มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



พีพีเอหายนะป่วนโลก


ปรากฏเป็นข่าวตลอดสัปดาห์ว่ายาแก้วหวัดคัดจมูกที่มีส่วนผสมของ "ฟีนิลโพรพาโนลามีน" หรือ "ยาพีพีเอ" ทำให้เกิดอาการเลือดออกในสมอง (Hemorrhagic stroke) จนทางองค์การอาหารและยา หรือเอฟดีเอของประเทศสหรัฐอเมริกาออกข่าวเตือนผู้บริโภคทั่วโลกให้หลีกเลี่ยงการใช้ยา ที่มีส่วนผสมของตัวยาดังกล่าว โดยแนะนำให้ใช้ยาสูดเอฟรีดีนในการบรรเทาอาการคัดจมูกแทนนั้น

"ยาพีพีเอ" ไม่ใช่ยาใหม่ แต่เป็นยาที่มีการศึกษาวิจัยและผลิตออกจำหน่ายในท้องตลาดทั่วโลก มาตั้งแต่ปี 2513 อยู่ในตลาดนานกว่า 30 ปีแล้ว โดยประมาณปี 2519 ผู้เชี่ยวชาญด้านยาคณะหนึ่งของสหรัฐอเมริกา แนะนำให้ใช้ยานี้เพราะว่าได้ผลดีในการบรรเทาอาการคัดจมูก ต่อมาปี 2525 ก็มีผู้เชี่ยวชาญอีกคณะ ออกมาเผยแพร่ผลการศึกษาวิจัยการใช้ยานี้ด้านใหม่ ซึ่งพบว่ายาพีพีเอสามารถใช้ลดความอ้วนได้ด้วย

โดยปกตินั้นตัวยาพีพีเอนั้นเป็นยาที่ดูดซึมและออกฤทธิ์ได้เร็วภายในครึ่งชั่วโมง ซึ่งฤทธิ์ยาจะอยู่นาน 3 ชั่วโมง สำหรับรูปแบบยาทั่วไป และนาน 12-16 ชั่วโมงสำหรับรูปแบบที่ต้องการให้ออกฤทธิ์ได้นาน ประมาณ 80-90% ของปริมาณยาที่กินเข้าไปจะถูกกำจัดออกทางปัสสาวะ โดยยาจะไม่สะสมในร่างกาย หรือหากสะสมก็น้อยมาก

แต่เอฟดีเอแคลงใจความปลอดภัยของยานี้มาก เพราะภายหลังพบว่า มีผู้ใช้ยาบางรายกินยาไปแล้ว เกิดอาการเลือดออกในสมอง เส้นเลือดในสมองบางเส้นแตก จึงเรียกร้องให้บริษัทยาที่ผลิตยานี้ ลงทุนศึกษาผลข้างเคียงระยะยาว โดยต้องตอบคำถามสำคัญให้ได้ว่า ตัวยาพีพีเอมีความสัมพันธ์กับ การเกิดภาวะเลือดออกในสมองจริงหรือไม่ ? ปรากฏว่า มีผู้ศึกษาวิจัยเรื่องนี้ 2 ครั้ง แต่ให้ผลสรุปขัดแย้งกัน เพราะไม่มีการเปรียบเทียบกันระหว่างกลุ่มที่ใช้ยาและกลุ่มผู้ที่ไม่ได้ใช้ยา

  • "ยาพีพีเอ" อันตรายพิสูจน์ได้

หลังจากใช้เวลาศึกษานานกว่า 4 ปีครึ่งคือ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2537 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2542 มหาวิทยาลัยเยล แห่งประเทศสหรัฐอเมริกาได้รายงานผลการศึกษาวิจัยทางระบาดวิทยา เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มผู้ป่วยที่เคยใช้ยานี้และไม่เคยใช้ โดยเริ่มศึกษาเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มผู้ป่วย ที่มีอาการเลือดออกในสมองจำนวน 702 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ใช้ยาพีพีเอ 27 คน และกลุ่มที่ไม่เคยมีอาการดังกล่าว จำนวน 1,376 คน ในจำนวนนี้มีผู้ที่ใช้ยาพีพีเอ 33 คน

