มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



หัวใจลูกป่วย


เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา มีผู้อ่านดวงใจฯ ท่านหนึ่งโทรศัพท์มาที่กองบรรณาธิการ บอกเล่าระบายความทุกข์ที่เกิดกับเจ้าตัวเล็กซึ่งเพิ่งคลอดได้เพียงไม่กี่วันให้ฟัง คุณแม่นั้นบอกว่า ลูกป่วยเป็น "โรคหัวใจ"!!

…จากนั้นไม่นาน ทีมงานได้ข่าวว่าลูกสาวของเพื่อนร่วมงานท่านหนึ่งที่เพิ่งคลอด ไม่สามารถกลับบ้านได้ ต้องรอผ่าตัด (ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง) เพื่อช่วยชีวิตเพราะเป็น "โรคหัวใจ" !!

…และหลังจากวันนั้น ข่าวทำนองแบบนี้ก็เข้ามาเป็นระยะ ซึ่งบทสรุปของเด็กผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้คือ "ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด" ว่าเกิดจากอะไร คำถามที่ตามมาก็คือ ทำไมเด็กป่วยด้วยโรคหัวใจมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ? สาเหตุจากอะไร ? คนเป็นพ่อแม่อย่างเราจะป้องกันได้หรือไม่ ?

…วันนี้ในฐานะสื่อที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพของเจ้าตัวเล็ก ทีมงานดวงใจพ่อแม่ถือโอกาส แวะเวียนไปที่โรงพยาบาลรามาธิบดีเพื่อพูดคุยกับ น.พ.อนันต์ โฆษิตเศรษฐ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านโรคหัวใจเด็กโดยเฉพาะ และที่พิเศษไปกว่านั้น มีคุณแม่นุชนาฎ โรจนอมรชัย กับ น้องแก๊ป วัย 6 ขวบ แม่ลูกคู่เก่งที่ผ่านการต่อสู้กับ "โรคหัวใจ" อย่างยาวนานเกือบ 6 ปี มาเล่าประสบการณ์ที่ยากจะลืมนั้นให้ฟังค่ะ

รู้จักกันก่อน

สำหรับโรคหัวใจในเด็กเล็กๆ นั้น แบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ โรคหัวใจในเด็กที่เป็นมาแต่กำเนิด หรือเรียกง่ายๆ ว่า หัวใจพิการมาแต่กำเนิด ซึ่งพบได้บ่อย กับอีกลักษณะหนึ่งคือโรคหัวใจที่เกิดขึ้นภายหลัง

เด็กที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ หมายความว่า มีการทำงานที่ผิดปกติของระบบอวัยวะที่เกี่ยวข้อง กับส่วนใดส่วนหนึ่งของหัวใจรวมทั้งหลอดเลือดของหัวใจ มีผลทำให้หัวใจทำงานผิดปกติ ส่วนใหญ่ที่พบจะมี ผนังกั้นห้องหัวใจ อาจเป็นห้องหัวใจด้านบนหรือด้านล่าง ลิ้นหัวใจตีบและเส้นเลือดเกินมา 1 เส้น

เด็กไทยป่วยเป็นโรคหัวใจเพิ่มมากขึ้น จริงหรือ ?
ข้อมลยืนยันจากสถิติโลกพบว่า มีเด็กป่วยเป็นโรคหัวใจพิการมาแต่กำเนิดประมาณ 7-8 คนต่อ 1,000 คน ซึ่งเป็นความผิดปกติพิการแต่กำเนิดที่พบมากที่สุด แต่จริงๆ แล้วในจำนวนนี้มีเด็กที่เป็นโรคหัวใจพิการ มาแต่กำเนิดชนิดไม่รุนแรงรวมอยู่ด้วย ซึ่งหมายถึงไม่ต้องรักษาอะไร อาจหายไปได้เอง รูรั่วอาจปิดเองได้ ในกลุ่มที่รุนแรงและมีอาการมากจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดจะช่วยทำให้หัวใจกลับมาเป็นปกติ หรือใกล้เคียงปกติได้ แต่ก็มีโรคหัวใจบางชนิดที่ช่วยให้อาการเด็กดีขึ้นได้

