นิตยสารเล่มหนึ่งได้กล่าวถึงสัจธรรมแห่งชีวิตไว้ว่า
" เมื่อผู้หญิงอายุ 18 เธอก็เหมือนลูกฟุตบอล ที่ผู้ชาย 20 คน คอยไล่ตามเธอ
เมื่อผู้หญิงอายุ 28 เธอก็เหมือนลูกฮอกกี้ ที่ผู้ชาย 8 คน คอยไล่ตามเธอ
เมื่อผู้หญิงอายุ 38 เธอก็เหมือนลูกกอล์ฟ ที่มีผู้ชายเพียง 1 คน คอยไล่ตามเธอ
แต่ครั้นเมื่อเธออายุ 48 เธอก็เหมือนลูกปิงปอง ที่ผู้ชาย 2 คน พากันโยกใส่อีกฝ่าย "
 
ในฐานะสามี
อ่านแล้วคงรู้สึกตลกดี
ไม่คิดอะไรมากก็แค่เรื่องตลกธรรมดา และคงเห็นด้วยว่า 
ผู้หญิงอ่อนวัยย่อมเนื้อหอมมากกว่าผู้หญิงสูงอายุ
ส่วนในฐานะภรรยา
อ่านแล้วคงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เกรงว่าเมื่อเธออายุมากขึ้นความสาวเริ่มร่วงโรย 
สามีอาจจะไม่รักเธอเท่ากับเมื่อครั้งแต่งงานใหม่ๆ 
 ค่านิยมของผู้ชายจำนวนไม่น้อยมักจะให้คุณค่าของผู้หญิงที่ภายนอก โดยเฉพาะในเรื่องของ "อายุ" 
และ "ความงาม" อายุสัมพันธ์กับความสาว ความงามของใบหน้าและผิวพรรณ อีกทั้งยังสัมพันธ์
กับความรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นชาย อันเป็นเหตุให้เมื่อเขาเลือกคนที่จะมาเป็นคู่ครอง 
จึงมักเลือกที่รูปร่างหน้าตาและอายุเป็นอันดับแรกๆ ส่วนการพิจารณาเรื่องอื่นๆ จะให้ความสำคัญรองลงไป 
 
คำถามก็คือ
การให้คุณค่าผู้หญิงที่อายุและรูปร่าง หน้าตาภายนอก ส่งเสริมหรือทำร้ายครอบครัว ?
 กรณีสามี
 