ผลการวิจัยสรุปว่า ยาฟีนิลโพรพาลามีนหรือยาพีพีเอ ได้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะเลือดออกในสมองจริงประมาณ 1.5 เท่าของผู้ที่ไม่ใช้ยานี้ จะเสี่ยงมากขึ้นในกลุ่มผู้ที่ใช้ยาพีพีเอเพื่อลดความอ้วน เพราะผลการวิจัยความเสี่ยงปรากฏชัด ในกลุ่มที่ใช้เพื่อลดความอ้วนคือ มีโอกาสเสี่ยงสูงถึง 15 เท่าของผู้ที่ไม่เคยใช้ยานี้ ในกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้เพื่อลดอาการคัดจมูกจะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ที่ไม่ใช้มากถึง 1.23 เท่า เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้หญิงจึงมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงอาจใช้ยาทั้งเพื่อลดความอ้วน และเพื่อบรรเทาอาการคัดจมูก

คณะผู้วิจัยได้ยื่นผลสรุปของการวิจัยดังกล่าวต่อเอฟดีเอเมื่อต้นปี 2543 เพื่อให้เอฟดีเอทบทวน ผลการวิจัยอีกครั้งให้ละเอียด ใช้เวลาเกือบหนึ่งปี จนเมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการเอ็นแด็ค หรือคณะกรรมการที่ปรึกษาเกี่ยวกับยาบรรจุเสร็จที่จำหน่ายได้ตามท้องตลาด โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ พิจารณาและสรุปว่า ยาตัวนี้น่าจะไม่ปลอดภัยถ้าจะขายโดยทั่วไปเพื่อนำมาใช้ลดความอ้วน หรือเพื่อบรรเทาอาการคัดจมูกก็ตาม โดยไม่มีใบสั่งแพทย์

รวมทั้งคณะกรรมการของเอฟดีเอเองมีข้อสรุปตามมาอีกว่า ถึงแม้อัตราการเกิดภาวะเลือดออกในสมอง จะต่ำมาก กล่าวคือ ในระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา เฉพาะในสหรัฐอเมริกาเองมีรายงานการเกิดภาวะดังกล่าว จากผู้ใช้ยาเพียง 44 รายเท่านั้น รวมผู้ป่วยในการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยเยลอีก 27 ราย คิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 71 ราย และรายงานติดตามความปลอดภัยจากการใช้ยาตั้งแต่ปี 2528 -2541 ขององค์การอนามัยโลก มีรายงานเลือดออกในสมองเพียง 5 รายเท่านั้น เมื่อเทียบกับผู้ที่ใช้ยาดังกล่าวทั่วโลก จำนวนหลายล้านคนก็ตาม แต่เอฟดีเอถือว่าเป็นยาอันตรายที่ร้ายแรงต่อผู้บริโภค

ยานี้ร้ายแรงเพราะเมื่อผู้ป่วยเกิดอาการเลือดออกในสมองแล้วแพทย์ไม่สามารถแก้ไขให้กลับคืน เหมือนคนปกติได้ อีกทั้งยังไม่สามารถคาดคะเนได้ว่า ใครบ้างที่จะมีอัตราเสี่ยงกับยานี้ ฉะนั้นอันตรายที่ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ เอฟดีเอจึงสรุปว่า ยาพีพีเอไม่เหมาะที่จะเป็นยาบรรจุเสร็จ ขายโดยทั่วไปที่ไม่มีใบสั่งแพทย์ และหากแพทย์คนใดสั่งยานี้ให้ผู้ป่วยใช้ต้องรับผิดชอบชีวิตของผู้ป่วยด้วย

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เอฟดีเอให้ความชัดเจนเรื่องนี้มากขึ้น โดยมีแผนที่จะถอนทะเบียนตำรับยาพีพีเอ ออกจากท้องตลาด โดยเบื้องต้นได้ทำหนังสือถึงประธานบริษัทยาทุกแห่งให้ปรับเปลี่ยนสูตรยา ไปใช้สูตรยาที่มีฤทธิ์ใกล้เคียงกันโดยสมัครใจ ขณะเดียวกันคณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยเยล ได้นำผลการวิจัยเผยแพร่ผ่านทางอินเตอร์เน็ตด้วย จนเป็นข่าวอยู่ถึงปัจจุบัน

