คุณพ่อคุณแม่หลายคนคงจะมีคำถามในใจว่า จะรู้ได้อย่างไรว่า ลูกของเรานั้นมีปัญหาการได้ยินหรือไม่
ซึ่งตัวเลขสถิติของปัญหาการได้ยินในเด็กไทยนั้นอาจจะไม่ได้ตัวเลขที่แนชัด แต่ที่มีข้อมูลของต่างประเทศ
เช่น สหรัฐอเมริกาพบว่า มีเด็กเกิดใหม่ประมาณ 12,000 รายต่อปี ที่พบว่ามีปัญหาการได้ยินมาตั้งแต่แรก
ซึ่งในอเมริกาได้มีการจัดการรณรงค์ระดับชาติขึ้นที่เรียกว่า The National Campaign for Hearing Health
ซึ่งได้ให้ข้อแนะนำในการที่คุณพ่อคุณแม่จะสามารถสังเกตดูว่าลูกของเรามีปัญหาการได้ยินหรือไม่ดังนี้
เมื่อลูกอายุประมาณ 3 เดือน เด็กควรจะหันหาและยิ้มกับคุณพ่อคุณแม่ เมื่อคุณส่งเสียงพูดกับเธอได้
และการที่มีเสียงดังควรที่จะทำให้เด็กมีท่าทีตกใจ หรือสะดุ้งตื่นได้ ถ้าคุณพบว่าเด็กไม่มีท่าทีตอบสนองดังกล่าว
แสดงว่าเด็กน่าจะมีปัญหาการได้ยินและควรปรึกษาแพทย์
เมื่ออายุ 6 เดือน ลูกควรจะชอบที่จะเล่นกับของเล่นที่มีเสียงกรุ้งกริ้ง หรือของเล่นแบบอื่นที่มีเสียงบ้าง
เด็กควรจะพยายามทำเสียงเลียนแบบ เช่น เสียงอู, อา, มามา
ลูกควรจะหันหาเสียงเมื่อได้ยินเสียงอื่นที่แปลกออกไป และสามารถทำสีหน้าตอบสนอง
เมื่อคุณทำเสียงสูงเสียงต่ำเล่นกับลูกหรือเมื่อคุณพูดคำว่า "อย่านะ"
เมื่ออายุได้ 6-10 เดือน เด็กควรจะมีท่าทีตอบสนองต่อเสียงเรียกชื่อของเขา และเสียงอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เช่น เสียงกริ่งโทรศัพท์ ลูกควรจะทำเสียงเด็ก (babbling) เล่นเองแม้เมื่อตอนอยู่ลำพังคนเดียว
และในบางครั้งจะเริ่มออกเสียงคำแรกได้ การที่เด็กมีพัฒนาการทางการออกเสียงช้า และไม่มีการเล่นเสียง
(babbling) เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญว่าเด็กคนนั้นน่าจะมีปัญหาการได้ยินในช่วงขวบปีแรกๆ ได้
และเด็กที่มีปัญหาเหล่านี้บางรายจะทำเสียงเล็กๆ แหลมๆ ที่เรียกว่า high-pitched squealing sound แทน
ในช่วงอายุ 15-18 เดือน ลูกควรจะทำตามคำบอกของผู้ใหญ่ในสิ่งง่ายๆ ได้ และควรจะสามารถพูดประโยคสั้นๆ
ที่ใช้กันบ่อยๆ ได้ เช่น ไปเที่ยว นั่งลง ฯลฯ เมื่ออายุ 2 ขวบ ลูกจะชอบการที่คุณพ่อคุณแม่อ่านหนังสือให้เขาฟัง
และควรจะเข้าใจคำถามง่ายๆ ที่ให้ตอบ "ใช่-ไม่ใช่" ได้
และประโยคหรือวลีง่ายๆ เช่น "อยู่ในถ้วย" "อยู่บนโต๊ะ" ถ้าลูกของคุณไม่ได้มีท่าทางชอบทำกิจกรรม
ที่ใช้ภาษาดังที่กล่าวมานี้ อาจหมายถึงว่า เขามีปัญหาการได้ยิน
อย่าลืมว่า เด็กแต่ละคนจะมีขั้นตอนการพัฒนาการที่เหมือนกันไปในแนวเดียวกันก็จริง
แต่ไม่ได้หมายความว่าเด็กทุกคนจะต้องทำได้ เมื่ออายุถึงตามกำหนดเกณฑ์ เพราะแต่ละคนอาจมีความสามารถ
ในแต่ละด้านเร็วช้าต่างกันได้บ้าง จึงอยากให้ยึดถือข้อแนะนำนี้เป็นเพียงเกณฑ์ประเมินคร่าวๆ
ถ้าคุณพ่อคุณแม่คิดว่าลูกอาจจะมีปัญหาการได้ยินจากการประเมินดังกล่าวนี้ ควรที่จะปรึกษาแพทย์
เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติม และถ้าสมควรก็จะมีการทำการตรวจการได้ยิน (hearing test)
ซึ่งเป็นการทำที่ไม่ยุ่งยาก และไม่ได้มีค่าใช้จ่ายที่แพง และผลการตรวจที่ได้ก็จะช่วยบ่งชี้ว่า
ลูกนั้นมีปัญหาการได้ยินหรือไม่ และอยู่ในระดับไหน เพื่อที่จะได้ทำการช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาเหล่านี้
ได้ตั้งแต่ระยะแรกๆ ซึ่งจะช่วยทำให้การพัฒนาการทางด้านอื่นๆ ของเด็กเป็นไปได้
อย่างเต็มศักยภาพของเขา
ในสหรัฐอเมริกาได้มีการตื่นตัวและมีการรณรงค์เรื่องปัญหาการได้ยินบกพร่องในเด็กกันทั่วประเทศ