 ถ้าชายคนหนึ่งบอกกับหญิงสาวในวันที่เขาขอแต่งงานว่า "ที่รัก ผมขออยู่กับคุณ 10 ปีเท่านั้นนะ 
เพราะว่าพอผิวหนังคุณเริ่มหย่อนยานลง น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ผมคงรักคุณต่อไปไม่ไหวแล้ว 
คุณจะแต่งงานกับผมไหม?" คงไม่มีผู้หญิงปกติคนใดจะตกปากรับคำด้วยใจที่ชื่นชมยินดี 
เพราะพวกเธอรู้อนาคตว่า หลังจากสิบปีผ่านไป เธอคงจะรู้สึกเหมือนเป็นคนไร้ค่าที่ถูกคนรักทอดทิ้ง 
 แม้คำพูดดังกล่าวจะไม่มีผู้ชายคนใดพูดออกมาตรงๆ แต่การกระทำที่แสดงออก
ของสามีจำนวนไม่น้อยจะเป็นเหมือนดั่งคำพูดข้างต้นเมื่อความงามของภรรยาเริ่มลดน้อยลง
ไปตามวัยที่เพิ่มขึ้นความรักก็เริ่มจืดจางลงไปทีละน้อยๆ 
 เมื่อความงามร่วงโรยไปตามวัย ความภาคภูมิใจก็เหือดหายไปด้วย เมื่อสามีมีทัศนคติต่อภรรยาเช่นนี้ 
ย่อมทำให้เกิดความเบื่อหน่ายภรรยาได้ง่าย ไม่ภาคภูมิใจภรรยาเหมือนเมื่อครั้งแต่งงานกันใหม่ๆ 
สะท้อนให้เห็นจากข้อความติดตลกที่กล่าวถึงภรรยาตามที่ต่างๆ ซึ่งออกจะเป็นตลกที่ทำร้ายจิตใจ
ผู้หญิงที่อยู่ในฐานะภรรยา อย่างเช่น "นางฟ้าอยู่หน้ารถ แม่มดอยู่ในบ้าน" "แก่ง่ายตายยาก" 
สามีไม่อยากแสดงอาการรักแลทะนุถนอมภรรยาเหมือนเดิม ในบางรายอาจมีการดูถูกต่อหน้าเพื่อนฝูง 
หรือวิพากษ์วิจารณ์ในรูปร่างหน้าตาที่ไม่งดงามเหมือนครั้งอดีต 
 การเกิดปัญหาการนอกใจภรรยา สามีที่มีค่านิยมเช่นนี้ก็มักจะมีแนวโน้มทำให้ไม่อยากอยู่บ้าน
เพราะไม่มีความสุข เห็นแต่ความเก่า ความไม่สดใส ไม่มีสิ่งที่น่าดึงดูดใจ เมื่อความพึงพอใจภรรยาที่บ้านลดลง 
สามีย่อมมุ่งไปที่เป้าหมายใหม่ แนวโน้มคงไม่พ้นหญิงสาวที่ยังอยู่ในวัยเยาว์ ปัญหาภรรยาหลวง-ภรรยาน้อย
จึงเกิดขึ้นอย่างมากมายในสังคมทุกวันนี้ 
 กรณีภรรยา
 ในขณะที่ฝ่ายหญิงผู้เป็นภรรยา ทั้งๆ ที่ไม่ได้กระทำความผิดใด กลับต้องเป็นฝ่ายที่ถูกปฏิเสธ
เพียงเพราะอายุมากขึ้น และความร่วงโรยเริ่มมาเยือน สิ่งที่ภรรยาพยายามทำเนื่องจากเกรงว่า
สามีจะไม่รักเมื่อเห็นริ้วรอยดังกล่าว ก็คือ ทุ่มลงทุนเพื่อรักษาสภาพความงาม 
ในยุคปัจจุบันเราจะเห็นว่าผู้หญิงพยายามทำอย่างเต็มที่เพื่อรักษาสภาพความงดงามในวัยสาว
ให้คงไว้ให้ได้นานที่สุด แต่ผลร้ายที่เกิดขึ้นคือ 
 การเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น การต่อสู้กับริ้วรอยแห่งวัยเป็นเหมือนกับการรบ
ที่ต้องลงทุนมหาศาลเพื่อซื้ออาวุธที่มีอานุภาพมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อเราสูงวัยมากขึ้นริ้วรอยต่างๆ 
ย่อมเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งเครื่องสำอางที่ใช้อยู่อาจไม่เพียงพอที่จะต่อต้านความชราได้อีกต่อไป 
บางคนอาจทำศัลยกรรมความงามที่มีอยู่อย่างกลาดเกลื่อน ทั้งทำตาสองชั้น ทำจมูก ดึงหน้า 
ฉีดสารเคมีบางชนิดเพื่อลบรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เมื่อหน้ากลับเป็นสาวขึ้นอีกครั้ง
ก็เหมือนเรียกความมั่นใจกลับคืนมา ภรรยาจำนวนไม่น้อยก็ยินดีทุ่มเงินมหาศาล
เพื่อซื้ออาวุธเหล่านี้มาใช้ต่อสู้กับความชราซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว ความชราย่อมเป็นฝ่ายชนะเสมอ 
เพราะความชรามีธรรมชาติและกาลเวลาเป็นอาวุธซึ่งมนุษย์ยังไม่สามารถพัฒนาอาวุธใดขึ้นมาต้านทานได้ 
 ขาดความสุขกับการใช้ชีวิต เพราะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่หมกมุ่นกับการรักษาความงามเพื่อมัดใจสามี 
วันๆ ก็จะต้องรบกับริ้วรอยแห่งวัยที่คอยมาเยือนอย่างไม่ต้องเชื้อเชิญ ผู้หญิงบางคนใช้เวลาส่องกระจก
เพื่อสำรวจริ้วรอยต่างๆ เป็นเวลานาน หากเราเป็นเช่นนั้นแทนที่เราจะมีความสุขมากยิ่งขึ้นในชีวิต 
เรากลับจะมีแต่ความกังวลเพิ่มขึ้นอีก 
 ความรู้สึกว่าตนเองไร้คุณค่า ความรู้สึกของภรรยาที่ไม่สามารถมัดใจสามีได้เมื่อวัยเริ่มร่วงโรย 
สามีเริ่มห่างเหินและทอดทิ้ง ภรรยาย่อมรู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่ไร้คุณค่า ไร้คนที่รักจริง 
ซึ่งจะตามมาด้วยการดำเนินชีวิตไปวันๆ อย่างไม่มีความสุข ภรรยาจะขาดกำลังใจในการดูแลครอบครัว 
ลูกๆ ก็จะพลอยขาดความอบอุ่นที่ควรจะได้รับจากพ่อแม่ไปด้วย กลายเป็นครอบครัวที่มีความเศร้า 
 แนวโน้มภาวะครอบครัวแตกร้าว ไม่น่าเชื่อว่า อิทธิพลของค่านิยมสังคมที่ยกย่องความงาม 
ความสาวนั้นจะส่งผลกระทบต่อครอบครัวจนถึงขั้นครอบครัวแตกแยกได้ ทั้งนี้เพราะสามีภรรยา
ไม่ได้สนับสนุนกันในทางที่ดีเพราะเลือกคบกันบนพื้นฐานรูปร่างหน้าตาอาจไม่รู้จักลักษณะนิสัย 
สามีไม่มีความปรารถนาใช้ชีวิตร่วมผูกพันกับภรรยาอย่างแท้จริงส่งผลทำให้สัมพันธภาพที่เกิดขึ้น
ย่อมจืดจางได้โดยง่าย เมื่อเวลาผ่านไปอาจนำไปสู่ปัญหาการทะเลาะเบาะแว้ง สามีไปมีภรรยาน้อย 
จนกระทั่งอาจนำไปสู่การหย่าร้างได้ในที่สุด 
 
