มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



สอนลูกให้รับผิดชอบ ด้วยการไม่โยนความผิด



การโยนความรับผิดของเด็กชายแมนนี่

แมนนี่…เด็กชายวัย 5 ขวบ หยิบช็อกโกแลตในตู้เย็นมารับประทานจนเกือบหมดกล่องเมื่อนึกได้ว่า คุณแม่ยังไม่อนุญาตให้ทาน ด้วยความกลัวถูกลงโทษ เขาจึงเอามือที่เปื้อนช็อกโกแลตอยู่นั้นป้ายที่ปากแมว จากนั้นจึงอุ้มแมวไปหาแม่ พร้อมทั้งฟ้องว่า "แม่ครับ เจ้าเหมียวขโมยกินช็อกโกแลตจนหมดกล่องเลย" ขณะป้ายความผิด แมนนี่รู้สึกสบายใจว่าตนเองจะไม่ถูกลงโทษแล้ว โดยหารู้ไม่ว่าทั้งมือ ปากและฟันของตนนั้น เลอะคราบช็อกโกแลตมากกว่าที่ปากเจ้าเหมียวเสียอีก ทั้งไม่ได้คิดว่าใครๆ ดูก็รู้ว่าเจ้าเหมียว…สัตว์เลี้ยงสี่เท้า จะสามารถเปิดตู้เย็นหยิบช็อกโกแลตออกมาได้อย่างไร

เราอาจมองว่าการกระทำของแมนนี่เป็นเรื่องปกติ แมนนี่ก็เหมือนกับเด็กทั่วๆ ไปที่กลัวถูกลงโทษเมื่อทำความผิด จึงหาวิธีป้องกันตนเองให้ปลอดภัยด้วยการ "โยนความผิด" ไปให้กับผู้อื่น การกระทำดังกล่าวผู้ใหญ่อาจมองว่าเป็นความน่ารักและความฉลาดแบบเด็กๆ ในการหาวิธีเอาตัวรอด ให้ตนเองพ้นผิด แต่เราลองคิดถึงเด็กชายแมนนี่ในอนาคตสัก 20 ปีต่อมา หากนายแมนยังไม่เลิกนิสัยเช่นนี้ การกระทำของเขาจะยังน่ารักเหมือนที่เกิดขึ้นในอดีตหรือไม่

การโยนความผิดของนายแมน…

วันหนึ่งเมื่อนายแมนและภรรยาเห็นสุนัขข้างบ้านเข้ามาวิ่งเล่นอยู่บนสนามหญ้า และรู้ว่าทุกครั้ง มันจะถ่ายของเสียฝากไว้ด้วยเสมอ แทนที่นายแมนจะรีบวิ่งไปไล่สุนัข เขากลับหันไปทางภรรยา "ดูสิ เพราะคุณเปิดประตูทิ้งไว้มันเลยวิ่งเข้ามา" ที่เขากล่าวเช่นนี้เพราะมีกฎว่าใครที่ลืมปิดประตูหน้าบ้าน จะต้องเป็นคนเก็บกองของเสียของเจ้าตูบไปทิ้ง "อย่ามาโทษฉันนะ" ภรรยาโต้กลับทันทีอย่างฉุนเฉียว "ก็เพราะคุณทำกุญแจหายไม่ใช่หรือ มันเลยเขี่ยประตูเข้ามาได้" "ไม่จริง คุณปิดประตูไม่สนิทต่างหาก" ขณะที่ต่างคนต่างโยนความผิดกันไปมา เจ้าตูบบนสนามหญ้ากำลังตะกุยดินอย่างเย็นใจ เพื่อกลบกองของเสียที่มันฝากไว้ เสร็จธุระแล้วมันจึงเดินออกจากบ้านไปอย่างสบายใจ

การโยนความผิดของนายแมน ไม่ต่างจากที่เขาทำเมื่อตอนเด็กๆ เท่าใดนัก เพียงแต่เมื่อโตขึ้น มันได้กลายเป็นนิสัยที่ "ไม่น่ารัก" เหมือนเมื่อตอนเด็กๆ แต่กลายเป็นนิสัยที่เห็นแก่ตัว และสร้างศัตรูให้กับทุกคนที่เขาตีตราว่าเป็นคนผิด แม้กระทั่งกับภรรยาของเขา