โดยแต่ละมลรัฐได้มีนโยบายในการตรวจเด็กทารกแรกเกิดเพื่อหาผู้ที่มีปัญหาการได้ยินบกพร่องกัน
ตั้งแต่อายุน้อยๆ เพื่อที่จะได้ให้ความช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาเหล่านี้ตั้งแต่ต้น เป็นการป้องกันปัญหา
ทางด้านพัฒนาการอื่นๆ ที่จะตามมา ทำให้รัฐต้องใช้จ่ายเงินมากขึ้นในการดูแลเด็กเหล่านี้
ถ้าปล่อยให้ปัญหาลุกลามมากขึ้น ดังตัวอย่างเช่น มลรัฐจอร์เจียได้มีการประเมินว่า มีเด็กที่เกิดใหม่
อย่างน้อย 1 รายต่อวัน ที่จะมีปัญหาการได้ยินบกพร่อง รัฐจึงจัดสรรงบประมาณถึง 2 ล้านเหรียญต่อปี
ในการจัดทำการตรวจการได้ยินในเด็กทุกราย และให้การสนับสนุนโปรแกรมการสอนที่จะช่วยเหลือเด็ก
ที่พบว่ามีปัญหาการได้ยินบกพร่องตั้งแต่แรก เพื่อป้องกันการลุกลามของปัญหาพัฒนาการ
การตรวจการได้ยินในเด็ก
ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขประเมินว่าการทำโปรแกรมพิเศษเหล่านี้จะช่วยให้เด็กที่มีปัญหา
โดยที่ผู้ปกครองไม่ทราบได้รับการช่วยเหลือได้โดยเร็ว เนื่องจากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันพบว่า
กว่าที่เด็กที่เกิดมามีปัญหาการได้ยินบกพร่องตั้งแต่เกิดจะได้รับการวินิจฉัย และส่งเข้ารับการช่วยเหลือ
ในโปรแกรมต่างๆ ที่ทางรัฐมีให้นั้นก็มักจะช้าไป โดยเฉลี่ยจะเป็นอายุประมาณ 2 ปีครึ่ง
ซึ่งเด็กมักจะมีปัญหาทางด้านการพัฒนาการด้านอื่นร่วมด้วยแล้ว และทำให้การแก้ไขเรื่องต่างๆ
นี้ยิ่งยากไปอีก เพราะทำให้เกิดปัญหาด้านการเรียนรู้ การพัฒนาด้านอื่นๆ เช่น การเข้าสังคม
การใช้ภาษา การพูด ซึ่งมักจะเป็นปัญหาที่ติดตัวเด็กไปในระยะยาว
เนื่องจากพื้นฐานการพัฒนาการด้านภาษาและการเข้าสังคมนั้นจะเริ่มมีรากฐานมาตั้งแต่แรกเกิด
และช่วงอายุที่มีความสำคัญมากคือ ในช่วง 6 เดือนแรก ถ้าเด็กไม่ได้มีการได้ยินเสียงอะไรเลย
ก็จะมีผลต่อการพัฒนาทางสมองในส่วนการใช้ภาษา และจะมีผลในระยะยาวไปตลอดชีวิตของเขา
มีบางลักษณะของเด็กที่จะช่วยบ่งชี้ว่าเป็น เด็กที่อยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ที่จะมีปัญหาการได้ยินบกพร่อง
ได้แก่ การที่เกิดมามีน้ำหนักน้อยมาก (<1,500 กรัม) มีประวัติครอบครัวที่มีปัญหาหูหนวกหรือหูตึง
หรือมีรูปทรงของใบหน้าและศีรษะผิดปกติ แต่ก็พบว่าเด็กอีกจำนวนมากที่ไม่ได้มีลักษณะของเด็กในกลุ่มเสี่ยงนี้
ที่มีปัญหาการได้ยินบกพร่อง ทางสมาคมกุมารแพทย์ อเมริกันได้ประเมินว่า มีประมาณ 2 ใน 1,000 ราย
ของทารกที่เป็นปกติที่จะมีปัญหาการได้ยินบกพร่อง
การตรวจการได้ยินในเด็กเล็กนั้นมีวิธีการตรวจได้หลายอย่าง แบ่งเป็นการตรวจการได้ยินแบบธรรมดา
เช่น การทำเสียงดังและดูปฏิกิริยาตอบสนองของเด็ก แต่เด็กบางคนอาจจะฉลาด แม้ไม่ได้ยิน
ก็จะใช้ทักษะทางสายตามองดูท่าทางของผู้ตรวจ และทำท่ายิ้มหรือหันไปตามนั้นได้ จึงอาจต้องทำการตรวจ
ที่ซับซ้อนมากขึ้น เพื่อตัดปัญหาตัวแปรเหล่านี้ได้แก่ การตรวจและการตรวจพิเศษ ที่เรียกว่า
Auditory Brainstem Response test (ABR) ซึ่งมักจะทำในเด็กกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง โดยการใช้ขั้วเล็กๆ
วางแปะอยู่ที่หนังศีรษะเพื่ออ่านประจุไฟฟ้าของคลื่นไฟฟ้าในสมองที่เกิดขึ้น ตอบสนองต่อเสียงระดับต่างๆ
ที่ใช้ในการทำการตรวจ วิธีนี้ต้องอาศัยการทำตอนที่เด็กหลับ หรือให้ยารับประทานเพื่อให้หลับ
(ไม่ใช่การดมยาสลบ) เพื่อให้การตรวจได้ผลแม่นยำขึ้น
พญ.จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์
|