อุบัติการณ์ของโรคหัวใจมีมากขึ้นจริงหรือไม่ ?
คำตอบคือ "ไม่" โดยคุณหมออนันต์ตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุที่เราพบเด็กป่วยมากขึ้น เป็นเพราะวิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้าขึ้น บุคลากรมีมากขึ้น การกระจายความรู้เรื่องเหล่านี้ สู่วงกว้างมีมากขึ้นด้วยมากกว่า

ลูกเราเป็น 1 ใน 8 หรือเปล่านะ

แม้ขณะนี้จะไม่มีใครตอบไดว่าลูกของคุณจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดหรือไม่ ด้วยยังไม่สามารถค้นพบสาเหตุที่แท้จริงของมัน การป้องกันจึงไม่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตามในทางการแพทย์ ก็เชื่อว่าแม้จะไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่น่าจะมีปัจจัยหลายอย่างที่อาจเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเรื่องเหล่านี้

1. แม่ที่เป็นหัดเยอรมันระยะตั้งครรภ์ช่วง 3 เดือนแรก เพราะเป็นช่วงที่อวัยวะรวมทั้งหัวใจของลูก มีพัฒนาการเต็มที่ ซึ่งการเกิดของโรคหัวใจในเด็กพบสูงมากจากสาเหตุนี้ โดยจะมีอาการอื่นร่วมด้วย คือ หูหนวก หัวเล็ก สมองฝ่อ ฯลฯ ฉะนั้น คำแนะนำสำหรับพ่อแม่ก็คือ ก่อนแต่งงานหรือก่อนที่จะมีลูก ถ้ายังไม่แน่ใจว่าตัวเองเคยเป็นหัดเยอรมันรึเปล่า ควรให้สูติแพทย์เจาะเลือดดูว่ามีภูมิต้านทานหรือไม่ ถ้าไม่มีจะได้ฉีดยาป้องกันเสียก่อนค่ะ
2. กลุ่มอาการที่เรียกว่า ดาวน์ซินโดรม (การที่มีโครโมโซมเกินมาในคู่ที่ 21 จากปกติมี 46 อันก็เพิ่มมาเป็น 47 อัน) ซึ่งโรคกลุ่มอาการดาวน์นี้เกี่ยวข้องชัดเจนกับโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เพราะประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ของเด็กที่เป็นดาวน์ จะเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดร่วมด้วย

ส่วนแม่ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการที่ลูกจะเป็นดาวน์คือ แม่ที่ตั้งครรภ์ตอนอายุเกิน 35 ปี แบบนี้ควรปรึกษาสูติแพทย์อย่างใกล้ชิด แต่หากอาการดาวน์ฯที่เกิดจากยีนแฝงอยู่ก็ต้องเช็กเฉพาะเจาะจงลงไป ปัญหาที่พบคือพ่อแม่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองมียีนแฝง
แต่หลายๆ เคสก็พบว่า ในขณะตั้งครรภ์แม้ว่าคุณแม่จะมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีโรคแทรกซ้อนหรืออาการผิดปกติใดๆ ก็มีโอกาสที่ลูกจะคลอดออกมาและเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน
ได้ยินอย่างนี้แล้ว คุณแม่ทั้งหลายอย่าเพิ่งทำหน้าวิตกกังวลไปลองติดตามกันต่อนะคะว่า ถ้าไม่รู้สาเหตุแล้วคนเป็นพ่อเป็นแม่จะสังเกตยังไงว่าลูกเราเข้าข่ายป่วยเป็นโรคหัวใจกับเขาเข้าแล้ว

