มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



ลักษณะของเด็กในครอบครัวไทย


เมื่อปี พ.ศ.2506 ถึง 2512 สถาบันระหว่างชาติสำหรับการค้นคว้าเรื่องเด็ก ได้ทำการวิจัยเรื่อง
- อิทธพลของสังคมต่อพัฒนาการเด็ก ที่ตำบลนาป่า อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี
- อิทธิพลของสังคมต่อพัฒนาการเด็กที่หมู่บ้านพรานเหมือน จังหวัดอุดรธานี และ
- อิทธิพลของสังคมต่อพัฒนาการเด็กที่หมู่บ้านอุเม็ง จังหวัดเชียงใหม่

ได้ผลการวิจัยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนไทยในหมู่บ้านต่างๆ ของภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ และวิธีการอบรมเลี้ยงดูที่ปฏิบัติในท้องถิ่นนั้นๆ คือ พบว่าแบบฉบับการอบรมเลี้ยงดูของสังคมชนบทไทยตามภาคต่างๆ มีลักษณะอะลุ้มอล่วย เน้นการอบรมเลี้ยงดูที่อยู่ในกรอบของคุณธรรมไว้ 5-6 ประการ ได้แก่ คุณธรรมแห่งความไม่ก้าวร้าวรุกราน ความกตัญญูรู้คุณ ความซื่อสัตย์ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเคารพผู้อาวุโสและผู้มีอำนาจ และความเหมาะสมในด้านกิริยามารยาท และยังมีค่านิยมสำคัญอีก 2 ประการ ซึ่งได้แก่ ความเกรงใจ และความอ่อนน้อมถ่อมตน อีกทั้งยังมีการให้ความสำคัญต่อการอบรมเด็กให้มีพฤติกรรมที่เหมาะสมกับเพศ

ลักษณะหรือวิธีการอบรมดังกล่าวประกอบกับสังคมแต่ละระดับในขณะนั้น มีความสอดคล้องกันในการปฏิบัติ โดยเฉพาะสังคมทางบ้านและสังคมทางโรงเรียน จึงผลิตให้เด็กในสังคมไทยในอดีตมีลักษณะที่แตกต่างไปจากเด็กในปัจจุบันนั่นก็คือ เด็กไทยแต่อดีตจะมีบุคลิกภาพแบบไม่ก้าวร้าวรุกราน อ่อนน้อม ซื่อสัตย์สุจริต กตัญญูรู้คุณ ให้ความเคารพความเกรงใจต่อผู้อาวุโสและผู้มีอำนาจ และมีกิริยามรรยาทที่เหมาะสมกับกาลเทศะ

ต่อมาอีกสามทศวรรษ สังคมไทยค่อยเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรม ยังให้เกิดข้อคำถามว่า เด็กไทยขณะปัจจุบันยังคงเหลือเค้าเดิมของเด็กไทยในอดีตหรือไม่ หรือมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะทางจิตใจ และพฤติกรรมที่สำคัญใดบ้างและจะถือได้หรือไม่ว่า ลักษณะที่เปลี่ยนแปลงนี้จะมีความเหมาะสมดีแล้วเพราะจำเป็นต้องพัฒนาเด็กให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง และความต้องการของยุคสมัยโลกาภิวัฒน์

การวิจัยค้นคว้าต่อมาของสถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในปี พ.ศ. 2524 เรื่องแบบฉบับการอบรมเลี้ยงดูเด็กที่กำลังเปลี่ยนแปลงของครอบครัวรายได้น้อยในตัวเมือง ซึ่งมีการค้นคว้าแบบการอบรมเลี้ยงดูของครอบครัวที่มีรายได้น้อย ซึ่งอยู่ในตัวเมืองของกรุงเทพมหานคร ครอบครัวเหล่านี้ประกอบด้วยบิดามารดาที่มาจากส่วนต่างๆ ของประเทศและอพยพเข้ามา แสวงหางานทำในตัวเมืองหลวงถึงแม้ว่างานวิจัยชิ้นนี้จะไม่มีการเปรียบเทียบโดยตรงกับงานค้นคว้า ที่กระทำก่อนหน้านั้นเกือบสองทศวรรษแต่ก็มีหลายจุดที่อาจจะนำมาเทียบเคียงกันได้

