แต่ตรงนี้ป้องกันได้
ส่วนใหญ่หมอจะแนะนำคน
ไข้ว่าต้องป้องกันเชื้อโรคไม่
ให้เข้า
สู่ร่างกายส่วนจะทำยังไง
ก็ต้องมาดูว่าส่วนที่เชื้อโรคเข้า
ไปได้ง่ายที่สุดคือ ปากและฟัน
เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ตรวจ
หมอจะคอยย้ำ คอยถามอยู่
เสมอว่า "แปรงฟันสะอาดมั้ย
กินท็อฟฟี่รึเปล่า" และต้อง
แนะนำให้เขาไปหาหมอฟัน
อย่างสม่ำเสมอ มากี่ครั้งก็ต้อง
บอก สอนหัดให้เขาแปรงฟัน
ให้ถูกวิธี อย่ากินท็อฟฟี่ ไปให้
หมอฟันตรวจตั้งแต่อายุ 2 ปี
แล้วเสริมฟลูออไรด์ให้เขากิน
ถ้าทำได้แบบนี้โอกาสที่จะเกิด
ภาวะติดเชื้อก็น้อยลงไปมาก
อีกกรณีคือเวลาเด็ก
ไปถอนฟันหรือทำการผ่าตัด
บางอย่าง ก็เป็นโอกาสที่เชื้อโรค
จะเข้าไปในเส้นเลือดได้ เพราะ
ฉะนั้นจะต้องให้เขาบอก
ทันตแพทย์หรือแพทย์ที่รักษาว่า
ป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่ ซึ่งเขาจะ
ให้กินยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกัน
ไว้ก่อน
|

"หมอเลือกรักษาเด็ก เพราะรู้สึกว่าเด็กๆ น่ารัก เขาเป็นวัย
ที่ไร้เดียงสา บริสุทธิ์ และดูจริงใจไม่มีมารยา เวลาเจ็บก็จะแสดง
ออก พอเขาหายก็จะยิ้มกับเรา เล่นกับเรา ตรงนี้เป็นภาพที่มีความ
สุขนะสำหรับทีมหมอผู้ดูแล มันทำให้ใจเราชุ่มชื้นขึ้น
สำหรับพ่อแม่ พอลูกเราดีขึ้น เราทักทาย เขายิ้มออก
เราก็รู้สึกดีไปด้วย แล้วเด็กทุกคนที่เรารักษา เราผูกพัน ดูแลเขา
ก็อยากให้หายทุกราย ถ้าเขาเกิดเป็นอะไรขึ้นมาเราก็รู้สึกเสียใจ แต่ความรู้สึกเสียใจนั้น
เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องผ่านไป เพราะเราต้อง
ดำเนินชีวิตต่อ เราต้องรักษาคนอื่นต่อไป
แต่สิ่งที่สำคัญถ้าหากเด็กเกิดเป็นอะไรรุนแรงหรือเสียชีวิตคือ
เราต้องทำหน้าที่ support พ่อแม่ของเด็กด้วย เราต้องทำตรงจุดนี้
อย่างเต็มที่พอๆ กับการรักษาเด็กเพราะไม่มีใครยอมรับกับความ
สูญเสียได้ง่ายๆ หรอกครับ แต่ก็โชคดีที่พัฒนาการในเรื่องการผ่าตัด
โรคหัวใจก้าวหน้าไปเยอะมาก จะมีโรคหัวใจน้อยชนิดลงเรื่อยๆ
ที่เราผ่าตัดไม่ได้ ส่วนโรคหัวใจที่พบบ่อยๆ การผ่าตัดให้ผลลัพธ์
ที่ดีขึ้นด้วย
หมออยากฝากไปยังคุณพ่อคุณแม่ที่ทราบว่า ลูกป่วยเป็นโรค
หัวใจ อย่าเพิ่งตกใจ ต้องคุยกับหมอก่อนว่าลูกเป็นโรคหัวใจอย่างไร
ชนิดไหน โอกาสมีแค่ไหน หมอจะวางแผนการรักษาอย่างไร
รักษาแล้วจะหายขาดมั้ย ผลกระทบมีอะไรบ้าง เหล่านี้จะช่วยทำให้
คุณพ่อคุณแม่สบายใจขึ้นนะครับ"
|