ดูแลลูกมาก็หลายปี เมื่อไร่เจ้าตัวดีจะจัดการกับตัวเองได้ เฮ้อ
ปัญหานี้เหมือนเล็กนะคะ แต่มันบ่งบอกว่า อนาคตลูกจะอยู่ได้สบายดีโดยไม่รบกวนคนอื่นรึเปล่า
งั้นจะฝึกลูกให้ดูตัวเองได้ยังไง แม่ส้ม-เจ้าของโรงเรียนสมุดไท และพ่วงตำแหน่งคุณแม่โฮมสคูล
ที่จัดการศึกษาให้ลูกเอง มีบางความคิดมาเสนอกันค่ะ
เรียนคุณแม่ส้มค่ะ
คุณแม่ส้มมีวิธีที่จะทำให้ลูกอายุ 6 ขวบ กับ 8 ขวบ เป็นไปตามตารางไหมค่ะ เช่น
- ตื่นนอนเช้าเอง
- เก็บที่นอนได้เอง
- อาบน้ำแปรงฟันได้เองโดยไม่ต้องบอกย้ำซ้ำซาก
- รีบแต่งตัวไปโรงเรียนให้ทันเวลาโดยแม่ไม่ต้องลุ้นระหว่างที่เขานั่งผูกเชือกรองเท้าผ้าใบ
แล้วค่อยๆ เดินไปคุ้ยเสื้อพละที่ไม่ได้เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
- กลับจากโรงเรียน ไปเล่นนอกบ้าน ก็ไม่ต้องให้คอยเรียกว่ากลับได้แล้ว มืดแล้ว การบ้านน่ะ เสร็จรึยัง
แหม
เป็นได้อย่างนี้ก็สวยหรูแน่ นี่ยังไม่พูดถึงให้ช่วยงานบ้านนะคะ
อันนั้นเป็นสเต๊ปต่อไปที่อาจเขียนมาถามค่ะ หากจัดการเรื่องแรกได้แล้ว
ตอบด้วย ด่วนก็ดีค่ะ
แม่ชมพู่
|
สวัสดีคุณแม่ชมพู่ค่ะ
|
คุณแม่ชมพู่ถามคำถามมาสั้นนิดเดียว แต่เป็นเรื่องที่ต้องเริ่มตอบกัน
ตั้งแต่ลูกเป็นทารกทีเดียว เพราะสิ่งที่แม่ชมพู่ถามมานั้น คือ "วินัย" ค่ะ
คนเป็นพ่อเป็นแม่ทุกคนมีสุดยอดปรารถนาเหมือนกันหมด ที่อยากจะ
เห็นลูกเป็นเด็กมีวินัยในตนเอง รู้หน้าที่ไม่ต้องให้พวกเราปากเปียก
ปากแฉะ |
 |
วินัยตามธรรมชาติของเด็กเขาก็มีติดตัวมาแล้วนะคะ ลองย้อนไปคิดถึงตอนลูกเป็นทารกสิคะ
ถ้าเขาเคยตื่นตีห้า เขาก็มักจะตื่นตีห้าทุกวัน เป็นเวลาติดต่อกันหลายเดือน พอโตสักสองขวบ
ถ้าเขาเห็นคุณแม่กวาดบ้าน เขาก็จะเอาไม้กวาดมาแกว่งไปแกว่งมา นั่นคือเขากำลังกวาดบ้านค่ะ
เขากำลังเรียนรู้เรื่องการทำงานผ่านการเล่น ซึ่งผู้ใหญ่หลายบ้านมองข้ามและแย่งไม้กวาด
จากมือเด็กไปเก็บ แล้วยื่นรถของเล่นพลาสติกให้เด็กแทน การกระทำในทำนองนี้เป็นการตัดโอกาส
ที่เด็กจะได้เรียนรู้วินัยและการทำงานผ่านการเล่น
และงานบ้านถือเป็นงานที่สร้างจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบพื้นฐาน ในวัฒนธรรมท้องถิ่นของหลายๆ แห่ง
ผู้ใหญ่จะสร้างเครื่องไม้เครื่องมือเล็กๆ ให้เด็กไม้กวาดอันเล็กๆ กระบุงเล็กๆ จอบ เสียมเล็กๆ
เด็กผู้หญิงก็จะใช้ไม้กวาดเล็กๆ กวาดบ้านไปพร้อมแม่ เด็กผู้ชายก็จะแบกจอบเสียมเล็กๆ
ไปขุดดินทำสวนพร้อมพ่อ เด็กจะได้เรียนรู้วินัยของการทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป
อย่างสนุกสนานอบอุ่น
วินัยเช่นนี้มีพื้นฐานมาจาก "ความสุขภายใน" ของเด็กค่ะ
