อาการ "ตัวร้อน" ในเด็กพบได้บ่อยๆ จนน่าจะถือเป็นเรื่องปกติ แต่ในยามที่ลูกมีไข้
คุณพ่อ-คุณแม่มักจะไม่สบายใจ กระสับกระส่าย เป็นกังวลไปกับอาการไข้ของลูกด้วย
โดยเฉพาะเมื่อได้ป้อนยาให้ลูกก็แล้ว เช็ดตัวก็แล้ว ลูกก็ยังงอแง ไข้ไม่ลดลงซักที
ซ้ำร้ายคุณลูกบางคนไม่ยอมรับประทานยา เพราะไม่ชอบรสชาติหรือกลิ่นของยา
เพราะไม่ชอบรสชาติหรือกลิ่นของยา ปิดปากแน่น ไม่ยอมกลืน ยิ่งทำให้พ่อแม่กลุ้มใจ
จนแทบจะเป็นไข้ตามลูกไปด้วย แต่ถ้าท่านอ่านตรงนี้ท่านจะพบว่า การจัดการกับอาการตัวร้อนของลูกนั้น
"ไม่ยากเลย"
เริ่มต้นจากการสังเกตอาการของลูกน้อย คือ เด็กจะมีไข้เมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูงกว่าปกติ
โดยถ้าจับตัวดูจะพบว่าตัวร้อนผิดปกติ การวัดอุณหภูมิที่แน่นอนควรใช้ปรอทวัดไข้
โดยทั่วไปร่างกายจะมีอุณหภูมิปกติเมื่อวัดโดยปรอทวัดทางปากเท่ากับ 37.5 องศาเซลเซียส
หรือ 99.5 องศาฟาเรนไฮต์ หรือวัดด้วยปรอททางรักแร้เท่ากับ กับ 37 องศาเซลเซียส
หรือ 98.6 องศาฟาเรนไฮต์ หากอุณหภูมิของร่างกายลูกสูงกว่าตัวเลขที่ระบุไว้
แสดงว่าลูกน้อยของท่านเริ่มมีไข้แล้ว ข้อสังเกตก็คือโดยปกติอุณหภูมิในร่างกายของเรา
จะเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาต่างๆ ของวันคือช่วงบ่ายและค่ำร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงกว่าช่วงเช้า
การเลือกใช้ยาลดไข้สำหรับลูกน้อยควรพิจารณาดังนี้
ตัวยาที่เหมาะสมจะใช้กับเด็กและของระบบประสาท จึงไม่นิยมให้เด็กรับประทานยา
ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
- เลือกความเข้มข้นของยาเป็นเกณฑ์
ในสูตรปกติของยานี้ พาราเซตมอลชนิดหยด จะมีพาราเซตามอลเท่ากับ 100 มิลลิกรัมต่อ 1 ซีซี.
ส่วนยาน้ำเชื่อมทั่วไปจะมีความเข้มข้นของยา 120 มิลลิกรัมต่อยา 1 ช้อนชา หรือ 160 มิลลิกรัมต่อช้อนชา
ส่วนยาเม็ดสำหรับเด็กจะมีตัวยา 325 มิลลิกรัม การเลือกใช้ต้องให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัวเด็ก
ตลอดจนพิจารณาความยาก-ง่าย ในการกลืนของเด็ก ถ้าเด็กรับประทานยายากอาจเลือกใช้ยา
ที่มีความเข้มข้นสูงหน่อย เพื่อที่จะให้ได้ยาขนาดที่ต้องการ โดยไม่ต้องท่านเป็นปริมาณมาก
เป็นสิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมาก ไม่ควรมองข้าม
เนื่องจากมีผลต่อการหายไข้ของลูก และถ้าผิดพลาดอาจทำให้เกิดอันตรายต่อลูกได้ง่ายๆ
กรณีที่ท่านได้รับยามาจากคลินิกหรือโรงพยาบาลมักจะบอกขนาดการใช้ยามาให้แล้ว
แต่ส่วนใหญ่คุณพ่อคุณแม่มักจะไปซื้อยาลดไข้ใช้เอง ถ้าไม่อ่านฉลากยาให้ละเอียด
ก็มักจะให้ยาลูกผิดพลาดได้ หรือบางรายให้ด้วยความเคยชิน ลืมคิดไปว่าลูกโตขึ้น
น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแล้ว ควรได้รับยาขนาดเพิ่มขึ้นกว่าที่ไปพบหมอครั้งก่อน ก็เลยให้ยาลูกน้อยไป
ผลก็คือไข้ไม่ลดซักที
การให้ยาลดไข้เด็กต้องคำนึงถึงหลัก 2 ประการคือ อายุและน้ำหนักตัวของลูก
ขอแนะนำขนาดยาที่เหมาะสม ทำให้ผลการลดไข้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพคือ
คำนวณให้ลูกได้ยา 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่นถ้าลูกหนัก 10 กิโลกรัม
ต้องได้รับยาขนาด 100-150 มิลลกิรัมต่อครั้งเมื่อเทียบกับฉลากยาพาราเซตามอลที่มีขายในท้องตลาด
จะบพว่ามีหลายรูปแบบ ได้แก่
- ยาพาราเซตามอลชนิดน้ำ ขนาด 120 มิลลิกรัม/1 ช้อนชา (5 ซีซี.)