  • ปฏิกิริยาทั่วโลกตอบสนองข่าวนี้

กระทรวงสาธารณสุขประเทศมาเลเซีย เพื่อนบ้านของไทยฉับไวกว่าประเทศอื่น มีคำสั่งให้ร้านขายยาทั่วประเทศ ถอนยาแก้ไอ แก้หวัด และยาแก้แพ้ 47 รายการซึ่งมีส่วนผสมของตัวยาพีพีเอออกจากตลาดทันที และยังสั่งห้ามผู้ผลิต ใช้สารดังกล่าวเป็นส่วนผสมของยาตัวอื่นๆ ด้วย สำหรับปฏิกิริยาของประเทศอื่นๆ ต่อเรื่องนี้ล้วนเป็นไปโดยทำนองเดียวกัน โดยแคนาดาและออสเตรเลียได้สั่งระงับการจำหน่ายแล้ว ขณะที่คอสตาริกาและเม็กซิโกรายงานข่าวแจ้งว่า ทั้งสองประเทศจะรีบถอนยาดังกล่าวออกจากตลาดโดยเร็ว ขณะที่ประเทศสิงคโปร์เจ้าหน้าที่ได้ขอร้องให้ร้านขายยา หยุดการจำหน่ายยานี้โดยสมัครใจแล้ว

ล่าสุดประเทศไทยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้สั่งเพิกถอนยาพีพีเอ ซึ่งเป็นสูตรยาเดี่ยวออกจากท้องตลาดทันที 2 ตำรับ คือ ยาแคปซูล Tirend ผลิตโดยบริษัท พี พี แลบอราตอรี่ จำกัด และ ยาเม็ด Phenlamine ผลิตโดยบริษัท ฟาร์มาสันต์แลบอราทอรี่ จำกัด ยาทั้งสองตำรับนี้ใช้บรรเทาอาการคัดจมูก โดย อย.ห้ามผู้ประกอบการผลิตเพิ่ม รวมทั้งขอให้แพทย์เลิกสั่งใช้ยาดังกล่าวกับผู้ป่วยภายในสัปดาห์นี้ รวมทั้งจะส่งเรื่องการเพิกถอนสูตรตำรับยาผสมในสูตรยาบรรเทาหวัด คัดจมูกจำนวนกว่า 494 ตำรับ ให้คณะอนุกรรมการศึกษาวิจัยควบคุมอันตรายจากการใช้ยาพิจารณาในวันที่ 21 พฤศจิกายนนี้ด้วย และยังแนะนำผู้ที่ใช้ยาที่มีส่วนผสมของฟีนิลโพรพาโนลามีนอยู่หยุดใช้ยาและปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อจ่ายยาอื่นทดแทนให้

  • กลัวตาย ถามว่าเป็นหวัดคัดจมูกจำเป็นต้องกินยา ?

"ไม่จำเป็น"

น.พ.สมยศ คุณจักร หัวหน้าภาควิชาโสต นาสิก ลิงค์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีตอบฟันธง
" ถ้าโรคหวัดตามความเข้าใจของชาวบ้านคือ อาการป่วยปวดหัว ตัวร้อน มีไข้ คัดจมูก น้ำมูกไหล เท่านั้น ซึ่งหวัดตามที่ชาวบ้านเข้าใจเกิดจากเชื้อไวรัส จะหายได้เองภายในหนึ่งสัปดาห์ กินน้ำให้เยอะ นอนพักผ่อนให้มาก กินผักผลไม้รสเปรี้ยวที่มีวิตามซี ไม่นานก็หาย หากมีเพียงน้ำมูกไหล ให้กินยาเฉพาะยาลดน้ำมูกเช่น คลอร์เฟนิรามีน หากมีอาการไข้ ปวดศีรษะร่วมด้วยให้กินยาลดไข้ บรรเทาปวดเช่น ยาพาราเซตามอล ซึ่งยาทั้งสองตัวจัดเป็นยาสามัญประจำบ้าน ไม่จำเป็นต้องกินยาบรรจุเสร็จสูตรผสมทั้งหลาย "