วิสัยปกติของมนุษย์มักจะชอบให้ตนเองได้แต่สิ่งที่ดีๆ เช่น ได้รับปัจจัยสี่อย่างครบถ้วนเพียงพอ ได้รับความปลอดภัยจากอันตราย ได้รับการยอมรับหรือคำยกย่องชมเชย ได้รับวัตถุสิ่งของที่ตนเองพึงพอใจ ได้รับการเติมเต็มให้ชีวิตมีความมั่นคง มีคุณค่าและมีความสุข ในทางตรงกันข้ามมนุษย์ก็พยายามหลบหลีก และป้องกันตนเองให้พ้นจากอันตราย ปลอดภัยจากการทำร้าย ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ หาทางหลบเลี่ยงการถูกตำหนิติเตียนและการถูกลงโทษ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่คนเราชอบและยินดีที่จะ "รับ" ความชอบ เช่น รับคำชม รับรางวัล รับการเลื่อนตำแหน่ง ฯลฯ ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการรับความผิด หรือรับโทษในสิ่งที่ตนเองมีส่วนก่อขึ้น

นอกจากนี้ ธรรมชาติมนุษย์มักจะเอาตนเองเป็นศูนย์กลางเมื่อมีความผิดใดๆ เกิดขึ้นมักคิดเข้าข้างตนเองว่าเป็นฝ่ายถูกเสมอ และมักมีแนวโน้มโยนความผิดไปให้ผู้อื่น แทนที่จะยอมรับความผิดนั้นด้วยตนเอง จึงมีนิสัยชอบค้นหาความผิดของผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ คนจำนวนไม่น้อยจึงมีนิสัยชอบ "โยน" ความผิดให้กับคนที่เขาคิดว่าน่าจะมีส่วนร่วมด้วย จึงไม่แปลกที่การโยนความผิดกันไปมา การพยายามกล่าวโทษผู้อื่นว่าเป็นผู้กระทำความผิดนั้น จะเป็นเรื่องที่เราพบเห็นกันอยู่เสมอ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการโยนความผิดจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ก็มิได้เป็นนิสัยที่ดี และเป็นประโยชน์เลย กลับจะเป็นผลเสียทั้งต่อตัวผู้ประพฤติเอง ต่อบุคคลอื่น และต่อสังคมรอบข้างด้วย ทั้งนี้เพราะคนที่ชอบโยนความผิดนั้น…
…จะมีความรู้สึกว่าตนเองถูกต้องเสมอ และคนอื่นผิดเสมอ
…จะมีนิสัยช่างตำหนิ ติเตียนผู้อื่น มองเห็นแต่ส่วนเสียของผู้อื่น
…จะชอบแก้ไขผู้อื่นเพราะผู้อื่นผิดเสมอ แต่ไม่ชอบแก้ไขตนเองเพราะตนเองไม่เคยผิด
…จะไม่ยอมรับความผิดในส่วนที่ตนเองกระทำ เพราะเห็นว่าคนอื่นเป็นผู้ก่อและตนเป็นผู้ทีต้องรับผล
…จะนำมาซึ่งความขัดแย้งและการทะเลาะเบาะแว้งกับผู้ที่ถูกกล่าวหา
…จะชอบแก้ตัวมากกว่าแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น
…จะเป็นคนเห็นแก่ตัว โดยพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอดให้ตนเองพ้นผิด
…จะเป็นคนที่มีความขลาด กลัวการถูกจับผิด ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริง ยินดีโกหก หรือทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพื่อเอาตัวรอด

นิสัยชอบโยนความผิดอาจไม่ได้สร้างความเดือดร้อนหรือปัญหา หากเราอยู่คนเดียวในโลกใบนี้ ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับผู้ใดเลย แต่ตราบใดที่เรายังต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ในสังคม เราจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบ ต่อผู้อื่นและสังคมส่วนร่วมด้วย

ลักษณะนิสัยแห่งความรับผิดชอบจึงเป็นอีกลักษณะหนึ่งที่พ่อแม่ต้องเป็นผู้ปลูกฝังให้เกิดขึ้นในชีวิตของลูก ไม่สามารถปล่อยให้เด็กพัฒนาความเห็นแก่ตัวอย่างเป็นธรรมชาติได้ หากพ่อแม่ปรารถนาสร้างลูกให้เป็น "คนดี"