กล่าวคือ ดูในลักษณะกว้างแบบฉบับการอบรมเลี้ยงดูเด็กในสังคมไทย ภายในช่วงเวลาที่ผ่านไปร่วมยี่สิบปี จากการค้นคว้าของสถาบันระหว่างชาติสำหรับการค้นคว้าเรื่องเด็ก ยังคงมีลักษณะเดิม คือมีความอะลุ้มอล่วยในการอบรมเลี้ยงดูเกือบทุกด้านในอดีตจะมีการยืดหยุ่น ในการอบรมเด็กในด้านต่างๆ แต่จะเข้มงวดในการควบคุมดูแลพฤติกรรมทางเพศ โดยเฉพาะพฤติกรรมที่เหมาะสมกับบทบาททางเพศของเด็กหญิง แต่ในการค้นคว้าวิจัย ของสถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ครั้งนี้พบว่า การเน้นในพฤติกรรมตามบทบาททางเพศค่อยเปลี่ยนไป มีการอะลุ้มอล่วยมากขึ้นในด้านนี้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน กรอบคุณธรรมและค่านิยมที่เคยใช้ ในการอบรมเลี้ยงดูยังคงมีอยู่ แต่การเน้นความสำคัญของแต่ละคุณธรรมเจือจางลง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงจากสังคมภายนอกและบทบาทสำคัญของสื่อต่างๆ ที่เข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น ต่อวิธีดำเนินชีวิตของครอบครัว

วิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กในสังคมไทยที่ต้องปรับไปกับยุคสมัยเช่นนี้ทำให้เด็กและเยาวชนไทย มีการพัฒนาจิตลักษณะและพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากเด็กไทยในอดีต เช่น มีบุคลิกภาพแบบรุก และพึ่งตนเอง ชอบการแข่งขัน ให้ความสำคัญต่อวัตถุมากกว่าจิตใจ มีความเป็นตัวของตัวเอง และคำนึงถึงเรื่องกิริยามรรยาทน้อยลง

ที่สำคัญอีกจุดหนึ่งก็คือ ในอดีตพ่อแม่และปู่ย่าตายายในครอบครัวเป็นตัวหลัก หรือรูปแบบสำคัญในการพัฒนาเด็ก เด็กสามารถเลียนแบบในการพัฒนาลักษณะทั้งทางจิตใจและพฤติกรรม จากตัวแบบซึ่งเป็นผู้ให้การอบรมเลี้ยงดูได้อย่างไม่สับสน หากในเวลาต่อมาครอบครัวในสังคมไทย มีการเปลี่ยนแปลง โดยมารดาของเด็กก้าวไปสู่โลกของการทำงานภายนอกกันมากขึ้น ทำให้บทบาทของพ่อแม่ในการอบรมเลี้ยงดูต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลต่อการปฏิบัติตนของพ่อแม่ที่มีต่อลูกของตนและเปิดโอกาสให้สื่อต่างๆ เริ่มเข้ามามีบทบาท ในกระบวนการอบรมเลี้ยงดูและเด็กเกิดการเรียนรู้โดยกระบวนการอื่นๆ มากขึ้น

ใกล้ๆ กับยุคปัจจุบันหรือยุคโลกาภิวัฒน์ คือประมาณปี พ.ศ.2530 เป็นต้นมา เนื่องจากมีการให้ความสำคัญ ต่อเรื่องการให้เด็กไทยมีชีวิตการเรียนรู้ที่ทัดเทียมกันมากขึ้น กล่าวคือ ต้องการเห็นเด็กไทยทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในฐานะสังคมเศรษฐกิจระดับใดได้รับการดูแลช่วยเหลือให้เขา มีโอกาสเรียนรู้สิ่งที่มีคุณค่าต่างๆ ในชีวิตให้มากที่สุด ตลอดจนสอนให้เด็กๆ ได้มีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายใกล้กับธรรมชาติ สามารถเรียนรู้ร่วมกัน และรู้จักเรียนรู้ความต้องการของตนเองด้วย พ่อแม่และครูจึงถูกบังคับให้ต้องเริ่มปรับบทบาท จากการอบรมปลูกฝังที่เคยแต่เป็นผู้สั่งและให้เนื้อหาอย่างเดียว มาเป็นการใช้วิธีการแนะแนวทางให้เด็ก ได้เห็นปัญหาและหาทางเลือกหรือช่องทางต่างๆ ในการแก้ปัญหาให้กับเด็ก