พ่อแม่ ช่วยสังเกตกันหน่อย

กรณีของเด็กที่ป่วย บางรายหากเป็นมากก็วินิจฉัยได้ตั้แงต่แรกเกิดแต่มีหลายรายที่มาทราบ เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้ว บางคนผ่านไปหลายวัน บางคนก็หลายเดือน สิ่งที่พ่อแม่จะช่วยสังเกตได้ในขณะที่เลี้ยงลูกคือ
  • ลูกมีอาการเขียวคล้ำที่ริมฝีปากโดยเฉพาะเวลาร้องหรือออกแรงมากจะมีอาการเขียวมากขึ้น
  • ลูกไม่ค่อยโต ตัวเล็ก น้ำหนักน้อยเพราะกินได้น้อย
  • ลูกหายใจเร็ว แรง หอบ เหนื่อย
  • เวลาลูกดูดนม ดูไม่ค่อยได้มาก บางครั้งก็อาเจียนออก
  • เวลาที่ต้องออกกำลัง เช่น ช่วงที่เริ่มคลาน ลูกมักจะหยุดพักบ่อยเพราะเหนื่อย
  • จะเป็นโรคเกี่ยวกับปอดอักเสบบ่อย เนื่องจากเลือดไปที่ปอดเยอะ ปอดก็จะชื้น แฉะ
ถ้าสังเกตว่าลูกมีอาการเข้าข่ายเหล่านี้ ควรปรึกษากุมารแพทย์หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจเด็ก เพื่อวินิจฉัยอย่างถูกต้องต่อไป
แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ลูกจะมีโอกาสเกิดภาวะเขียวมากขึ้นหรือมีภาวะหัวใจวายมากขึ้นได้ ภาวะหัวใจวายนี้หมายถึงการที่หัวใจไม่สามารถทำงานตอบสนองความต้องการของร่างกาย ที่ต้องการเอาออกซิเจนไปใช้ได้ อาการพวกนี้ส่วนใหญ่จะเกิดในช่วง 1-2 เดือนแรกของชีวิต
โรคหัวใจบางชนิดเด็กอาจไม่มีอาการเลย แต่คุณหมอจะตรวจพบจากการฟังได้ยินเสียง "ฟู่" ที่ผิดปกติของหัวใจ

คุณหมอ…ช่วยลูกได้

ด้วยปัจจุบันนี้บุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจเด็กมีมากขึ้น พ่อแม่ให้ความสนใจในสุขภาพของลูก เพิ่มมากขึ้น ทำให้การวินิจฉัยโรคเป็นไปได้เร็วขึ้น การดูแลรักษาก็เร็วขึ้นตามลำดับ ทำให้เด็กที่ป่วยด้วยโรคหัวใจ มีโอกาสได้รับการรักษาอย่างดีที่สุดเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยวิธีการรักษาถูกแยกประเภทออกไป ตามความรุนแรงของโรค ซึ่งคุณหมออนันต์อธิบายให้ฟังว่า

"ถ้าลูกเป็นโรคหัวใจ ถามว่ามีโอกาสรักษามั้ย หมอตอบได้เลยว่ามี เพียงแต่ขึ้นอยู่กับอาการของโรค อย่างในเด็กบางคนที่ผนังกั้นหัวใจมีรูรั่ว แต่รูเล็กและเป็นชนิดที่มีโอกาสปิดเองได้ก็ไม่ต้องผ่านตัด แต่ต้องระวังในประเด็นสำคัญๆ คือ ช่วงที่รูรั่วยังไม่ปิด โอกาสที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายและไปก่อตัวที่บริเวณรอบๆ รูรั่วผนังหัวใจก็เป็นไปได้ เพราะตรงส่วนนั้นจะมีแรงดันเยอะ ทำให้รอบๆ เป็นแผล พอมีเชื้อโรคเข้าไปก็ไปสั่งสม อาจมีอาการลิ้นหัวใจรั่วตามมา หรือมีการติดเชื้อที่หัวใจได้

แต่ตรงนี้ป้องกันได้ ส่วนใหญ่หมอจะแนะนำคน ไข้ว่าต้องป้องกันเชื้อโรคไม่ ให้เข้า สู่ร่างกายส่วนจะทำยังไง ก็ต้องมาดูว่าส่วนที่เชื้อโรคเข้า ไปได้ง่ายที่สุดคือ ปากและฟัน เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ตรวจ หมอจะคอยย้ำ คอยถามอยู่ เสมอว่า "แปรงฟันสะอาดมั้ย กินท็อฟฟี่รึเปล่า" และต้อง แนะนำให้เขาไปหาหมอฟัน อย่างสม่ำเสมอ มากี่ครั้งก็ต้อง บอก สอนหัดให้เขาแปรงฟัน ให้ถูกวิธี อย่ากินท็อฟฟี่ ไปให้ หมอฟันตรวจตั้งแต่อายุ 2 ปี แล้วเสริมฟลูออไรด์ให้เขากิน ถ้าทำได้แบบนี้โอกาสที่จะเกิด ภาวะติดเชื้อก็น้อยลงไปมาก