ในหนังสือ "ลักษณะชีวิตสู่ความสำเร็จ 2" เรื่อง "ความรับผิดชอบ ก่อรากฐานความสำเร็จ" ผมได้ให้ความหมายของคนที่มีความรับผิดชอบว่า "คนที่มีความรับผิดชอบนั้นคือ คนที่ยอมรับว่าตนเอง เป็นผู้ทำสิ่งนั้นและเต็มใจรับผลที่เกิดขึ้น"

การพัฒนาให้เด็กกล้าที่จะยอมรับความผิดเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะช่วยเด็กเรียนรู้ในความผิดพลาดของตน อันนำไปสู่การเรียนรู้และการแก้ไขตนเองให้ดีขึ้น ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทุกครั้งจะช่วยให้เด็กได้เห็นข้อบกพร่อง ข้อผิดพลาดที่เขาอาจคิดไม่ถึงหรือไม่ได้ตระหนัก

นอกจากนี้ หากเราสอนลูกให้รู้จักกล้ารับผิดชอบ ลูกของเราก็จะได้รับการพัฒนาลักษณะชีวิต ที่สำคัญประการหนึ่งที่จะผลักให้เขาก้าวสู่การเป็นผู้นำได้ นั่นคือการเป็นคนที่กล้าหาญ กล้ายอมรับความจริง สามารถพิจารณาและตัดสินสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีเหตุมีผล

ที่สำคัญที่สุดคือ ลูกของเราจะไม่มีนิสัยเอาเปรียบผู้อื่นหรือทิ้งเพื่อนเพื่อเอาตัวรอด แต่จะยินดีออกรับแทนแม้ว่าตัวเขาเองจะไม่ได้ทำความผิดทั้งหมดคนเดียวก็ตาม แทนที่จะโยนความผิดให้ผู้อื่น ซึ่งจะช่วยให้ลูกของเรามีเพื่อนแท้ มีเพื่อนร่วมงานที่จริงใจ และเป็นที่รักของคนจำนวนมากได้ง่าย

หากเราลากเส้นทะแยงมุมขึ้นมาเส้นหนึ่ง มุมล่างด้านซ้ายจะเป็นมุมของนิสัยชอบโยนความผิด ส่วนมุมขวาด้านบนจะเป็นมุมของนิสัยกล้ารับผิดชอบ เส้นนี้แสดงให้เห็นว่า หากเราต้องการพัฒนานิสัยลูก ให้เป็นคนกล้ารับผิดชอบ พ่อแม่จำต้อง "ออกแรง" ฝึกฝนลักษณะนิสัยเหมือนกับการลากของจากที่ต่ำขึ้นสู่ที่สูงย่อม ต้องใช้พลังงานมากกว่าการปล่อยของจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ

สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องออกแรงดึงในการเพาะนิสัยกล้ารับผิดชอบให้แก่ลูก อาทิ

เป็นต้นแบบที่ดีในความกล้ารับผิดชอบ

เด็กๆ อยู่ในวัยช่างสังเกต ช่างจดช่างจำ และช่างเลียนแบบ เมื่อพวกเขาอยู่ใกล้ชิดกับใครคนนั้น ก็จะเป็นเหมือน "ต้นแบบ" ที่เด็กจะซึมซับบุคลิกท่าทาง ลักษณะนิสัย ค่านิยม และการแสดงออกมาด้วยไม่มากก็น้อย ทั้งนี้ต้นแบบสำคัญในครอบครัวที่พ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน เห็นจะเป็นใครไปเสียไม่ได้นอกจากพ่อและแม่ ดังสำนวนที่ว่าลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น

พ่อแม่ต้องกล้าแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องต่างๆ ให้ลูกเห็น ไม่โยนความผิดกันไปมาหรือโทษคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่ความผิดดังกล่าวตนเองควรมีส่วนรับผิดชอบด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแสดงออกกับลูก พ่อต้องระมัดระวังไม่ใช้อำนาจในฐานะ "คุณพ่อรู้ดี" ทำสิ่งใดก็ถูกไปหมด ส่วนลูกทำสิ่งใดก็ผิดไปหมด แต่ต้องตัดสินสิ่งต่างๆ อย่างยุติธรรม

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้อาจสะท้อนตัวอย่างนี้ได้เป็นอย่างดี