พ่อแม่จากหลายครอบครัวอาจมองไม่เห็นแนวทางการปรับเปลี่ยนวิธีการอบมเลี้ยงดูเด็ก ในลักษณะดังกล่าวนี้ เพราะอาจเนื่องมาจากตัวเองก็ไม่ได้ผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงสำคัญนี้มาก่อน พ่อแม่จากครอบครัวประเภทเช่นนี้จำเป็นที่จะต้องได้รับการแนะแนวที่ถูกต้องจากผู้รู้หรือกลุ่มผู้รู้ ในการถ่ายทอดเนื้อหาและวิธีการเพื่อการสร้างครอบครัวแนวใหม่ ซึ่งจะสามารถพัฒนาเด็ก ให้เกิดลักษณะที่เหมาะสมสอดคล้องกับความจำเป็นและความเหมาะสม ในปัจจุบันได้

อนึ่ง ในการอบรมปลูกฝังให้เด็กมีลักษณะอย่างใดตามที่บิดามารดาและสังคมพึงปรารถนานั้น ตัวกำหนดวิธีการอบรมปลูกฝังเพื่อให้เด็กเกิดลักษณะนั้นๆ อาจมีหลายอย่าง แต่ที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ก็คือ ความคาดหวังของพ่อแม่ในตัวเด็ก ในอดีตพ่อแม่ในสังคมไทยให้ความสำคัญต่อการศึกษาและมุ่งหวังอย่างมากที่จะเห็นเด็กเรียนสูง เพื่อเป็นบันไดก้าวไปสู่การมีอาชีพที่สบายมีโอกาสเป็นเจ้าคนนายคนจบสูงแล้วลูกจะได้มีโอกาสทำงานแบบนั่งโต๊ะ แทนการทำงานหนักในท้องทุ่งไร่นาแบบเกษตรกรที่ตัวเองเคยประสบมา ความคาดหวังของพ่อแม่บ่อยครั้ง จึงไม่สอดคล้องกับความถนัดตามธรรมชาติและความสามารถที่แท้จริงของเด็ก ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา

อย่างไรก็ตามความมุ่งหวังเช่นนี้ดูจะไม่หมดไปจากสังคมไทยง่ายๆ แม้ว่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ ควรให้ความสำคัญต่อการศึกษา แต่ความหมายของการศึกษาที่แท้จริงอาจมีขอบข่ายกว้างขวาง และลึกซึ้งมากกว่าความเข้าใจของผู้ปกครองและพ่อแม่ ซึ่งมักนึกถึงเฉพาะการบังคับให้เด็กได้เรียน สิ่งที่พ่อแม่ต้องการแต่ไม่ใช่สิ่งที่เด็กต้องการและเด็กต้องประสบความล้มเหลวในการเรียน แต่ก็มีข้อสังเกตว่า ความคิดเห็นของพ่อแม่ที่มีต่อความสำคัญของการศึกษาที่อยู่ในรูปของการเป็นบันได พาดไปสู่การมีอาชีพที่ได้รับการยกย่องจากสังคมแต่อดีตนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างพอสมควร เช่น มีผลงานวิจัยที่แสดงการยอมรับในการประกอบอาชีพอิสระและเด็กได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่ และครอบครัวในระดับหนึ่ง

ในเรื่องความคาดหวังของพ่อแม่ซึ่งเป็นตัวกำหนดสำคัญอย่างหนึ่งในทิศทางของการอบรมนั้น มีโครงการวิจัยสำคัญมากโครงการหนึ่ง ซึ่งจัดเป็นโครงการระหว่างประเทศแบบระยะยาว โครงการเดียวของประเทศ ซึ่งเริ่มทำการวิจัยตั้งแต่ปี พ.ศ.2529 และติดตามศึกษาจนถึง ปี พ.ศ.2540 มีประเทศ 11 ประเทศเข้าร่วมในการวิจัยผู้ประสานงานวิจัยร่วม ได้แก่ สมาคมระหว่างชาติว่าด้วย การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ที่เรียกสั้นๆ ว่าสมาคม ไอ อี เอ (International Association for the Evaluation of Educational Achievement) ส่วนที่ทำในประเทศไทยนั้นดำเนินการโดยมหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช มีรองศาสตราจารย์ ดร.นิตยา ภัสสรศิริ และคณะ เป็นคณะวิจัย โครงการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะตรวจสอบบริการที่จัดให้แก่การศึกษาเด็กเล็ก ประสบการณ์วัยเด็กเล็กที่มีต่อการพัฒนาการของเด็กในขณะปัจจุบันและระยะเวลาต่อไปของเด็ก คณะผู้วิจัยกำลังดำเนินงานขั้นสุดท้ายในการประมวลข้อมูลและดำเนินการเผยแพร่อย่างเป็นทางการในไม่ช้า จึงขออนุญาตผู้วิจัยนำผลสำคัญบางประการมากล่าวไว้ในบทความนี้ด้วย