ความสุขภายในหรือสภาวะที่เด็กรู้สึกมีความสุข เป็นบ่อเกิดของวินัยทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นในตัวเขา
ความสุขภายในนั้นเป็นความสุขที่แตกต่างจากความสุขภายนอก เรามักให้ความสำคัญ
กับความสุขภายนอกของลูก หาอาหารให้กินอิ่ม มีเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ มีของเล่น
มีทีวีดู มีเกมเล่น
แต่ความสุขภายในนั้นบางครั้งเราก็ละเลยไปบ่อยๆ ค่ะ และบ่อยครั้งที่การหยิบยื่นความสุขภายนอก
ให้ลูกกลายเป็นการทำลายความสุขภายในของลูกไป ยกตัวอย่างเช่น คุณแม่บางคนพยายามบังคับให้ลูก
กินอาหารให้มากๆ แต่เขาไม่อยากกิน ร่างกายเขายังไม่อยากรับ เขาก็อมข้าว ไม่ยอมเคี้ยว บ้วนทิ้ง
ยิ่งทำให้แม่ดุ แม่บ่น แม่หงุดหงิด แม่ก็เครียด ลูกก็เครียด ทุกมื้ออาหารแทนที่จะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข
ก็จะกลายเป็นชั่วโมงที่เด็กรู้สึกสูญเสียความนับถือตัวเองไป
นอกจากความรักที่ผู้ใหญ่มีให้เด็กแล้ว การนับถือเด็กก็เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยที่เราต้องมีให้ลูก
ถ้าเราไม่นับถือเขา ไม่เชื่อมั่นตัวเขา ว่าเขาเป็นมัม็ม็มนุษย์ที่มีศักยภาพในการพัฒนาสูงสุดทั้งทางด้านร่างกาย
อารมณ์ จิตใจ ด้านสติปัญญา และด้างสังคม เราก็จะคอยย้ำพูดซ้ำๆ สิ่งซ้ำ บอกซ้ำๆ เช่น
เมื่อถึงมื้ออาหารถ้าเรานับถือลูก เราก็จะยอมรับว่าถ้าเขาไม่หิวเขาก็มีสิทธิ์ที่จะไม่กิน
เราต้องเชื่อมั่นว่าธรรมชาติชของลูกฉลาดพอที่จะไม่ทำให้ตัวเองหิวหรืออดตาย ถ้าเขาไม่หิวเราก็เก็บ
บ้านควรมีกฎเกณฑ์ร่วมกันที่เด็กต้องยอมรับด้วย เมื่อเรายอมรับว่าลูกไม่หิว แม่จะไม่พร่ำยัดเยียดให้กิน
เราจะเก็บอาหาร และจะไม่มีการทานขนมหรือนมในระหว่างมื้อ ต้องรอจนกว่าจะถึงมื้อต่อไป
การยอมรับกฎเกณฑ์เช่นนี้ เราต้องพูดให้ลูกเข้าใจ และยอมรับ แม้ว่าลูกจะหิวก่อนถึงมื้อต่อไป
เขาจะขอนมหรือขนม เราก็ต้องไม่ใจอ่อน
การยอมรับและนับถือความเป็นบุคคลของลูก จะทำให้ลูกเรียนรู้ที่จะนับถือยอมรับ
และเคารพกฎกติกาของพ่อแม่ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม กฎเกณฑ์ในบ้านก็ควรจะมีความยืดหยุ่นด้วย
ซึ่งจะทำให้เด็กรู้สึกสบายๆ และไม่เครียด เช่น คุณแม่ต้องการให้ลูกรับผิดชอบตัวเอง
เรื่องกลับจากโรงเรียนเมื่อไปเล่นนอกบ้าน ทำอย่างไรให้เขารู้เวลาว่าเมื่อไหร่ควรกลับบ้านแล้วนะ
ควรอาบน้ำ ทำการบ้าน
คุณแม่ก็ต้องตั้งกติการ่วมกับลูกค่ะ กลับถึงบ้านกี่โมง เขาอยากจะเล่นถึงกี่โมง แล้วเขาจะกลับเข้าบ้านกี่โมง
อาบน้ำและทำการบ้านให้เสร็จเรียบร้อยภายในไม่เกินกี่โมง เราต้องถามเขา ให้เขาเป็นคนจัดวางลง
