มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



ถ้าไม่อยากเป็นแม่ที่มีปัญหา


ผู้หญิงส่วนมากจะรักครอบครัวโดยเฉพาะลูก จะรักสุดหัวใจ ยิ่งเล็กเท่าไรจะห่วงใยมากขึ้นเท่านั้น ลูกบางคนแม้โตจนมีครอบครัวแล้วพ่อแม่ก็ยังห่วงใยรักใคร่

รักที่สุดคือหลาน ถ้าเป็นลูกกล้าดุว่า กล้าดี แต่กับหลานจะกลัวหลานไม่รัก เลยมักจะตามใจมากกว่าขัดใจหลานหรือว่ากล่าวหลาน

นี่คือผู้หญิงทั่วๆ ไป

อย่างไรก็ตามมีผู้หญิงบางคนอาจน้อยใจที่อุทิศตัวให้กับลูกและสามีมากมายแต่ไม่มีใครเห็นใจ จนเห็นเธอเป็นคนใช้ประจำบ้านไป ตัวอย่างมีทั้งในไทยและต่างประเทศ เช่น แมรี่ เอส ได้อุทิศชีวิตเพื่อลูกและสามี

เธอจะทำงานดูแลคนทั้งบ้านตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาด้วยการบีบล้างหน้าแปรงฟัน แล้วไปทำอาหารเช้า ให้ลูกและสามี เสร็จแล้วเตรียมพาลูกไปส่งโรงเรียน แล้วกลับมาซักผ้ารีดผ้า เตรียมอาหารที่จะให้สามี หากเขากลับมากินเที่ยง แล้วถูบ้าน รดน้ำต้นไม้ พอบ่ายๆ รีบไปรับลูกระหว่างทางก็ให้ลูกกินของว่าง

พอถึงบ้านก็จับลูกอาบน้ำ (ก็ยังเล็ก) แล้วให้เล่นสักพักเธอทำอาหารให้ลูกกินตอนเย็น หลังอาหารให้ลูกเล่นสักพักก็มานั่งดูแลการบ้านลูก หรืออ่านหนังสือให้ฟัง

ช่วงนี้เธอจะเตรียมอาหารให้ลูกด้วย โดยให้ลูกนั่งทำการบ้านในครัวด้วยกัน เมื่อสามีกลับมาเธอรีบไปรับเสื้อโค้ต และเอากระเป๋าไปเก็บแล้วเตรียมอาหารให้เขา ครั้นทุกคนกินอาหารมื้อเย็นเสร็จเธอจะล้างจาน ทำความสะอาดครัวและดูแลความเรียบร้อย แล้วพาลูกเข้านอน

เธอจะมีเวลาส่วนตัวแค่ไม่ถึงชั่วโมงเพราะต้องเตรียม ทุกอย่างให้ลูกในวันรุ่งขึ้น
แมรี่ใช้ชีวิตแบบนี้มาเป็นปีๆ แต่ไม่มีใครขอบใจเธอสักคำ
เธอรู้สึกไม่สบายใจและคิดว่าเธออาจจะทำอะไรไม่ถูกใจคนในบ้านพอกระมัง

อาการแบบนี้คือโรคอย่างหนึ่ง
เป็นโรคคิดมากที่คนอเมริกันเป็นกันนับล้านๆ
เป็นอาการที่สนใจจะบริการหรือใส่ใจคนอื่นมากเกินไป ไม่ว่าคนนั้นจะดีหรือเลว ไม่ว่าเขาจะเมาหัวราน้ำ เป็นผีการพนัน หรืออาชญากร
ถ้าเป็นลูกก็ไม่ใส่ใจว่าลูกจะดื้อ จะอาละวาดแค่ไหน ลูกคือสุดที่รัก

เมลโลดี้ บีทตี (Melody Beattie) แต่งหนังสือขายดี "Codependent No More and Beyond Codependency" กล่าวว่า อยากจะหายจากโรคคิดมากแบบนี้ก็ต้องยอมรับว่า เราคิดมากและอย่ามองตัวเองเป็นคนไร้ค่าหรือแพะรับบาป

บีทตีเคยประสบปัญหานี้และเธอรอดพ้นมาได้เธอบอกว่า ทุกอย่างมีสัญญาเตือนภัยทั้งนั้น
ขอแค่อย่าทำตัวเองเป็นทาสรับใช้ใครจนเกินไป เป็นการใส่ใจใครมากเกินกว่าเหตุ เช่นดูแลลูกหรือโอ๋ลูกมาก

วิธีสังเกตเราเป็นทาสรับใช้ ?

