮอทดอก, เนื้อย่าง,เนื้อใส่เครื่องเทศมากๆ
- อาหารจีน, ซีอิ้ว, ผงชูรส
- เนื้อวัว
- เนย
- น้ำอัดลมพวกโคล่า หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสม
- ส้ม กล้วย ลูกพรุน สับปะรด
- น้ำตาลสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก (Aspartame)
- ยา
- ยาความดัน Atenolol, hydralazine, reserpire, nifedipine
- ยารักษากระเพาะ Cimetidine
- ยาคุมกำเนิด
- ไมเกรนแบ่งเป็นหลายชนิดดังนี้
- ไมเกรนที่มี Aura ร่วมด้วย (aura คืออาการนำก่อนมีอาการปวดหัว) aura จะเกิดนานประมาณ
5-20 นาที อาการปวดหัวอาจเกิดทันทีหลัง aura หรือเกิดหลัง aura มากกว่า 60 นาทีก็ได้
- aura มีหลายรูปแบบ บางคนจะเห็นแสงวูบวาบเห็นเป็นจุดดำๆ เห็นแสงสีต่างๆ
อาจเห็นภาพใหญ่ขึ้นหรือเล็งลงผิดปกติ
- ไมเกรนที่ไม่มี Aura คนไข้มีเพียงอาการปวดหัวข้างเดียว ปวดตุ๊บๆ อาจมีประวัติญาติสนิทเป็นไมเกรนด้วย
- ไมเกรนที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางระบบประสาทแบบชั่วคราว เช่น มีอาการอัมพาตแขนขา
ชาแขนขาข้างใดข้างหนึ่ง มองเห็นจอภาพแคบลง บางคนปวดหัวไมเกรนจะมีอาการวิงเวียนศีรษะร่วมด้วย
บางคนเป็นมากถึงขนาดเดินเซ มีเสียงในหูมักเป็นเด็กสาววัยรุ่นหรือผู้ใหญ่
- การรักษาคือ รักษาตามอาการ ถ้ามีอาการทางระบบประสาทร่วมด้วยครั้งแรกควรตรวจ X-Ray
คอมพิวเตอร์สมองดูว่า มีความผิดปกติไหม ถ้าไม่มีครั้งต่อๆ ไปก็ไม่ต้องตรวจซ้ำแม้จะมีอาการซ้ำอีก
- ไมเกรนที่ไม่ปวดหัวในเด็กมีอาการหลายอย่างที่เชื่อว่าเกิดจากสาเหตุเดียวกับไมเกรน
แต่ไม่มีอาการปวดหัว เช่น คนไข้อาจมาด้วยอาการอาเจียนเป็นพักๆ และปวดท้อง
หรือมีอาการกระวนกระวายสับสน หรือบางคนมีอาการวิงเวียนแต่ยังมีสติดี
นอกจากอาการปวดหัวที่เกิดจากไมเกรนแล้วยังมีอาการปวดหัวที่เกิดจากสาเหตุอื่น เช่น
ความเครียด อาการปวดหัวที่เกิดจากความตึงเครียดจะปวดทั่วๆ ไป เหมือนมีอะไรมารัดรอบหัว
มักปวดเกือบตลอดเวลา มีบางช่วงที่ไม่ปวด มักพบในเด็กผู้หญิง เด็กบางคนก็อาจมีอาการปวดตุ๊บๆ ได้
ทำให้แยกจากปวดหัวแบบไมเกรนได้ยากเพราะไมเกรนอาจเกิดตอนเครียดได้เช่นกัน
อาการอ่อนเพลียมักพบร่วมกับอาการปวดหัวจากการเครียด แต่อาการคลื่นไส้อาเจียนมักเกิดในโรคไมเกรน
มากกว่าอาการปวดหัวจากเครียดมักเป็นตอนตื่น และมักจะไม่ปวดหัวจนตื่น
เด็กที่ปวดหัวทุกวันและได้รับการตรวจอย่างละเอียดแล้วว่าไม่มีโรคร้ายแรงแฝงอยู่
มักเกิดจากความกดดันทางอารมณ์และสังคม อาจมีปัญหาเรื่องการเรียน ปัญหากับเพื่อนฝูง พี่น้อง
ปัญหาครอบครัว ปัญหาบางอย่างหาได้ง่าย เช่น เด็กจะมีอาการปวดหัวช่วงที่ต้องไปโรงเรียน
และดีขึ้นในช่วงวันหยุดก็น่าจะมีปัญหาที่โรงเรียนแต่บางปัญหาอาจจะหาสาเหตุยากต้องปรึกษาจิตแพทย์
เด็กบางคนเป็นโรคซึมเศร้าซึ่งต้องการการรักษาที่เหมาะสม
- อาการปวดหัวเรื้อรังเนื่องจากมีความดันในสมองสูง
การมีความดันในสมองสูงเกิดเนื่องจากมีบางสิ่งบางอย่างที่กินเนื้อที่ภายในกระโหลกศีรษะที่มีเนื้อที่จำกัด
ทำให้ผู้ป่วยเกิดปวดหัวเรื้อรังและปวดหัวมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจเกิดเพราะมีก้อนมาเบียดเนื้อสมอง