ในบ้านหลังหนึ่ง ลูกได้วางของไว้กลางบ้านโดยไม่เก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย เมื่อพ่อเดินมามองไม่เห็น จึงเดินมาชนทำให้ของชิ้นนั้นแตกเสียหาย พ่อจึงต่อว่าลูกด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า "ทำไมมาวางไว้ตรงทางเดินนี้นะ เกะกะขวางทาง ทีหลังวางไว้ให้เป็นที่เป็นทางนะ" รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งปรากฏว่า พ่อได้วางของบางอย่างไว้ ในที่ใกล้เคียงกันโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อลูกวิ่งเล่นก็สะดุดของสิ่งนั้นล้มลง แทนที่พ่อจะขอโทษลูก เพราะพ่อเป็นคนผิดเอง พ่อกลับต่อว่าลูกว่า "ทำไมเดินซุ่มซ่ามไม่ระมัดระวังอย่างนี้นะ คราวหน้าคราวหลังมองดูทางก่อนนะว่ามีอะไรวางอยู่บนพื้นบ้าง"

ตัวอย่างข้างต้น นอกจากเด็กจะไม่เรียนรู้การแสดงความรับผิดชอบจากพ่อแล้ว ยังสับสนงุนงงว่าแท้จริงแล้วอะไรคือมาตรฐานชี้ถูกชี้ผิด เด็กๆ จะซึมซับเอาเป็นแบบอย่าง โดยไม่รู้ตัวเป็นการปลูกฝังลักษณะนิสัยให้เด็กกลายเป็นคนที่ชอบชี้ความผิดของผู้อื่น ชอบตำหนิติเตียนการกระทำของผู้อื่น และที่รายที่สุดก็คือ เด็กจะเป็นคนที่ไม่ยอมรับความผิด ในการกระทำของตนเองอีกต่อไป กลายเป็นเด็กที่เห็นแก่ตัว พยายามเอาตัวเองรอดโดยไม่ใส่ใจเหตุผลที่แท้จริง และไม่คำนึงว่าผู้ที่ถูกเรากล่าวหามีความผิดจริงหรือไม่ อันจะนำไปสู่การโต้แย้ง การทะเลาะเบาะแว้ง และกลายเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยไม่น่าคบในที่สุด

สอนลูกให้กล้ายอมรับความผิด

เด็กๆ มักจะกลัวที่ต้องรับผิดชอบต่อความผิดที่ตนเองเป็นผู้กระทำ เด็กอาจจะกลัวถูกตำหนิ ถูกลงโทษ ทำให้เด็กหลบเลี่ยงด้วยการปกปิดความผิด หาข้อแก้ตัว หรือโยนความผิดให้แก่ผู้อื่น ดังนั้นพ่อแม่จึงต้องไม่พยายามทำตัวเป็นเหมือน "ตำรวจ" จับ "ผู้ร้าย" ในการค้นหาความผิดของลูก เพราะจะทำให้เด็กยิ่งเกิดกลัวไม่กล้ายอมรับความจริงและพยายามปกปิดการกระทำหรือโยนความผิดไปให้กับสิ่งอื่น เท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งย่อมไม่เป็นผลดีในการสร้างลูกให้เป็นคนกล้ารับผิดชอบต่อการกระทำของตน สิ่งที่พ่อแม่สามารถทำได้ ได้แก่

เรียกลูกมาคุยสองต่อสองและให้โอกาสชี้แจงเหตุผล พ่อแม่ต้องไม่เห็นว่าการกระทำผิดของลูก เป็นเรื่องร้ายแรงแก้ไขไม่ได้ หรือต้องแก้ไขด้วยความรุนแรง ที่สำคัญอย่างยิ่งพ่อแม่ต้องไม่โวยวาย ด่าทอต่อว่าลูกเสียงดัง หรือลงโทษลูกต่อหน้าคนอื่น เพราะการกระทำเช่นนี้นอกจากจะสร้างบาดแผล ให้เกิดขึ้นในจิตใจของเด็กแล้ว ยังผลักดันให้เด็กกลายเป็นคนปกปิดการกระทำความผิดมากยิ่งขึ้น จนเป็นนิสัยติดตัวไปในอนาคต

พ่อแม่ควรแสดงความรัก ความเข้าใจ และให้ความรักนับถือในตัวลูกเสมอ เมื่อเห็นลูกกระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็นความผิดเล็กๆ น้อยๆ หรือความผิดใหญ่ๆ เช่น ขโมยของ แกล้งน้อง ทำจานโบราณที่คุณพ่ออุตส่าห์เก็บไว้แตก ไม่รับผิดชอบในหน้าที่ที่คุณแม่มอบหมายให้ ทะเลาะกับพี่น้อง ฯลฯ พ่อแม่จะต้องไม่เอะอะโวยวายกับลูก แต่ควรจะเรียกเข้ามาคุยกันสองต่อสอง สอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เขาคิดว่าเขาทำผิดตรงไหน และอย่าถามลูกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นลูกคิดว่าใครผิด เพราะเด็กพร้อมที่จะโยนความผิดไปให้ผู้อื่น แต่ควรถามว่าลูกคิดว่าในเหตุการณ์นี้ลูกลูกคิด ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง เด็กก็จะพยายามคิดและใช้เหตุผลถูกผิดได้มากขึ้น