อีกกรณีคือเวลาเด็ก ไปถอนฟันหรือทำการผ่าตัด บางอย่าง ก็เป็นโอกาสที่เชื้อโรค จะเข้าไปในเส้นเลือดได้ เพราะ ฉะนั้นจะต้องให้เขาบอก ทันตแพทย์หรือแพทย์ที่รักษาว่า ป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่ ซึ่งเขาจะ ให้กินยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกัน ไว้ก่อน
น.พ.อนันต์

"หมอเลือกรักษาเด็ก เพราะรู้สึกว่าเด็กๆ น่ารัก เขาเป็นวัย ที่ไร้เดียงสา บริสุทธิ์ และดูจริงใจไม่มีมารยา เวลาเจ็บก็จะแสดง ออก พอเขาหายก็จะยิ้มกับเรา เล่นกับเรา ตรงนี้เป็นภาพที่มีความ สุขนะสำหรับทีมหมอผู้ดูแล มันทำให้ใจเราชุ่มชื้นขึ้น

สำหรับพ่อแม่ พอลูกเราดีขึ้น เราทักทาย เขายิ้มออก เราก็รู้สึกดีไปด้วย แล้วเด็กทุกคนที่เรารักษา เราผูกพัน ดูแลเขา ก็อยากให้หายทุกราย ถ้าเขาเกิดเป็นอะไรขึ้นมาเราก็รู้สึกเสียใจ แต่ความรู้สึกเสียใจนั้น เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องผ่านไป เพราะเราต้อง ดำเนินชีวิตต่อ เราต้องรักษาคนอื่นต่อไป

แต่สิ่งที่สำคัญถ้าหากเด็กเกิดเป็นอะไรรุนแรงหรือเสียชีวิตคือ เราต้องทำหน้าที่ support พ่อแม่ของเด็กด้วย เราต้องทำตรงจุดนี้ อย่างเต็มที่พอๆ กับการรักษาเด็กเพราะไม่มีใครยอมรับกับความ สูญเสียได้ง่ายๆ หรอกครับ แต่ก็โชคดีที่พัฒนาการในเรื่องการผ่าตัด โรคหัวใจก้าวหน้าไปเยอะมาก จะมีโรคหัวใจน้อยชนิดลงเรื่อยๆ ที่เราผ่าตัดไม่ได้ ส่วนโรคหัวใจที่พบบ่อยๆ การผ่าตัดให้ผลลัพธ์ ที่ดีขึ้นด้วย

หมออยากฝากไปยังคุณพ่อคุณแม่ที่ทราบว่า ลูกป่วยเป็นโรค หัวใจ อย่าเพิ่งตกใจ ต้องคุยกับหมอก่อนว่าลูกเป็นโรคหัวใจอย่างไร ชนิดไหน โอกาสมีแค่ไหน หมอจะวางแผนการรักษาอย่างไร รักษาแล้วจะหายขาดมั้ย ผลกระทบมีอะไรบ้าง เหล่านี้จะช่วยทำให้ คุณพ่อคุณแม่สบายใจขึ้นนะครับ"
ทั้งหมดนี้ถ้าคุณพ่อคุณแม่เอาใจใส่และให้ลูกปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง พอรูรั่วปิดแล้วเด็กก็ปกติทุกอย่างครับ

