มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



แอสไพรินกับโรคหัวใจ


คอลัมน์นี้เป็นเรื่องอาหารแท้ๆ ไหงมาเขียนเรื่องยาได้ อย่าเพิ่งแปลกใจครับ เขียนเพราะมีคนถาม เรื่องแอสไพรินอยู่บ่อยๆ ถามว่า แอสไพรินที่เขาว่าช่วยป้องกันโรคหัวใจได้นั้น เป็นความจริงหรือเปล่า และมันทำงานได้อย่างไร

แอสไพรินเป็นยาลดไข้ แก้ปวด รักษาอาการอักเสบ ที่ใช้กันแพร่หลายมากที่สุดตัวหนึ่งในโลก ใครที่เกิดอาการปวด ไม่ว่าปวดศีรษะ ปวดหลัง ปวดข้อ ปวดเข่า หากเป็นอาการปวดธรรมดา ไม่มากไม่มายนัก ลองใช้แอสไพริน มักบรรเทาอาการได้ทั้งนั้น แต่หากเกิดอาการปวดอวัยวะภายใน ที่มีอาการปวดรุนแรง การใช้แอสไพรินมักไม่ใคร่ได้ผล ลองใช้ยาประเภทอื่น ภายใต้การดูแลของแพทย์น่าจะดีกว่า

แอสไพรินเป็นสารเคมีตัวหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า "กรดอะเซติลซาลิซัยเลต" เป็นยาลดอาการอักเสบกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ทางการแพทย์เขาเรียกว่ากลุ่ม nonstroidal anti-inflammatory drug หรือ NSAID

คนที่ค้นพบยาแอสไพรินเป็นชาวเยอรมัน ค้นพบมานานมาก จะปีไหนก็จำไม่ได้แล้ว แต่คนที่พบการออกฤทธิ์ของแอสไพรินว่าเกี่ยวข้องกับการยับยั้งการสร้างสารพรอสตาแกลนดินบางกลุ่มในร่างกาย เป็นกลุ่มนักวิทยาศาสตร์สองกลุ่มในช่วงคริสตทศวรรษที่ 60 ต่อกับ 70

พรอสตาแกลนดินเป็นสารคล้ายฮอร์โมน ถูกสร้างขึ้นมาจากกรดไขมันกลุ่มไม่อิ่มตัวสูงชนิดโอเมก้า 6 ที่อยู่บนผนังของเกล็ดเลือด เรียกว่ากลุ่มอนุกรมอี 2 ร่างกายจะสร้างพรอสตาแกลนดินกลุ่มนี้ขึ้นมา เมื่อเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยอาการอักเสบ

พรอสตาแกลนดินอนุกรมอี 2 ที่ว่านี้ ทำให้ร่างกายเกิดอาการอักเสบรวมทั้งทำให้เกล็ดเลือดรวมตัวกัน กลายเป็นลิ่มเลือดง่ายขึ้นทำไมจู่ๆ ร่างกายจึงต้องเกิดอาการอักเสบเรื่องนี้เป็นกลไกในการป้องกันตนเอง ของร่างกายครับ

อาการอักเสบถึงแม้ว่าเราจะไม่ชอบ แต่มันช่วยป้องกันอวัยวะส่วนนั้นไว้ เพราะเมื่อเกิดอาการอักเสบแล้ว จะทำให้เราลดการใช้งานอวัยวะบริเวณนั้น ทำให้อวัยวะได้พักและค่อยๆ พักฟื้นจากอาการอักเสบได้ แต่คนเราชอบอาการอักเสบที่ไหนกันเล่า

นักวิจัยชาวอังกฤษ พบว่าแอสไพรินจะช่วยลดอาการอักเสบโดยที่มันไปยับยั้ง การสร้างสารพรอสตาแกลนดินและด้วยกลไกอย่างนี้นี่เองที่แอสไพรินไปช่วยลดการเกิดลิ่มเลือด ภายในเลือดด้วยทำให้ไม่เกิดลิ่มเลือดได้ง่ายๆ ประโยชน์ของแอสไพรินในเรื่องยับยั้งลิ่มเลือดนี่แหละ ที่ทำให้มันกลายเป็นยาป้องกันโรคหัวใจได้

รู้ๆ กันอยู่แล้วว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเกิดจากปัญหาหลอดเลือดที่นำอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงหัวใจหลอดเลือดแดงบริเวณหัวใจตีบตันได้ง่ายเมื่อมีการสะสมไขมันไว้มากๆ หลอดเลือดตีบทำให้เลือดผ่านไปได้ยากลำบากขึ้น หากการตีบตันเกิดมากขึ้น คนๆ นั้นอาจจะรู้สึกตัวเองได้ จากอาการเจ็บหน้าอก หรือเหน็ดเหนื่อยง่ายกว่าปกติ

