พญ.จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์
  
 
เมื่อลูกโตขึ้น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะแย่งเวลาและความสนใจของลูกไปจากการอ่านหนังสือ 
คุณพ่อคุณแม่ควรที่จะหาวิธีสร้างนิสัยรักการอ่านให้แก่ลูกเสียแต่เนิ่นๆ 
 การสร้างนิสัยรักการอ่านให้ลูกเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากในเรื่องของเวลา 
ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์พบว่าการใช้เวลาเพียง 10 นาทีต่อวันในการอ่านหนังสือกับลูก 
สามารถที่จะช่วยให้เด็กชั้น ป.5 มีคะแนนการอ่านเอาเรื่องอยู่ในระดับต้นๆ ได้ และในรายที่คุณพ่อคุณแม่
ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีต่อวันในการอ่านหนังสือกับลูก สามารถทำให้เด็ก ได้คะแนนอยู่ในอันดับท็อปของห้องได้ 
และที่สำคัญการอ่านเป็นการเปิดโลกกว้างที่มีคุณค่ามากให้แก่ลูก ซึ่งจะมีบทบาทมากในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของลูกในอนาคต 
ซึ่งวิธีสร้างนิสัยรักการอ่านมีง่ายๆ ดังนี้ 
 
  | 
ควรหาเวลาอ่านออกเสียงดังๆ ด้วยกัน  | 
 
 
 คุณพ่อคุณแม่หลายคนเลิกการอ่านหนังสือให้ลูก เมื่อลูกโตพอที่จะอ่านหนังสือเองได้ 
แต่ที่จริงแล้วเด็กยังจะได้ประโยชน์จากการอ่านหนังสือด้วยกันแม้ว่าจะโตเป็นวัยรุ่นแล้ว 
โดยการเลือกหนังสือที่มีระดับความยากง่ายที่เหมาะสมกับวัยของเด็ก (หรือสูงกว่า) 
เมื่อเด็กยังเล็กหรือยังเป็นทารกการอ่านเป็นการฝึกฝนทักษะในช่วงที่เด็กยังอยู่ในระดับประถม 
โดยการทำเช่นนี้จะช่วยให้ลูกได้รู้จักคำศัพท์ใหม่ๆ และการวางรูปประโยค 
หรือความหมายของคำศัพท์ที่อาจมีความแตกต่างกันไปในแต่ละสภาวะ 
 คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยลูกเพิ่มพูนทักษะในการอ่านได้โดยการเลือกหนังสือที่เหมาะสมกับวัยของเขา 
แล้วผลัดกันอ่านกับลูก เช่นให้ลูกเริ่มอ่านย่อหน้าแรกก่อน แล้วคุณแม่ช่วยอ่านต่อในย่อหน้าที่สอง 
ควรปล่อยให้ลูกได้พยายามอ่านจนจบตามที่กำหนดไว้เอง พยายามอย่าไปขัดคอหรือตำหนิ
หรือคอยแก้ถ้าเขาไม่สามารถอ่านได้ดีดังใจ แต่อาจจะช่วยแนะนำคำที่ยากๆ ให้บางคำ 
พยายามอย่าบังคับให้ลูกต้องอ่านแต่หนังสือดีๆ ที่เราเลือกให้เท่านั้น เพราะในการอ่านให้สนุกนั้น 
เรื่องที่อ่านต้องน่าสนุกด้วย ผู้อ่านจึงจะรู้สึกอยากอ่าน และการอ่านก็คือการอ่าน ซึ่งเป็นเรื่องของทักษะ 
ยิ่งฝึกฝนมากก็จะยิ่งเก่งขึ้น ยิ่งอ่านได้เก่งขึ้นก็จะเกิดความสนุกในการอ่าน ก็จะยิ่งทำให้อยากอ่านมากขึ้นอีก 
คุณควรจะเลือกสิ่งที่จะให้ลูกอ่านที่เขียนในรูปแบบต่างๆ กันบ้าง เช่น 
- โคลง-กลอน ซึ่งเป็นคำที่สละสลวย และมีความหมายที่กระชับและได้ใจความ
 - เรื่องตลก หรือปัญหาเชาวน์ ที่จะทำให้เด็กรู้สึกว่าฉลาดและสามารถนำไปเล่า หรือถามเพื่อนได้ 
 - หนังสือการ์ตูนซึ่งเป็นการสื่อโดยภาพและคำพูดบ้าง ทำให้สามารถอ่านเข้าใจได้เร็ว
 - นิทาน ที่มีการวางตัวเอกต่างๆ ในเรื่องที่ชวนติดตามทำให้เกิดจินตนาการ ไปตามบทที่ตัวเอกต่างๆ เป็นอยู่ 
ทำให้เด็กเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และจะมีผลอย่างไรต่อไป 
 - นิตยสาร ซึ่งเป็นลักษณะเรื่องสั้นๆ ที่อยู่ในความสนใจของเขา ทำให้อ่านได้ง่าย 
   
 
  | 
พยายามหาโอกาสในการอ่าน  | 
 
 
 ในระหว่างที่กำลังรอขึ้นรถไปโรงเรียน หรือเวลาที่รถติดมาก คุณอาจจะหาหนังสือเรื่องสั้น
ที่อ่านง่ายมากไว้ให้ลูกอ่าน ในเวลาสงบๆ ก่อนเข้านอนคุณแม่ควรหาช่วงเวลาประมาณ 15-30 นาที
อ่านหนังสือที่สบายๆ กับลูก 
 
  | 
พยายามทำให้การอ่านเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ | 
 
 
 จะเห็นว่าในห้องสมุดหรือร้านหนังสือใหญ่ๆ ในต่างประเทศจะจัดให้มีกิจกรรม "ชั่วโมงอ่านหนังสือ" 
หรือเล่านิทานให้แก่เด็กๆ ซึ่งคุณแม่ก็สามารถจัดให้ลูกได้เช่นกัน เช่นทำเวลาวันเสาร์เย็นที่มีเวลาอยู่ด้วยกัน
ให้เป็นเวลาอ่านหนังสือแทนที่จะให้ดูแต่ทีวี คุณแม่อาจจะนำเครื่องดื่มหรือขนมคบเขี้ยวมาทาน
สลับไปในระหว่างอ่านหนังสือก็จะทำให้เรื่องที่อ่านนั้นมีรสชาติมากขึ้น 
 ในการเตรียมตัวเดินทางหรือทำกิจกรรมของครอบครัวบางอย่าง เช่นการไปต่างจังหวัด 
คุณสามารถชวนให้เด็กหัดอ่านค้นคว้าถึงรายละเอียดของที่ที่จะไปเที่ยว หรือทำแผนการเดินทาง
ที่มีรายละเอียดสิ่งที่น่าสนใจต่างๆ ซึ่งทำให้เด็กได้เรียนรู้มากขึ้น 
 
  | 
ถ้าจะให้ดีควรจำกัดเวลาการดูทีวี  | 
 
 
 เมื่อปี 2537 ศูนย์การศึกษาแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาได้มีการศึกษาเกี่ยวกับความสามารถ
ในการอ่านของเด็กและพบว่าในกลุ่มเด็กที่ใช้เวลาดูทีวีน้อยกว่า 3 ชม.ต่อวัน จะมีความสามารถ
ในการอ่านหนังสือดีกว่าเด็กที่ดูทีวีมากกว่า 3 ชม.ต่อวัน โดยเฉพาะกลุ่มที่ดูมากกว่า 4-5 ชม.ต่อวัน
ขึ้นไปจะแย่ที่สุด 
  |