ให้ลูกรับผิดแม้เป็นเพียง 5% ของความผิดทั้งหมด พ่อแม่ต้องไม่คล้อยตามเมื่อเด็กพยายาม โยนความผิดออกจากตัว แค่ควรหาวิธีโยงเรื่องเพื่อชี้ให้เห็นว่าตัวเขามีส่วนที่ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องดังกล่าวตรงไหน แม้จะไม่ทั้งหมด และสอนให้เขารับผิดชอบในส่วนที่เขากระทำ ไม่ใช่โยนความผิดทั้งหมดออกจากตัวเองไปให้ผู้อื่น ต้องสอนลูกให้กล้าที่จะรับผิดชอบในส่วนที่ตนเองกระทำ แม้เพียงเล็กน้อย 5-10% ของความผิดทั้งหมด

เปิดโอกาสให้ลูกแก้ไขตนเอง เมื่อลูกสารภาพความผิด เราไม่ควรลงโทษลูกแต่ควรถามเขาว่า เขาจะแก้ไขอย่างไรในสิ่งที่เขาได้ทำไปและในอนาคตเขาจะต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นอีก เพื่อให้เด็กพยายามใช้เหตุผลหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง และหากกระทำเช่นนั้นอีกเขาคิดว่า ควรจะถูกลงโทษอย่างไร เมื่อเด็กพูดออกมาอย่างมีเหตุผล เราก็ไม่จำเป็นต้องลงโทษ เพียงแต่ให้เด็กรับปากตามคำสัญญาที่เขากล่าวออกมา เด็กก็จะมีความมั่นใจและความกล้าที่จะรับผิดชอบ ในสิ่งที่ตนเองกระทำมากขึ้น เพราะเขารู้ว่าพ่อแม่ยอมรับพฤติกรรมของเขาได้ เมื่อเขาพูดความจริงจะไม่ถูกลงโทษ

หากลูกเป็นเด็กปากแข็ง หรือไม่ยอมรับความผิด เราไม่ควรลงโทษลูกหรือตีเขาจนกว่าเขาจะรับผิดชอบ แต่ควรพยายามใช้เหตุผลโน้มน้าวและหลักฐานต่างๆ จนกระทั่งเขาต้องยอมจำนนต่อหลักฐาน และยอมรับว่าผิดจริง จากนั้นถึงถามเหตุผลว่าเหตุใดเขาจึงไม่พูดความจริง ซึ่งเขาอาจจะบอกว่ากลัวถูกลงโทษ เราค่อยอธิบายเหตุผลและใช้ความรักเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ลูกกล้าที่จะพูดความจริงต่อเราได้

การออกแรงของพ่อแม่ในการดึงลูกให้เป็นคนที่กล้ารับผิดชอบ จะเป็นการลงแรงสร้างนิสัยลูกที่คุ้มค่ามากที่สุด เพราะหากลูกของเราเป็นคนกล้ายอมรับความจริง เขาก็จะเป็นคนที่ไว้วางใจได้ เป็นคนที่น่าเชื่อถือเป็นคนที่มีเหตุผล เมื่อเขาอยู่ที่โรงเรียนเขาจะเป็นที่รักของเพื่อน เป็นคนที่ครูไว้ใจมอบหมายให้ทำสิ่งต่างๆ และเมื่อเติบโตขึ้นมีหน้าที่การงานทำเขาก็จะได้รับการยอมรับ จากเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างานและจะเป็นคนหนึ่ง ที่ได้รับมอบหมายภาระหน้าที่สำคัญๆ ซึ่งมีผลต่อคนในสังคมได้ในที่สุด

kriengsak@bangkokcity.com,http://www.ifd.or.th

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์

(update วันที่ 13 กันยายน 2543)


[ ที่มา... นิตยสารแม่และเด็ก   ปีที่ 23 ฉบับ 342 สิงหาคม 2543 ]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600