การให้เขาเป็นคนวางแผนคือการนับถือลูก ยอมรับลูก เมื่อเขาได้รับการนับถือจากเรา
เขาจะเรียนรู้ที่จะนับถือตัวเอง วิธีการนี้ตรงข้ามกับการสั่ง ดุว่า หรือบ่นซ้ำซาก ซึ่งเด็กก็เบื่อ
ยิ่งถูกบ่นมากหรือถูกทำโทษเด็กก็จะสูญเสียความนับถือตัวเอง และอาจสูญเสียความนับถือพ่อแม่
ที่สุดจนถึงอาจจะสูญเสียความนับถือกฎเกณฑ์ไปได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม เด็กก็ยังเป็นเด็กนะคะ เขาอาจจะเล่นเพลินเลยเวลาไปนิดหน่อย เราก็ต้องยืดหยุ่นบ้างค่ะ
แต่ก็อาจจะมีเงื่อนไขเล็กน้อย เช่น ถ้าเขาผิดเวลาเขาก็จะอดดูทีวีอะไรอย่างนี้ และการกำหนดเวลา
ก็ควรกำหนดเป็นช่วงกว้างๆ ไม่ใช่กำหนดเป็นนาฬิกา
เช่นอาจจะกำหนดว่า ลูกควรจะอาบน้ำและทำการบ้านให้เสร็จก่อนสองทุ่ม คำว่าก่อนสองทุ่มคือเวลากว้างๆ
เราไม่ได้ระบุเขาว่าเขาจะต้องอาบน้ำตอน หนึ่งทุ่ม และทำการบ้านตอนทุ่มสิบห้า แต่เราเผื่อให้ว่า
เขาจะจัดการอย่างไรก็ได้ จะอาบน้ำก่อน หรือจะทำการบ้านก่อน จะบริหารเวลาของเขายังไงก็ได้
แต่ต้องแล้วเสร็จก่อนสองทุ่ม
ถ้าถึงสองทุ่มแล้ว ยังไม่เสร็จ ก็ต้องดูรายละเอียดและตัวแปรอื่นๆ ค่ะ ว่าเขาบริหารเวลาไม่ดีเพราะอะไร
เราจะช่วยเขาได้ยังไงบ้าง เช่น การบ้านเยอะมาก หรือเขาทำการบ้านไม่ได้ หรือเขาไม่สบาย ก็ต้องช่วยเขาค่ะ
แต่ถ้าเขาบริหารเวลาไม่ดีเพราะขาดวินัย ขาดความรับผิดชอบ อย่างนี้ก็ต้องเป็นไปตามกฎระเบียบ
ที่เราควรพูดกับลูกแต่ต้น
สองทุ่มแล้วยังไม่ได้อาบน้ำ ก็ไม่ต้องอาบ เรียนรู้การอยู่อย่างเหม็นๆ คันๆ ว่าจะเป็นอย่างไร
จะนอนอย่างมีความสุขได้หรือไม่ สองทุ่มแล้วยังทำการบ้านไม่เสร็จ เพราะมัวแต่เล่น ก็ไม่ต้องทำเพราะหมดเวลาแล้ว
ถึงเวลานอนก็ต้องนอน เขาต้องเรียนรู้ที่จะถูกคุณครูลงโทษในเช้าวันต่อไปค่ะ
การลงโทษแบบนี้พ่อแม่ต้องใจแข็งค่ะ ไม่ใช่ช่วยเขาทำแต่ปากก็บ่นไป อย่างนี้เด็กไม่ได้เรียนรู้
ที่จะรับผิดชอบตัวเองอย่างแท้จริงค่ะ
สรุปว่า การฝึกวินัยให้ลูก พ่อแม่ต้องนับถือตัวลูกก่อน เพื่อให้เขานับถือตัวเอง เมื่อเขานับถือตัวเอง
เขาก็สามารถมีวินัยในตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคำสั่งและคำบ่นจ้ำจี้จ้ำไช คอยบอกซ้ำซากจากแม่
และถ้าหากยังต้องคอยบอกซ้ำๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็ขอให้คุณแม่บอกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล เดินเข้าไปหาลูก
โอบลูก มองหน้าลูก มองตาลูก ให้เขารู้ว่าเรากำลังตกลงกันด้วยความรัก
ดิฉันเชื่อมั่นว่า เด็กทุกคนจะเข้าใจค่ะ
ครูส้ม
คุณแม่โฮมสคูล เจ้าของโรงเรียนสมุดไท
|
|