หรือเกิดจากการไหลเวียนของน้ำในสมองไม่สะดวกเนื่องจากมีการอุดตันทางเดินของน้ำในสมอง
ก้อนที่ว่าอาจเป็นเนื้องอก ก้อนเลือด ฯลฯ
อาการปวดหัวที่เกิดจากมีความดันในสมองสูงจะปวดมากตอนกลางคืนหรือหลังตื่นนอนทันที
อาการปวดอาจปวดมากจนทำให้ตื่น อาการปวดจะมากขึ้นถ้านอนราบ ก้ม ไอ จาม เบ่งอุจจาระ
ซึ่งจะทำให้ความดันเลือดเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยอาจเห็นภาพไม่ชัด ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดหัวจนคลื่นไส้อาเจียน
ถ้าเด็กมีอาการเหล่านี้ควรตรวจ X-Ray computer ของสมองทันที สาเหตุอื่นของอาการปวดหัว ได้แก่
สายตาผิดปกติ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหัวตอนอ่านหนังสือ ถ้านอนพักจะดีขึ้น อาการปวดหัวหลังชักก็เกิดขึ้นได้
การรักษา ผู้ปกครองมักกลัวว่า อาการปวดหัวเรื้อรังของลูกอาจเป็นเนื่องจากมีเนื้องอกในสมอง
ดังนั้นถ้าหมอตรวจอย่างละเอียดแล้วไม่พบว่ามีความผิดปกติใดๆ ก็สามารถยืนยันได้ว่า ไม่มีโรคร้ายแรงใดๆ
ทำให้สบายใจในระดับหนึ่งจากนั้นก็ให้เด็กเลี่ยงสถานการณ์หรือสิ่งต่างๆ ที่จะกระตุ้นให้ปวดหัว
ในโรคไมเกรน การนอนเป็นการรักที่ได้ผลดี ถ้าเด็กปวดหัวพ่อแม่ควรพยายามให้เด็ก
ได้นอนในห้องมืดๆ ถ้าไม่หลับอาจให้ยาที่ช่วยให้หลับ ในรายที่ปวดมากอาจต้องฉีดยาให้หลับ
การกินยาแก้ปวดต่างๆ ในขนาดที่ถูกต้องก็ช่วยลดการปวดได้ดีเมื่อมีกระเพาะและการดูดซึมยาจะลดลง
ซึ่งจะทำให้กินยาแล้วไม่ได้ผล ดังนั้นอาจต้องให้ยาแก้อาเจียนซึ่งเพิ่มการเคลื่อนไหวของกระเพาะ
และควรรีบกินยาทันทีที่เริ่มมีอาการ ถ้าเป็นมากแล้วมากินจะได้ผลที่ไม่ดี
โรคไมเกรนจะถูกกระตุ้นด้วยความเครียด อาหารบางอย่าง การอดนอน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
ระหว่างมีประจำเดือน การดื่มเหล้าและการรับประทานยาบางอย่าง เช่น ยาคุมกำเนิด
เด็กๆ ที่ปวดหัวบ่อยๆ มักจะเป็นเด็กที่แก้ปัญหาที่ทำให้เกิดความเครียดไม่ได้ โดยทั่วไปมักเครียด
เกี่ยวกับปัญหาในบ้าน ปัญหาการเรียน ปัญหาจากเพื่อน เด็กต้องได้รับการสอนให้รู้จักวิธีคลายเครียด
เช่น การฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การเล่นกีฬา ผู้ปกครองก็ต้องเอาใจใส่ที่จะพูดเรื่องปัญหาต่างๆ ของเด็ก
ถ้ามีปัญหาของครอบครัวก็ควรแก้ปัญหาของครอบครัวให้ได้เพื่อไม่ให้เด็กได้รับความกระทบกระเทือนใจ
การรักษาคือให้ยาแก้ปวด พักผ่อนและขจัดความเครียดออกไป วิธีคลายเครียดมีหลายวิธี
ตั้งแต่การหัดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การทำสมาธิ การนวด การฝังเข็ม การเล่นกีฬา การสวดมนต์ ฯลฯ
- โรคปวดหัวจากการใช้ยาแก้ปวดหัว
พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ที่ใช้ยาแก้ปวดเป็นประจำ เช่น คนไข้ไมเกรน ยาแก้ปวดหลายชนิดทำให้ปวดหัวได้
เช่น พาราเซตามอล, ยากลุ่ม NSAID ฯลฯ การรักษาคือ ต้องหาสาเหตุของการปวดหัวและแก้ที่สาเหตุ
อย่าใช้ยาแก้ปวดขนาดมากเกินไป
ถ้าลูกน้อยของคุณกำลังมีอาการปวดหัว หรือแม้แต่ตัวคุณพ่อคุณแม่เองลองสำรวจดูจากข้อสังเกต
ที่หมอเล่ามานะคะ ว่าอาการปวดหัวนั้นเกิดจากอะไร เพื่อจะได้แก้ไขได้อย่างถูกต้องและทันท่วงทีต่อไป
พ.ญ.ลำดวน นำศิริกุล
|