หลอดเลือดตีบ ยังไม่ทำให้เกิดโรคหัวใจวายเฉียบพลันหรืออาการกล้ามเนื้อหัวใจตายหรอกครับ เป็นแค่เลือดไปเลี้ยงได้หัวใจบริเวณนั้นได้ยากขึ้น อาการหัวใจวายเฉียบพลันจะเกิดขึ้นในทันที หากเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดและลิ่มเลือดที่ว่านี้ ไหลเวียนไปอุดบริเวณที่ตีบตันนี้พอดี ซึ่งโอกาสจะมีมากขึ้นหากการตีบตันเกิดขึ้นมากขณะเดียวกับมีปัจจัยที่ทำให้เกิดลิ่มเลือดได้ง่ายขึ้น

ลิ่มเลือดในหลอดเลือด มีโอกาสเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ในร่างกาย แต่ไม่ใคร่สร้างปัญหา มันไหลเวียนไปในเลือดได้สักพักก็ถูกทำลายไปได้เอง ปัญหาจะเกิดขึ้นหากมันไหลเวียนเข้าไป ในบริเวณที่มีปัญหาหลอดเลือดตีบปัญหาอย่างนี้หากเกิดที่บริเวณหลอดเลือดไปเลี้ยงสมอง ก็จะเกิดอาการสมองวายหรือ stroke หากเกิดที่หัวใจก็เกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ที่เรียกกันว่า "หัวใจวาย" นั่นแหละ

ปัจจุบัน นักวิจัยทางการแพทย์ มีข้อมูลค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า แอสไพรินช่วยลดปัญหาการเกิดลิ่มเลือดในเลือด ได้ค่อนข้างชะงัด โดยมันยับยั้งการสร้างพรอสตาแกลนดินที่ไปเร่งการจับตัวของเกล็ดเลือดได้

ปริมาณแอสไพรินที่ใช้ในการยับยั้งการจับตัวของเกล็ดเลือด คือ 325 มิลลิกรัม รายงานจากวารสารทางการแพทย์ British Medical Journal ในปี 1988 พบว่า ผู้ป่วยด้วยอาการหัวใจวายจำนวน 29,000 คน ซึ่งโดยปกติมักจะเกิดอาการซ้ำอยู่บ่อย เมื่อให้ยาแอสไพรินวันละ 325 มิลลิกรัม ผู้ป่วยร้อยละ 30 ไม่มีปัญหาการเกิดหัวใจวายซ้ำอีกเลย

คงเห็นนะครับว่า ยาแอสไพรินช่วยลดอาการเกิดหัวใจวายซ้ำในผู้ป่วย แต่ไม่ได้หมายความว่ามันช่วยได้กับทุกรายจะบอกว่ามันช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดหัวใจวายซ้ำ ก็น่าจะถูกต้องกว่า หากเป็นปัญหาสมองวายอาจต้องให้แอสไพรินสูงถึง 650-1,300 มิลลิกรัม กรณีหลังนี้ต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งนะครับอย่าเสี่ยงชีวิตซื้อแอสไพรินมารับประทานเองเด็ดขาด

ในปี 1988 เช่นเดียวกัน มีรายงานจากวารสารการแพทย์ New England Journal of Medicine กล่าวถึงแพทย์จำนวน 10,000 คนที่ไม่เคยมีประวัติเป็นโรคหัวใจมาก่อนเลย ทดลองรับประทานยาแอสไพรินปริมาณ 325 มิลลิกรัมต่อวันแบบวันเว้นวัน ทำเช่นนี้ไป 5 ปี พบว่า แพทย์เหล่านี้มีอัตราการเกิดหัวใจวายน้อยกว่าแพทย์อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้รับประทานแอสไพรินถึงครึ่งหนึ่ง

เมื่อปี 1995 มีรายงานจาก New England Journal of Medicine กล่าวว่าการรับประทานแอสไพริน 4-6 วันต่อสัปดาห์ ช่วยให้สตรีลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้ด้วย แต่เรื่องนี้คงไม่แนะนำหรอกนะครับ เพราะรายงานเดียวกัน พบว่า หากจะได้ผลจริงๆ ต้องรับประทานแอสไพรินต่อเนื่องกัน 20 ปี ใช้วิธีการรับประทานผักให้มากขึ้น น่าจะสนุกและสะดวกกว่า

คำเตือนคือ ใครก็ตามที่มีปัญหาโรคกระเพาะ เลือดจับตัวกันไม่ค่อยดี เกิดแผลแล้วเลือด หยุดช้า โรคเก๊าท์ โรคตับ หอบหืด อย่าได้เสริมแอสไพรินเลยเพราะอาจเกิดอันตรายได้ ใครที่ไม่มีปัญหาหลอดเลือดตีบ อย่าได้ลองเสริมแอสไพรินเล่นๆ ยาทั้งหลายเหมือนดาบสองคม หากคิดจะลองยา ขอให้ปรึกษาแพทย์ก่อนครับ

ดร.วินัย ดะห์ลัน


[ ที่มา... เนชั่นสุดสัปดาห์   ปีที่ 8 ฉบับที่ 426 วันที่ 31 - 6 สิงหาคม 2543 ]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600