คำตอบคือ
การให้คุณค่าผู้หญิงที่อายุและรูปร่างหน้าตาภายนอก 
ทำร้าย ครอบครัวมากกว่าส่งเสริม 
 ครอบครัวโดยธรรมชาติมักจะเริ่มต้นขึ้นจากความสมัครใจของหญิงและชายคู่หนึ่งที่ตัดสินใจ
ใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกันอย่างเปิดเผย เพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์สำคัญ  อันได้แก่ 
เพื่อตอบสนองความปรารถนาแห่งหัวใจในการ "ให้" และ "รับ" ความรัก 
ดังนั้นการที่เราตัดสินใจแต่งงานกับใครจำเป็นต้องอยู่บนพื้นฐานของความรัก 
ลักษณะนิสัยที่สนับสนุนกันได้ดี ความจริงใจที่มอบให้แก่กันและความปรารถนาที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน
ตลอดชีวิตหรือองค์ประกอบอื่นๆ ที่สนับสนุนให้ครอบครัวที่ได้สร้างขึ้นเป็นปึกแผ่นมั่นคงสืบทอด
ไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน โดยไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานของอายุหรือความงามเข้ามาเกี่ยวข้อง 
 
ควรหรือที่สามีจะวัดคุณค่าของภรรยาที่อายุและความงาม ? 
 ในความเป็นจริงไม่ควรมีผู้ชายคนใดที่ตัดสินใจแต่งงานกับผู้หญิงบนพื้นฐานของความงาม
เพราะนอกจากเขาอาจจะผิดหวังแล้ว เขายังทำให้ภรรยาต้องทนทุกข์จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของสามี 
ด้วยเหตุผลว่าเธออายุมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งไม่ยุติธรรมเลยสำหรับผู้หญิงที่รักเรา 
 
ควรหรือที่ภรรยาจะให้สามีวัดคุณค่าของตนที่อายุและความงาม ? 
 อายุและความงามเป็นเพียงเปลือกนอก แม้จะแต่งหรือเสริมให้งดงามเพียงใด ก็ไม่ได้หมายความว่า 
จะสามารถมัดใจสามีให้อยู่กับเราไปนานๆ ได้ 
 สามีควรจะเห็นว่า ความงามของภรรยาเป็นเพียง "โบนัส" ไม่ใช่องค์ประกอบที่สำคัญที่สุด
ขณะที่ภรรยาควรตระหนักว่าตนเองมีคุณค่าโดยไม่ขึ้นกับอายุหรือความงาม 
และทั้งสองคนควรมุ่งที่จะดำรงความเป็นครอบครัวที่ยั่งยืน ด้วยการพัฒนาความรักความผูกพัน
พัฒนาเป้าหมายชีวิตร่วมกันจวบจนบั้นปลายของชีวิต 
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
  |