ส่วนกรณีที่ต้องผ่าตัดปิดรูรั่ว หมอจะคุยกับพ่อแม่ให้เข้าใจก่อนว่า ทีมของแพทย์ผู้ดูแลจะทำอะไร เพราะอะไร โอกาสเสี่ยงก็มีนะ เพราะการผ่าตัดทุกอย่างไม่มีหมอคนไหนจะมารับปากว่าจะปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องพูดให้เขาเข้าใจและเชื่อมั่นว่าหมอทำดีที่สุดแล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ต้องยอมรับ แต่ปัจจุบันนี้วิทยาการทางการแพทย์ ที่ก้าวหน้าขึ้นมาก การผ่าตัดแล้วได้ผลดีก็เพิ่มขึ้นมาก แต่ทั้งหมดก็ขึ้นกับวัยของเด็กและความรุนแรงของโรคด้วย ยิ่งถ้าเขาอายุยังน้อยมากๆ เช่น แรกเกิด ต้องผ่าตัดตอนนั้นรอไม่ได้แล้ว โอกาสเสี่ยงก็ย่อมมีสูงขึ้น"

ในกรณีของน้องแก๊ป ลูกชายคนเดียวของคุณนุชนาฎ ก็เกือบจะสายไปแม้จะเริ่มทราบว่า ป่วยเมื่อตอนคลอดน้องแก๊ปได้เพียง 4 วัน แต่แพทย์ผู้ดูแลแจ้งเพียงว่า น้องแก๊ปมีความผิดปกติที่หัวใจเท่านั้น ไม่ได้แนะนำอะไรเพิ่มเติม มาทราบอีกทีหลังจากผ่านไป 12 วัน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจพบว่า มีรูรั่วที่ผนังกั้นห้องหัวใจด้านล่างซึ่งมีขนาดใหญ่มากให้ยารักษาหัวใจวายเด็กเต็มที่ และให้รอสักระยะหนึ่งเพื่อดูอาการ

คุณนุชนาฎกลับบ้านมาพร้อมกับเลี้ยงดูน้องแก๊ปอย่างปกติ เพราะลูกไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ให้เห็น เพียงแต่กินนมได้น้อย อาเจียนทุกครั้งที่กินนม หลังจากนั้นประมาณ 6 เดือนน้องแก๊ปเป็นไข้หวัด แพทย์ที่คลินิกตรวจพบความผิดปกติของการหายใจ และวินิจฉัยว่าเป็นลักษณะของน้ำท่วมปอด น้องแก๊ปถูกส่งตัวเข้าห้องไอซียู หลังจากนั้นอาการก็แย่ลงเรื่อยๆ แพทย์แจ้งว่า ให้ทุกคน "ทำใจ" เพราะแม้จะผ่าตัดก็คงไม่สามารถช่วยให้เด็กมีชีวิตอยู่ได้"

คุณนุชนาฎและทุกคนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นสามีและญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดตัดสินใจย้ายน้องแก๊ป มารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลรามาธิบดี โดยมีคุณหมออนันต์ เป็นแพทย์ผู้ดูแล
"ช่วงที่มาอยู่ที่รามาฯ ลูกก็ดีขึ้น แต่ตอนนั้นเราก็ยังไม่ไว้ใจเพราะสภาพเขาน่าสงสารมาก ตอนเขา 6 เดือนน้ำหนักแค่ 4,000 กรัมเท่านั้น แต่คุณหมอที่นี่น่ารักค่ะ คอยบอกเป็นระยะว่าลูกเป็นยังไงบ้าง คุณหมอบอกว่าต้องรอให้น้ำหนักลูกขึ้นเยอะๆ ก่อนถึงจะผ่าตัดได้ ช่วงนั้นก็ต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลตลอดเวลา เพราะเขาจะป่วยบ่อยแล้วทุกคนในบ้านก็ลุ้นกันมากให้น้ำหนักเขาขึ้น เพราะกว่าจะขึ้นแต่ละขีดใช้เวลาเป็นเดือน บางทีขึ้นมาขีดหนึ่ง พอไม่สบายก็หายไปอีก 4 ขีดกว่าจะขึ้นใหม่อีก"

