มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



การสร้างนิสัยรักการอ่านให้ลูก

พญ.จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์


เมื่อลูกโตขึ้น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะแย่งเวลาและความสนใจของลูกไปจากการอ่านหนังสือ คุณพ่อคุณแม่ควรที่จะหาวิธีสร้างนิสัยรักการอ่านให้แก่ลูกเสียแต่เนิ่นๆ

การสร้างนิสัยรักการอ่านให้ลูกเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากในเรื่องของเวลา ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์พบว่าการใช้เวลาเพียง 10 นาทีต่อวันในการอ่านหนังสือกับลูก สามารถที่จะช่วยให้เด็กชั้น ป.5 มีคะแนนการอ่านเอาเรื่องอยู่ในระดับต้นๆ ได้ และในรายที่คุณพ่อคุณแม่ ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีต่อวันในการอ่านหนังสือกับลูก สามารถทำให้เด็ก ได้คะแนนอยู่ในอันดับท็อปของห้องได้ และที่สำคัญการอ่านเป็นการเปิดโลกกว้างที่มีคุณค่ามากให้แก่ลูก ซึ่งจะมีบทบาทมากในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของลูกในอนาคต ซึ่งวิธีสร้างนิสัยรักการอ่านมีง่ายๆ ดังนี้

ควรหาเวลาอ่านออกเสียงดังๆ ด้วยกัน

คุณพ่อคุณแม่หลายคนเลิกการอ่านหนังสือให้ลูก เมื่อลูกโตพอที่จะอ่านหนังสือเองได้ แต่ที่จริงแล้วเด็กยังจะได้ประโยชน์จากการอ่านหนังสือด้วยกันแม้ว่าจะโตเป็นวัยรุ่นแล้ว โดยการเลือกหนังสือที่มีระดับความยากง่ายที่เหมาะสมกับวัยของเด็ก (หรือสูงกว่า) เมื่อเด็กยังเล็กหรือยังเป็นทารกการอ่านเป็นการฝึกฝนทักษะในช่วงที่เด็กยังอยู่ในระดับประถม โดยการทำเช่นนี้จะช่วยให้ลูกได้รู้จักคำศัพท์ใหม่ๆ และการวางรูปประโยค หรือความหมายของคำศัพท์ที่อาจมีความแตกต่างกันไปในแต่ละสภาวะ

คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยลูกเพิ่มพูนทักษะในการอ่านได้โดยการเลือกหนังสือที่เหมาะสมกับวัยของเขา แล้วผลัดกันอ่านกับลูก เช่นให้ลูกเริ่มอ่านย่อหน้าแรกก่อน แล้วคุณแม่ช่วยอ่านต่อในย่อหน้าที่สอง ควรปล่อยให้ลูกได้พยายามอ่านจนจบตามที่กำหนดไว้เอง พยายามอย่าไปขัดคอหรือตำหนิ หรือคอยแก้ถ้าเขาไม่สามารถอ่านได้ดีดังใจ แต่อาจจะช่วยแนะนำคำที่ยากๆ ให้บางคำ พยายามอย่าบังคับให้ลูกต้องอ่านแต่หนังสือดีๆ ที่เราเลือกให้เท่านั้น เพราะในการอ่านให้สนุกนั้น เรื่องที่อ่านต้องน่าสนุกด้วย ผู้อ่านจึงจะรู้สึกอยากอ่าน และการอ่านก็คือการอ่าน ซึ่งเป็นเรื่องของทักษะ ยิ่งฝึกฝนมากก็จะยิ่งเก่งขึ้น ยิ่งอ่านได้เก่งขึ้นก็จะเกิดความสนุกในการอ่าน ก็จะยิ่งทำให้อยากอ่านมากขึ้นอีก คุณควรจะเลือกสิ่งที่จะให้ลูกอ่านที่เขียนในรูปแบบต่างๆ กันบ้าง เช่น
  • โคลง-กลอน ซึ่งเป็นคำที่สละสลวย และมีความหมายที่กระชับและได้ใจความ
  • เรื่องตลก หรือปัญหาเชาวน์ ที่จะทำให้เด็กรู้สึกว่าฉลาดและสามารถนำไปเล่า หรือถามเพื่อนได้
  • หนังสือการ์ตูนซึ่งเป็นการสื่อโดยภาพและคำพูดบ้าง ทำให้สามารถอ่านเข้าใจได้เร็ว
  • นิทาน ที่มีการวางตัวเอกต่างๆ ในเรื่องที่ชวนติดตามทำให้เกิดจินตนาการ ไปตามบทที่ตัวเอกต่างๆ เป็นอยู่ ทำให้เด็กเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และจะมีผลอย่างไรต่อไป
  • นิตยสาร ซึ่งเป็นลักษณะเรื่องสั้นๆ ที่อยู่ในความสนใจของเขา ทำให้อ่านได้ง่าย

พยายามหาโอกาสในการอ่าน

ในระหว่างที่กำลังรอขึ้นรถไปโรงเรียน หรือเวลาที่รถติดมาก คุณอาจจะหาหนังสือเรื่องสั้น ที่อ่านง่ายมากไว้ให้ลูกอ่าน ในเวลาสงบๆ ก่อนเข้านอนคุณแม่ควรหาช่วงเวลาประมาณ 15-30 นาที อ่านหนังสือที่สบายๆ กับลูก

พยายามทำให้การอ่านเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ

จะเห็นว่าในห้องสมุดหรือร้านหนังสือใหญ่ๆ ในต่างประเทศจะจัดให้มีกิจกรรม "ชั่วโมงอ่านหนังสือ" หรือเล่านิทานให้แก่เด็กๆ ซึ่งคุณแม่ก็สามารถจัดให้ลูกได้เช่นกัน เช่นทำเวลาวันเสาร์เย็นที่มีเวลาอยู่ด้วยกัน ให้เป็นเวลาอ่านหนังสือแทนที่จะให้ดูแต่ทีวี คุณแม่อาจจะนำเครื่องดื่มหรือขนมคบเขี้ยวมาทาน สลับไปในระหว่างอ่านหนังสือก็จะทำให้เรื่องที่อ่านนั้นมีรสชาติมากขึ้น

ในการเตรียมตัวเดินทางหรือทำกิจกรรมของครอบครัวบางอย่าง เช่นการไปต่างจังหวัด คุณสามารถชวนให้เด็กหัดอ่านค้นคว้าถึงรายละเอียดของที่ที่จะไปเที่ยว หรือทำแผนการเดินทาง ที่มีรายละเอียดสิ่งที่น่าสนใจต่างๆ ซึ่งทำให้เด็กได้เรียนรู้มากขึ้น

ถ้าจะให้ดีควรจำกัดเวลาการดูทีวี

เมื่อปี 2537 ศูนย์การศึกษาแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาได้มีการศึกษาเกี่ยวกับความสามารถ ในการอ่านของเด็กและพบว่าในกลุ่มเด็กที่ใช้เวลาดูทีวีน้อยกว่า 3 ชม.ต่อวัน จะมีความสามารถ ในการอ่านหนังสือดีกว่าเด็กที่ดูทีวีมากกว่า 3 ชม.ต่อวัน โดยเฉพาะกลุ่มที่ดูมากกว่า 4-5 ชม.ต่อวัน ขึ้นไปจะแย่ที่สุด

(update วันที่ 2 กันยายน 2543)


[ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอปีที่ 24 ฉบับ 8 สิงหาคม 2543]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600