เอาใจลูกหลาน สามี ญาติสนิท มิตรสหายไปทั่วจนลืมนึกถึงตัวเอง
1. ขึ้นอยู่กับคนอื่นมากเกินไป เป็นการใฝ่หาความรักและการยอมรับ จากผู้คนรอบตัวเกินกว่าเหตุ จนอาจก่อให้เกิดความรำคาญกันได้ง่ายๆ เช่น พ่อแม่หลายคนห่วงลูกมาก คอยถาม คอยห่วงใย จนลูกไม่ว่าตัวเล็กหรือใหญ่รำคาญได้

2. เห็นตัวเองไร้ค่า แม่ที่มีสภาพนี้หากมีอะไรเกิดขึ้นจะหาว่าตัวเองไม่ดี และไม่ยอมรับว่าตัวก็มีอะไรดี ไม่ว่าจะมีใครบอกอย่างไรก็ตาม

3. ไม่ปล่อยวาง เรียกว่าทำตัวเหมือนเครื่องดูดฝุ่น รับทุกอย่างเข้ามาเป็นเรื่องของตน แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เลยออกไปในทาขมขื่น เช่น อยากตาย อยากหนีไปไหนถ้าลูกหรือสามีทำให้เสียใจ
ถ้าใครเป็นแบบนี้ต้องหาทางแก้ไขเสียก่อนลูกเมียหรือสามีจะเบื่อหน้าได้
วิธีแก้ไข

ถ้าอยากเป็นพ่อแม่ที่ดี โดยเฉพาะคนเป็นแม่ใกล้ชิดลูกมากต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ ไม่ปล่อยตัวให้เป็นปัญหา เพราะเราคือคนใกล้ชิดที่ติดตัวลูกที่สุดถ้าเรามีปัญหาแล้ว ผู้คนรอบตัวคงอยู่ไม่ปกติสุข
1. ต้องรักตัวเอง (Love Yourself) ถ้าเรารักตัวเองไม่เป็นแล้วเราจะฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างไร อย่างน้อยการรักตัวเองจะทำให้รู้จักคิด รู้จักถนอมใจ เอาใจตัวเองบ้าง จะได้มีกำลังใจจะต่อสู้กับชีวิตต่อไป
ใครก็ตามที่รักตัวเองได้ ก็รักคนอื่นเป็น
แม่ที่รักตัวเองจะห่วงใยสุขภาพกายและใจของตัวไม่ให้มีปัญหากระทบกระเทือนลูก โดยเฉพาะลูกเล็กๆ ที่ต้องการแม่ที่มีจิตใจที่สมบูรณ์พอเป็นแนวทางแก่ลูกได้
ยิ่งลูกวัยรุ่น ถ้าแม่มีปัญหาลูกคงจะหาใครพึ่งไม่ได้ เพราะตอนนี้ลูกจะมีอาการแปรปรวนทางอารมณ์ เพื่อปรับสภาพให้เป็นผู้ใหญ่ แม่จึงสำคัญที่สุดสำหรับในวัยนี้

2. ยอมรับความจริง (Accept Reality) การยอมรับไม่ได้แปลว่า "ยอมแพ้" แต่ยอมรับสภาพที่เกิดขึ้น และหาทางแก้ไข เช่น เป็นคนไม่เชื่อมั่นตัวเอง ไม่ว่าจะทำอะไรก็บอก ตัวเองว่าเราทำไม่ได้ มิฉะนั้นเราคงไม่มีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ มีครอบครัว มีลูก มีสามี

3. ปล่อยวาง (Detach) อย่าคิดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของเรา และปัญหาเป็นเรื่องปกติ เมื่อเกิดขึ้นต้องแก้ไข จะแก้ได้แค่ไหนเป็นเรื่องคาดการณ์ไม่ได้ แต่เราจะทำให้ดีที่สุด เช่น ลูกท้องเสียไม่ต้องร้องไห้ฟูมฟายว่าไม่ดูแลปล่อยให้ลูกกินอะไรไม่ดี ลูกท้องเสียก็เป็นบทเรียนคราวหน้า อย่าให้กินสิ่งนั้นหรือรักษาความสะอาดมากขึ้น

4. มีเป้าหมาย (Set Goals) คนที่ทำอะไรแบบมีจุดหมายหรือสิ่งที่ตัวตั้งความหวังไว้ จะทำให้ทำอะไรมีเหตุมีผลไม่ใช้อารมณ์ และถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็ตั้งเป้าหมายไว้เลยว่า
เราจะแก้ไขให้ได้
จะได้รู้ทิศทางที่จะไป เช่น ลูกไม่เรียนหนังสือก็ต้องตั้งจุดหมายปลายทางว่าจะทำอย่างไร ถึงแก้ปัญหานี้ โดยดูสาเหตุ เช่น
เข้าใจวิชานั้นไหม
เพื่อนรังแกหรือเปล่า
ครูเข้าใจลูกศิษย์หรือไม่ ฯลฯ
แล้วหาทางแก้ด้วยการไปปรึกษาครูอาจารย์ หาคนช่วยติววิชาที่ลูกไม่เข้าใจ และให้ครูช่วยแก้ปัญหา เพื่อนที่ชอบรังแก เป็นต้น
ถ้าเรายืนอยู่บนขาของเราเองได้ ก็ไม่มีใครมาทำให้เราด้อยค่าไร้ค่า จนเห็นตัวเองหมดความหมาย
เชื่อเถอะค่ะ

รศ.สุพัตรา สุภาพ

(update 19 ตุลาคม 2000)


[ ที่มา... นิตยสารแม่และเด็ก   ปีที่ 23 ฉบับที่ 340 มิถุนายน 2543]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600