คุณนุชนาฎต้องตัดสินใจลาออกจากงาน และใช้เวลาทั้งหมดดูแลลูก โดยมีสามี น้องสาว คุณอา และญาติที่ใกล้ชิด คอยสนับสนุนทั้งเรื่องการเงินและกำลังใจ
"ดิฉันถือว่าโชคดีที่มีญาติผู้ใหญ่คอบดูแล เหมือนกับว่าเราดูแลลูกแล้วคนรอบข้างก็คอยดูแลเราอีกที เพราะช่วงนั้นถ้าไม่ได้ญาติก็แย่เหมือนกัน เพราะเราต้องเลี้ยงลูกเอง ตี 5 ต้องตื่นมานึ่งนม ทางโรงพยาบาลจะสอนให้นึ่งนม สำหรับเด็กป่วยแบบนี้ เขาต้องกินนมพิเศษซึ่งจะข้นมาก พอนึ่งแล้วก็ต้องปั่นอีก แล้วก็กรอกใส่ขวดนมทีละ 8 ขวด ต้องตื่นทุก 4 ชั่วโมงมาเคาะปอด ดูดเสมหะให้ลูก พอลูกหลับก็ต้องเตรียมแบ่งยา เป็น 1 ส่วน 8 ซึ่งต้องเล็กมากเลย คือต้องทำทุกอย่างที่พยาบาลสอน แล้วต้องทำเองเพราะที่บ้านไม่มีใครกล้าทำ แต่เราคิดว่าถ้าอยากให้เขาหายเราก็ต้องทำทุกอย่างค่ะ"

การปฏิบัติเช่นนี้ของคุณนุชนาฎทำให้คุณหมอชมทีเดียว เพราะดูแลเอาใจใส่ลูกอย่างสุดความสามารถ เรื่องนี้คุณหมออนันต์บอกว่าสำคัญที่สุด โดยให้ความคิดเห็นสนับสนุนว่า
"คนเป็นพ่อแม่ต้องยอมเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองเลยทีเดียว เพราะครอบครัวเป็นส่วนสำคัญที่สุด อันนี้คือพื้นฐาน เด็กคนหนึ่งไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรก็ตามที่เรื้อรัง ผมว่าพ่อแม่ต้องเปลี่ยนชีวิตความเป็นอยู่เลย ต้องยอมรับว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าการดูแลลูก เวลาพักผ่อนทุกอย่างเปลี่ยนไป ถ้าพ่อแม่ปรับตัวได้เร็ว เอาใจใส่ มาตรวจตามนัดปฏิบัติตามที่หมออธิบายและแนะนำให้ฟัง ผลก็มักจะดี แต่ถ้าพ่อแม่ไม่ปฏิบัติตามหมอนัด มาบ้างไม่มาบ้าง ก็อาจไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร แต่ตรงนี้หมอก็เข้าใจว่า แต่ละคนก็ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างที่อาจเป็นอุปสรรค เพราะพ่อแม่ทุกคนก็อยากทำหน้าที่ให้ดีที่สุดทั้งนั้น"

ประมาณ 4 ขวบกว่าน้องแก๊ปได้รับอนุญาตให้ทำการผ่าตัดครั้งสำคัญที่สุด เพื่อปิดรูรั่วหัวใจ เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดี ทุกวันนี้น้องแก๊ปกลับมาเป็นเด็กปกติเหมือนคนอื่น การเลี้ยงดูก็ไม่แตกต่าง เพียงแต่ต้องคอยระวังเรื่องการออกกำลังกายที่หักโหม คุณนุชนาฎอมยิ้มบอกกับเราว่า 5 ปีกว่าที่ผ่านมา ดูเหมือนยาวนานที่ต้องทนทุกข์ใจกับอาการป่วยของลูก แต่มาวันนี้ได้เห็นเขาแข็งแรงสมบูรณ์เป็นปกติ เหมือนเด็กคนอื่นๆ ก ็รู้สึกคุ้มค่ากับความอดทนและเวลาที่ผ่านไป

บทสรุปของน้องแก๊ปไม่ได้จบลงแค่การเอาชนะโรคหัวใจมาได้แต่คงช่วยต่อยอดให้กำลังใจแก่คนเป็นแม่ ที่เชิญกับสถานการณ์ในทำนองเดียวกันได้บ้างว่า

"ความอดทนและอยู่ด้วยความหวัง…หวังว่าลูกจะหายป่วย" น่าจะเป็นพลังสำคัญทำให้คนเป็นพ่อแม่ต่อสู้ไปได้ แล้วที่ลืมไม่ได้ก็คือ ใช้แค่คุณเท่านั้นที่กำลังต่อสู้ หัวใจดวงน้อยๆ ข้างๆ คุณก็กำลังต่อสู้อย่างที่สุดไม่ต่างจากพ่อและแม่ เพื่อได้มาซึ่งการมีชีวิตอยู่และได้เป็น "ลูกของคุณ"