- ยาพาราเซตามอลชนิดน้ำแขวนตะกอน ขนาด 120 มิลลิกรัม/1 ช้อนชา (5 ซีซี.)
- ยาพาราเซตามอลชนิดน้ำ ขนาด 160 มิลลิกรัม/1 ช้อนชา (5 ซีซี.)
- ยาพาราเซตามอลชนิดหยด ขนาด 60 มิลลิกรัม/0.6 ซีซี. (10 มิลลิกรัม/0.1 ซีซี.)
- ยาพาราเซตามอลชนิดหยดขนาด 100 มิลลิกรัม/1 ซีซี.
จากกรณีตัวอย่างจะเห็นได้ว่าท่านควรเลือกซื้อยาชนิดน้ำหรือน้ำแขวนตะกอน
ขนาด 120 มิลลิกรัม/ช้อนชา ให้เด็กรับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา=5 ซีซี. หรือถ้าเด็กรับประทานยายาก
ต้องให้ครั้งละน้อยๆ ท่านก็ควรเลือกชนิดหยด ขนาด 100 มิลลิกรัม/1 ซีซี. ให้ทาน 1.5 ซีซี.
(จะได้รับยา 150 มิลลิกรัม/ครั้ง) หรือชนิดหยดขนาด 60 มิลลิกรัม/0.6 ซีซี. ให้รับประทาน 1.2 ซีซี.-1.5 ซีซี.
จะได้ยา 120-150 มิลลิกรัม/ครั้ง ซึ่งเป็นขนาดพอดีที่มีประสิทธิภาพในการลดไข้
วิธีการให้ยาที่ถูกต้องคือทุกๆ 4-6 ชั่วโมง เมื่อหายไข้ให้หยุดยาได้
อีกวิธีหนึ่งที่หมอใช้คำนวณคร่าวๆ เมื่อไม่ทราบน้ำหนักตัวของเด็ก ก็คือ
การคำนวณขนาดยาตามอายุของเด็ก ตัวอย่างเช่น เด็กอายุตั้งแต่ 1-6 ปี ให้พาราเซตามอล 1-2 ช้อนชา
ซึ่งเป็นสาเหตุให้การคำนวณปริมาณยาผิดพลาดได้ถ้าเด็กอายุ 1 ปี น้ำหนักประมาณ 10 กิโลกรัม
ควรได้รับยา 100 มิลลิกรัม/ครั้ง ถ้าคุณพ่อคุณแม่ให้ยาลูก 2 ช้อนชา เด็กจะได้รับยาถึง 240-320 มิลลิกรัม
คือรับยาเกินขนาด จนอาจเกิดอันตรายต่อตับของลูกได้ หรือถ้าเป็นเด็ก 5 ปี น้ำหนักกว่า 20 กิโลกรัม
ควรได้รับยา 200-300 มิลลิกรัม/ครั้ง แต่คุณพ่อคุณแม่ให้ยาแค่ 1 ช้อนชา เด็กจะได้รับยาเพียง
120-160 มิลลิกรัม ทำให้ไข้ไม่ลดลง เป็นต้น
นั่นคือ น้ำหนักตัวเด็กเป็นประเด็นหลักในการคำนวณขนาดของยาที่ใช้
สำหรับข้อแนะนำในการเลือกยาลดไข้สำหรับเด็ก ได้แก่
1. รสชาติดี รับประทานง่ายเพราะถ้าเด็กทานแล้วบ้วนออก ก็ได้รับยาไม่ครบขนาดอยู่ดี
2. ความเข้มข้นของยาที่เลือกต้องเหมาะสม ให้สะดวกในการป้อนและรับประทาน
3. ใช้อุปกรณ์การตวง วัดขนาดที่ได้มาตรฐาน เช่น ใช้ช้อนชาสำหรับรับประทานยา