" เพราะไวรัสหวัดเป็นไวรัสที่ยาฆ่าไม่ได้ แต่จะหายไปเอง ถ้าคนเรามีภูมิต้านทานดี เมื่อภูมิต้านทานดี หนึ่งไม่ทำให้เป็นโรค สองเมื่อเป็นโรคแล้วก็หายเองได้ การจะมีภูมิต้านทานหรือภูมิคุ้มกันร่างกายดี ต้องออกกำลังกายให้แข็งแรง กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด เพียงเท่านี้ก็ไม่ป่วย ไม่ต้องกินยาแล้ว "

" ความจริงโรคหวัดมีหลายชนิด " น.พ.สมยศอธิบายต่อ "เช่น หวัดเรื้อรัง แพ้อากาศ แพ้ฝุ่นละออง ภูมิแพ้ อาการเหล่านี้แสดงออกเหมือนโรคหวัดทั่วไป มีน้ำมูก คัดจมูก ไอจาม แต่ตัวแยกว่าเป็นภูมิแพ้ หรือเป็นโรคหวัดอยู่ที่อาการคัน ถ้ามีอาการคันตามร่างกายร่วมด้วยเมื่อไหร่ ไม่ใช่โรคหวัดแล้ว แสดงว่าต้องแพ้อะไรสักอย่าง เพราะฉะนั้นจะไปหาซื้อยากินเองไม่ได้แล้ว ต้องไปพบแพทย์เพื่อหาว่า ตัวเองแพ้อะไร ส่วนใหญ่แพทย์ก็จะรักษาไปตามอาการ โดยให้ยาแก้แพ้คือ ยาคลอร์เฟนิรามีนไป เพื่อลดอาการน้ำมูกไหล แพ้อากาศซึ่งเป็นอาการหลักที่ทำให้ผู้ป่วยรำคาญตัวเองจนทนไม่ไหว ต้องมาหาแพทย์ "

" ทุกวันนี้ยาบรรจุเสร็จหาซื้อง่าย บริษัทยาผลิตยาครอบจักรวาลเอายาพาราเซตามอล คลอร์เฟนิรามีน ฟีนิลโพรพาโนลามีน ผสมกันในหนึ่งเม็ด ปวดหัว เป็นไข้ น้ำมูกไหล ไอ จาม คัดจมูก กินยานี้ได้หมด บางคนแค่ปวดหัวมีไข้ก็กินยานี้ บางคนแค่น้ำมูกไหลแพ้อากาศก็กินยานี้ ขณะเดียวกันก็ได้รับตัวยาที่ตัวเอง ไม่จำเป็นต้องใช้ไปด้วย นี่เป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ป่วย ยาบรรจุเสร็จเหล่านี้กินมากไม่ดีนัก ยาแก้ไข้ ยาแก้ปวด พาราเซตามอลกินมากๆ นานต่อเนื่องกันระยะยาวทำให้ตับอักเสบ เซลล์ตับถูกทำลาย ตาเหลือง ตัวเหลือง เป็นดีซ่านได้ ส่วนยาลดน้ำมูก มีฤทธิ์ทำให้ง่วง ทำอะไรไม่ได้ดีเหมือนปกติ หลังๆ บริษัทยาจึงพยายามคิดค้นหายาลดน้ำมูกที่ทำให้ไม่ง่วง แต่ราคาก็แพงมากตามไปด้วย ยาบางตัวกินแล้วไม่ง่วงออกฤทธิ์ยาว แต่พอไปกินร่วมกับยาอื่นบางตัวทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ ไม่นานนี้ อย.เพิ่งประกาศเพิกถอนทะเบียนตำรับยาไป 2 ตัวคือ แอสเทมมีโซน (Astemizole) และเทอร์เฟนนาดีน (Tesfenadine) "

  • แค่คัดจมูกต้องใช้ยาด้วยหรือ ?

