มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



ดุด่าลูกรุนแรง กระเทือนสมองไหม




การที่พ่อแม่มักดุด่าตำหนิลูกอายุ 11 ขวบอย่างรุนแรง จะส่งผล กระทบต่อระบบสมองของเด็ก หรือไม่พ่อแม่ควรปรับตัวปรับใจ อย่างไรครับ

วุฒิชัย




ตอบกันตรงๆ ง่ายๆ ก็ต้องบอกว่า กระทบแน่นอนทั้งระบบสมองและ จิตใจ

สมองของมนุษย์พัฒนาต่อ เนื่องตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยรุ่นโดย ประมาณฉะนั้นช่วงอายุ 11 ขวบสมอง

และเส้นใย ประสาทยังมีการพัฒนา หากมีปัจจัยภายนอกเข้ากระทบก็จะส่งผลทั้งทางบวกและทางลบ

ถ้าเด็กๆ ได้เล่นสนุกสนาน ได้ทำกิจกรรมต่างๆ ที่เขาสนใจหรือต้องการ เขาจะมีความสุข เซลล์สมองและใยประสาทของเขาก็จะเจริญงอกงามตามไปด้วย
ในทางตรงกันข้าม ถ้าเด็กๆ ต้องทนทุกข์ทรมานกับการถูกเคี่ยวเข็ญให้ทำกิจกรรม ที่ยากเกินความสามารถของเขา เขาจะเครียดซึ่งในยามที่เขาเครียด เซลล์สมองและใยประสาทก็จะชะงัก ไม่เจริญงอกงาม ส่งผลต่อปัญญา ความเฉลียวฉลาดในที่สุด
การดุด่า ตำหนิลูกอย่างรุนแรง เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เด็กเครียด ผลสุดท้ายก็จะเป็นดังที่กล่าวมา
อีกอย่างที่อยากชี้ให้เห็นคือ อารมณ์มีส่วนสัมพันธ์กับสติปัญญา
ความเครียด เป็นอารมณ์ความรู้สึกชนิดหนึ่ง พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่แล้งคงได้เคยลิ้มรส ธรรมชาติของอารมณ์เครียดกันมาบ้างว่ามันได้ส่งผลต่อสติปัญญาและบุคลิกภาพของเรามากเพียงใด ไม่ต้องอธิบายกันอีก
เพราะฉะนั้น เราน่าจะพิจารณาประเด็นนี้ให้ดีๆ
ได้มีการศึกษาพบว่า เด็กๆ ที่ถูกดุด่าตำหนิติดเตียนรุนแรงอยู่เสมอนั้น นอกจากจะเครียดแล้ว เขาจะยังมีความรู้สึกอับอายเก็บกด และสูญเสียความเชื่อมั่น ความภาคภูมิใจในตนเองไปทีละเล็กละน้อย บุคลิกภาพและระบบการคิดของเขาจะเสียไป ซึ่งหากมันฝังแน่นอยู่ในจิตใจแล้ว ก็ยากจะแก้ไขได้
ใครเลยจะรู้ได้ว่า ในขณะที่เด็กๆ กำลังถูกดุด่าติเตียนอย่างรุนแรงไม่ว่าจะในที่ส่วนตัว หรือต่อหน้าสาธารณชนนั้น เขากำลังคิดอะไรอยู่อีก นอกจากความรู้สึกอับอาย เขาจะเสียใจ โกรธแค้น หรือเกลียดชังและรอเวลา รอโอกาสที่จะแก้แค้นหรือระบายออกกับคนอื่นบ้างก็เป็นได้
เป็นเรื่องที่น่าห่วงและควรปรับปรุงแก้ไขครับ
ความจริงการเลี้ยงลูกนั้น ประการหนึ่งที่พึงปฏิบัติคือ อดทน ครับ ต้องอดทนอดกลั้นให้มาก
การที่เราใช้เกณฑ์ของเราไปตัดสินลูกซึ่งยังเล็กอยู่ อายุต่ำกว่าเรานับ 20 ปี ไม่ยุติธรรมครับ
เราคาดหวังเอากับเขามากเกินไปใช่ไหม พอไม่ได้ดังใจก็โกรธ แล้วก็ใช้พลังอำนาจที่เหนือกว่ากระทำต่อเขา
คิดดูสิ ตอนเราอายุเท่าเขา เราทำอะไรได้แค่ไหน ก็คงจะไม่ต่างกันนักนะครับ
นี่ว่ากันเฉพาะอายุนะ ความจริงเราต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลอีก
ใช่ ลูกของเรา เกิดจากเรา แต่เขาก็ไม่ใช่เรา ไม่เหมือนเราไปเสียทั้งหมด
เราอาจสอนให้เขาคิด ให้เขาทำอะไร แต่เราจะไปกะเกณฑ์ให้เขาคิดหรือทำอะไรเหมือนเราก็ไม่ได้
ถ้าตระหนักได้อย่างนี้ เราก็จะยอมรับเขาได้มากขึ้น ไม่คาดหวังเขามากเกินไป ผลที่ตามมาก็คือ เราจะผ่อนคลายลง ไม่เครียด และลดการลงโทษ การตำหนิติเตียนเขาไปได้มาก
สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นพฤติกรรมการอบรมเลี้ยงดูลูกของพวกเรานั้น คือการทำอะไรๆ ตามความเคยชินครับ
เช่น เคยเห็นคนอื่นเขาเลี้ยงลูกอย่างไรหรือตนเองถูกเลี้ยงมาอย่างไร เราก็ใช้วิธีการนั้นๆ บ้าง
คุณว่าจริงไหมล่ะ
ถ้าไม่จริงก็แล้วไป แต่ถ้าจริงก็ต้องคิดกำจัดความเคยชินทิ้งไปเสียบ้าง
ลองลดการดุด่า แล้วหาเวลาคุยกัน สร้างข้อตกลงในการปฏิบัติกันใหม่ดีกว่า
เรื่องการสื่อสารก็สำคัญมาก ไม่รู้เป็นอย่างไร พวกผู้ใหญ่นี่ก็แปลก เห็นเด็กๆ ทำดีมักไม่ค่อยชมเชยให้กำลังใจ มักจะมองดูเฉยๆ กันเสียมก แต่พอเด็กผิดพลาดแม้นิดเดียว เรา (บางคน) จะแผดสีหนาทกราดเกรี้ยวใส่เด็กด้วย
ลองเพิ่มภาษาดอกไม้ให้มากๆ ขึ้น ให้เวลาและโอกาสแก่ลูกรักบ้าง ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น

วันนี้ผมเป็นผู้แทนเด็กนะครับ
อยากบอว่า นอกจากจะต้องใจเย็น อดทน อดกลั้น ให้เวลาและโอกาสแก่ลูกรักแล้ว ควรเอาหลักธรรมมะมากำกับใจอยู่เสมอคือ การมีสติ ครับ สติ แปลว่า ตระหนักหรือระลึกได้ จงมีสติเป็นเครื่องกำกับใจ ถ้าเรามีสติก็จะไม่ลืมตัว เวลาโกรธขึ้นมาก็รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่ทำอะไรตามอารมณ์ การดุด่า ก็จะลดลงไปเอง
เพียงเท่านี้ เราก็จะมีปัญญาสว่าง กระจ่างชัด ในการหาวิธีจัดการกับปัญหาพฤติกรรมของลูกๆ ได้ดีกว่าเคยทำมา

สำเร็จ จันทร์โอกุล
ผอ.โรงเรียนอนุบาลวัดปรินายก



[ที่มา.. life & family   ปีที่ 3 ฉบับที่ 36 มีนาคม 2542 ]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600