และสำหรับคุณผู้เป็นพ่อแม่ซึ่งอาจโชคดีที่ "หัวใจ" ของเจ้าตัวเล็กเต็มร้อยไม่พิการขาดหาย เหมือนลูกของใครอีกหลายคนเวลาที่มีอย่างเต็มที่นี้คงจะมากพอสำหรับอบรมเลี้ยงดูและหล่อหลอมให้ "จิตใจ" ของลูกเต็มร้อย เหมือน "หัวใจ" ได้ไม่ยาก



ไข้รูมาติกและคาวาซากิ


โรคไข้รูมาติก

  • เป็นโรคชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากการติดเชื้อคออักเสบจากเชื้อโรคตัวหนึ่ง และเชื้อโรคตัวนี้มีโอกาสจะทำปฏิกิริยาในร่างกาย ส่งผลให้มีการทำลายลิ้นหัวใจ โรคไข้รูมาติกมักจะเกิดในประเทศที่ยังไม่พัฒนา สำหรับเมืองไทยเรายังพบอยู่บ้าง โดยเฉพาะต่างจังหวัด และเกี่ยวข้องชัดเจนกับสภาวะสังคมและฐานะการเงินของครอบครัว เช่น ความเป็นอยู่ ไม่ถูกสุขลักษณะ อยู่ในชุมชนแออัดมากๆ
  • อาการของโรค มีการติดเชื้อที่คอและไม่มีการรักษาที่ถูกต้อง เช่น ซื้อยามากินเองอาจดูอาการดีขึ้น แต่เชื้อโรคยังไม่หายขาด และถ้ารักษาไม่ดีเชื้อโรคตัวนี้จะไปทำลายลิ้นหัวใจ พบบ่อยในเด็กวัย 5-15 ปี
  • การป้องกันและการรักษา เมื่อรู้สึกมีไข้สูง เจ็บคอ ควรไปให้แพทย์ตรวจเพราะแพทย์ จะทราบทันทีว่าเชื้อในคอเป็นชนิดใด ถ้าเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดไข้รูมาติก แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อรักษาอาการ โดยต้องกินติดต่อกันอย่างน้อย 10 วัน หรือในกรณีที่ติดเชื้อแล้ว มีลิ้นหัวใจรั่วแล้ว ถ้ารักษาดีๆ ลิ้นหัวใจที่รั่วจะหายเองได้ โดยจะต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง พักผ่อนให้เพียงพอ ให้ยาอย่างเหมาะสม
ในกลุ่มที่เคยเป็นไข้รูมาติกไม่ว่าจะมีลิ้นหัวใจรั่วหรือไม่ก็ตาม เมื่อได้รับการติดเชื้อตัวนี้อีกครั้ง จะมีโอกาสกลับมาเป็นอีกถึง 50 เปอร์เซ็นต์ กลุ่มนี้ต้องกินยาทุกวัน หรือฉีดยาทุก 4 สัปดาห์ ถ้าปล่อยทิ้งไว้มีโอกาสที่ลิ้นหัวใจจะอักเสบบ่อยๆ และสุดท้ายอาจเป็นโรคลิ้นหัวใจพิการอย่างถาวรได้

โรคคาวาซากิ

  • เป็นโรคที่มีผลทำให้หัวใจอักเสบ ทำให้เส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจผิดปกติ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ โรคคาวาซากิไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไร มักพบในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
  • อาการของโรค มีไข้สูง ตาแดง ปากแดง แห้งและแตก ลิ้นเป็นตุ่มคล้ายผลสตรอว์เบอร์รี่ มีผื่นขึ้นตามตัว มือเท้าบวม ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต
  • การรักษา เมื่อมีอาการควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อให้การรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งจะเป็นการป้องกันผลแทรกซ้อนที่อันตรายนี้ได้



[ ที่มา... นิตยสารแม่และเด็ก   ปีที่ 5 ฉบับที่ 55 พฤษภาคม 2543 ]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600