"เวลาเราคัดจมูกขึ้นมา สังเกตตัวเองให้ดี" น.พ.สมยศ สอน "บางคนคัดจมูก เพราะเมื่อคืนนอนตะแคง หน้าของเราทับจมูกไปข้าง ทำให้จมูกข้างที่ถูกทับตันไปข้าง หายใจไม่สะดวก สังเกตให้ดีนอนตะแคงข้างไหน ก็ตันข้างนั้น บางคนจะไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าตัวเองคัดจมูก แต่ถ้านอนทับจมูกทุกวันๆ นานเข้ามันก็รำคาญ พอรำคาญก็นึกว่าตัวเองเป็นหวัดไปหายามากิน ซึ่งไม่ต้องเลย อาการพวกนี้จะหายไปเอง หรือหาอะไรดมให้โล่งจมูกก็ได้ ไม่จำเป็นต้องกินยา

อีกอย่าง บางคนไม่เคยสังเกตตัวเองเลยว่า สันจมูกตัวเองคด คนสันจมูกคดโดยปกติก็ทำให้คัดจมูกได้ง่ายอยู่แล้ว เพราะหายใจเข้าออกไม่สะดวกเหมือนคนปกติ ตอนกลางคืนนอนตะแคงอีก จากที่เคยคัดจมูกข้างเดียวก็พลิกไปพลิกมาเลยคัดจมูกสองข้าง ก็นึกว่าตัวเองเป็นหวัดอีก ซึ่งมันไม่ใช่ หาอะไรสูดดมก็พอ บางคนไปหายามาพ่นจมูกก็ช่วยได้บ้าง แต่อย่าใช้นานหรือบ่อย ยาพ่นจมูกถ้าใช้เกิน 2 สัปดาห์เยื่อหุ้มจมูกจะเริ่มเสื่อม ไม่ดี ถ้าคัดจมูกมากๆ จนรำคาญอยู่ไม่เป็นปกติสุข มาพบแพทย์เอายาที่ถูกไปกินจะดีกว่า

  • หวัดเป็นเองหายเอง แล้วทำไมต้องกินยา ?

"ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะพฤติกรรมของผู้ป่วยเอง" น.พ.สมยศ สันนิษฐาน "เวลาที่พ่อแม่พาเด็กเล็กไปหาหมอ หมอจะสั่งเสมอเด็กเป็นหวัดต้องรีบพาไปหาหมอรักษานะ เพราะในเด็กเวลาที่เป็นหวัดจะมีอาการอักเสบของหูชั้นกลาง ถ้าปล่อยไว้นานจะทำให้เป็นหูน้ำหนวก แก้วหูทะลุได้ ทีนี้เวลาพ่อแม่ได้ยินหมอบอกว่า เป็นหวัดต้องรีบรักษาก็จำไว้ พอตัวเองเริ่มรู้สึกเป็นหวัดก็เลยรีบไปหาหมอ หรือไปซื้อยามากินเอง ซึ่งคนละเรื่องเลย เป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะผู้ใหญ่มีภูมิต้านทาน ภูมิคุ้มกันดีกว่าเด็กมาก ไม่มีอาการหูชั้นกลางอักเสบเหมือนเด็ก ดูแลตัวเองให้ดีก็หายได้ ใช้ความสังเกตสักนิด ถ้าเป็นไข้ติดต่อนานหลายวัน มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อร่วมด้วย สังหรณ์ใจสักนิดว่า อาจเป็นไข้หวัดใหญ่ ค่อยหายากินหรือไปพบแพทย์

อีกประการอาจเป็นเพราะยาแก้หวัด เป็นยาบรรจุเสร็จหาซื้อง่าย เคยเป็นหวัดปล่อยให้หายเอง เสียเวลา 4-5 วัน แต่กินยาไปแล้ว 2 วันหาย สบายดี เลยติดเป็นนิสัย ประกอบกับยาสมัยนี้ราคาถูก เมื่อก่อนยาเหล่านี้นำเข้าจากต่างประเทศราคาแพง แต่ยาแก้หวัดเดี๋ยวนี้ผลิตเองในประเทศไทย จึงถูกมากหาซื้อง่าย โฆษณาได้ด้วย บวกกับกลยุทธ์การตลาดของบริษัทยาใส่โน่นผสมนี่ก็ไปกันใหญ่

น.พ.สมยศเตือนว่า " ทางที่ดีที่สุด ออกกำลังกาย ดูแลร่างกายให้แข็งแรง กินอาหารมีประโยชน์ อย่าให้เจ็บป่วยดีที่สุด เพราะกินยาสมัยนี้รักษาโรคแถมโรค "

ฐิตินบ โกมลนิมิ

(update 22 พฤศจิกายน 2000)


[ ที่มา... หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน   วันที่ 19 พฤศจิกายน 2543]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600