ไม่ใช้ช้อนชาชงกาแฟเพราะขนาดต่างกันหลายเท่า
4. ถ้าเลือกได้ ควรเลือกยาน้ำหรือยาน้ำแขวนตะกอนที่ปราศจากแอลกอฮอล์ (ALCOHOL FREE)
เนื่องจากแอลกฮอล์มีผลต่อสมองของเด็ก
ข้อพึงปฏิบัติเมื่อลูกของท่านมีไข้นอกจากใช้ยาลดไข้แล้ว คือ
ก. นอกจากจะใช้ยาลดไข้แล้ว ควรเช็ดตัวเด็กด้วยน้ำธรรมดา เช็ดบริเวณลำตัว แขน ขา
ข้อพับต่างๆ จะช่วยให้ไข้ลดลงได้รวดเร็วขึ้น
ข. ไม่ควรสวมเสื้อผ้าหนาเกินไป เพราะจะทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น
ระบายความร้อนออกไปได้ยาก จึงไม่ควรห่อตัวลูกด้วยผ้าหนาๆ จะยิ่งทำให้ไข้ไม่ลดลง
สวมเสื้อผ้าปกติ แต่ไม่ต้องถึงกับบางๆ ก็เพียงพอ
ค. ให้เด็กดื่มน้ำมากๆ ถ้าเด็กไม่ยอมดื่ม อาจใช้น้ำผลไม้ น้ำหวาน
น้ำเย็นให้ลูกดื่มจะช่วยให้ดื่มน้ำได้มากขึ้น
ง. ให้นอนในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท
ไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์-ปิดหน้าต่างเพราะยิ่งทำให้ตัวร้อนไข้ไม่ลง
นอกจากการใช้พาราเซตามอลแล้ว ยังมียาลดไข้อีกหลายตัวที่ได้ผลดี ได้แก่ แอสไพริน
และไอโบโพรเฟน (Ibuprofen) แต่ยาทั้งสองมีคุณสมบัติเป็นกรด อาจมีผลระคายเคือง
กระเพาะอาหารของเด็กได้ และแอสไพรินเองก็มีข้อควรระวังในการใช้หลากหลาย
แต่ค่อนข้างลดไข้ได้เร็วกว่าพาราเซตามอล
ผู้เขียนจึงไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดในฉบับนี้ เนื่องจากมีความซับซ้อนในการตัดสินใจ
เลือกใช้ยาเหล่านี้ค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม ยาพาราเซตามอลออกฤทธิ์ได้ค่อนข้างช้า
ไข้จะลดลงภายหลังรับประทานยาครึ่งชั่วโมง ทำให้เด็กที่เคยมีประวัติชักเวลามีไข้สูงมาก่อน
จะชักได้ง่ายขึ้นถ้าปล่อยให้ไข้สูงนานๆ
ดังนั้นควรรับประทานยากันชักด้วยทุกครั้งที่มีไข้ และให้ระมัดระวังไม่ให้ไข้ขึ้นสูงเกินขนาด
ด้วยการหมั่นเช็ดตัวบ่อยๆ และให้ยาลดไข้ทุก 4 ชม. เป็นต้น
ก็หวังว่าคุณพ่อคุณแม่คงจะตัดสินใจใช้ยาแก้ไข้กับลูกได้ถูกต้องแล้วนะคะ
ภญ.ยุวดี หงส์รัตนาวรกิจ
|