ผลที่น่าสนใจประการหนึ่งของโครงการระยะยาวระหว่างประเทศที่กล่าวถึงนี้ บ่งชัดว่าพ่อแม่ในกลุ่มตัวอย่างซึ่งได้มาจากการสุ่มทั่วประเทศคาดหวังหรือมุ่งหวังจากเด็กมากที่สุด ในเรื่องความเชื่อมั่นเพียงพอในตนเอง (self-sufficiency) ต่อมาคือความสามารถทางภาษา (language ability) และทักษะการเตรียมตัวทางวิชาการ (pre-academic skill) แต่คาดหวังหรือให้ความสำคัญน้อยที่สุด ในเรื่องการประเมินตนเอง (self-assessment) การคาดหวังน้อยของพ่อแม่ในส่วนนี้สอดคล้องกับครู ซึ่งให้ความสำคัญน้อยมากเช่นกันต่อเรื่องความสามารถของเด็กในการประเมินตนเอง เรื่องของความคาดหวังนี้จัดเป็นเรื่องสำคัญเพราะจะมีอิทธิพลต่อการกำหนดวิธีการและแนวทางการอบรม และการดูแลเด็ก

การที่ทั้งพ่อแม่และครูให้ความสำคัญน้อยที่สุดในความสามารถของเด็กที่จะประเมินตนเองนั้น เป็นประเด็นที่ใคร่ยกมากล่าวไว้ในที่นี้ เพราะความสามารถในการประเมินตนเองอย่างเที่ยงตรงได้นั้น ต้องอาศัยคุณสมบัติหลายอย่างที่ส่งผลให้บุคคลเกิดคุณภาพและในสังคมไทยของเราดูจะขาดการให้ความสำคัญ และการดูแลส่งเสริมให้คนของสังคมไทยพัฒนาลักษณะสำคัญนี้ ลักษณะสำคัญที่ใกล้ชิดตัวเองที่สุดนี้ ถูกละเลย แต่มักไปให้ความสำคัญต่อเรื่องที่ไกลตัวมากกว่า ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหา พฤติกรรมต่างๆ ตามมาเป็นลูกโซ่เช่น การไม่รู้จักประมาณ การตัดสินใจอย่างผิดๆ และอย่างลวกๆ การประมาทเลินเล่อ การคิดที่มองข้ามความสำคัญในบางเรื่องบางสิ่ง เป็นต้น

การที่เด็กจะสามารถประเมินตนเองได้อย่างถูกต้องนั้น จำเป็นต้องผ่านกระบวนการอบรมเลี้ยงดูมา ด้วยวิธีการที่ส่งเสริมเด็กในเรื่องนี้และอาจต้องเริ่มด้วยโดยพ่อแม่วางแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็ก ได้ซึมซับลักษณะดังกล่าวนี้ ซึ่งได้แก่การเริ่มรู้จักเรียนรู้สิ่งที่เป็นข้อจำกัดและข้อดีในตัวของบุคคล เพราะเป็นการยากที่ผู้ใดจะเกิดมาสมบูรณ์ไปทุกสิ่งทุกอย่าง การค่อยๆ สอนบ่มเพาะนิสัยให้เด็ก ได้รู้จักสังเกตสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในตนทั้งที่เป็นข้อดีและข้อเสียหรือข้อบกพร่องที่ต้องปรับปรุงให้เด็กได้รู้จักชื่นชม ในสิ่งที่เขามีและไม่ขมขื่นในสิ่งที่เขาขาดหรือมีอย่างผิดปกติโดยไม่พยายามเปรียบเทียบกับคนอื่น จนเกิดความทุกข์หรือเคียดแค้น กระบวนการฝึกอบรมจิตใจและสติปัญญาให้รู้จักพินิจพิเคราะห์เพื่อรู้จักตนเอง อย่างเที่ยงตรงจัดเป็นขั้นสำคัญยิ่งของการปูทางไปสู่การพัฒนาเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ

โลกทุกวันนี้มีปัญหายุ่งเหยิงสับสนอันเกิดจากบุคคลขาดคุณสมบัติที่ไม่สามารถมอง และประเมินตนเองได้อย่างเที่ยงตรงยังให้เกิดพฤติกรรมที่พัดเพไปตามกระแสสังคม โดยปราศจากการพินิจพิเคราะห์ที่ถูกต้องรอบคอบ เด็กและเยาวชนโดยธรรมชาติมีความต้องการในสิ่งต่างๆ ตามวัย โดยเฉพาะต้องการการยอมรับจากกลุ่มเพื่อนและเพื่อนร่วมวัยตลอดจนสังคมในวงกว้าง แต่ลักษณะจิตใจและพฤติกรรมที่จะนำเด็กและเยาวชนไปสู่จุดมุ่งหมายปลายทางที่ถูกที่ควรนั้น ยังจำเป็นที่จะต้องได้รับการประคับประคองดูแลจากสังคมแวดล้อม โดยเฉพาะพ่อแม่และครูผู้รับผิดชอบ ในตัวเยาวชนเหล่านี้อยู่มาก การอบรมดูแลเด็กด้วยการปลูกฝังคุณลักษณะที่พึงปรารถนา โดยเฉพาะคุณลักษณะแห่งการรู้จักประเมินตนเองนั้น เป็นจุดหนึ่งที่ควรเน้นและทั้งพ่อแม่และครูไม่เคยเพิกเฉยได้

คุณสมบัติข้อนี้จำเป็นต้องมีควบคู่ไปกับคุณสมบัติของการรู้จักมุ่งอนาคต เพราะลักษณะการมุ่งอนาคตที่ปราศจากความสามารถในการประเมินตนเองอย่างเที่ยงตรงและต่อเนื่องนั้น เปรียบเสมือนกับการพยายามเดินทางไปสู่ดวงดาวโดยปราศจากความสามารถในการสร้างเครื่องมือ ที่จะนำเขาทะยานไปสู่จุดสุกสว่างนั้นพ่อแม่และสมาชิกทุกคนในสถาบันครอบครัว จึงจำเป็นต้องพยายามเรียนรู้ร่วมกันที่จะพัฒนาลักษณะความสามารถในการรู้จักตนเองด้วยการประเมินตนเอง ทำตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชนในการพัฒนาคุณสมบัติอันสำคัญนี้ เพื่อช่วยกันสร้างและทนุบำรุงรักษาคุณภาพของคนที่กำลังขาดแคลนยิ่งในสังคมไทยปัจจุบัน

จรรจา สุวรรณทัต ปร.ด. (จิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว)
ประธานคณะดำเนินงานโครงการวิจัยและพัฒนาระบบพฤติกรรมไทย
สภาวิจัยแห่งชาติ ถนนพหลโยธิน กรุงเทพฯ 10900


เอกสารอ้างอิง

1. สถาบันระหว่างชาติสำหรับการค้นคว้าเรื่องเด็ก. อิทธิพลของสังคมต่อพัฒนาการเด็กที่ตำบลนาป่า อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี. เล่ม 2. 2510.
2. สถาบันระหว่างชาติสำหรับการค้นคว้าเรื่องเด็ก. อิทธิพลของสังคมต่อพัฒนาการเด็กที่หมู่บ้านพรายเหมือน จังหวัดอุดรธานี และหมู่บ้านอุเม็ง จังหวัดเชียงใหม่. เล่ม 3. 2512.
3. สถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์. แบบฉบับการอบรมเลี้ยงดูเด็กที่กำลังเปลี่ยนแปลงของครอบครัวรายได้น้อยในตัวเมือง. รายงานการวิจัยฉบับที่ 24. 2524.
4. สถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์. ประมวลสงเคราะห์ผลงานวิจัยในประเทศไทยเกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดูเด็กไทย เล่ม 2. โดยการสนับสนุนจากโครงการพัฒนาสังคมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ: สำนักนายกรัฐมนตรี. 2533.
5. สมศรี กิจชนะพานิชย์, ทองทิพย์ สุนทรชัย, จรัญญา วงษ์พรหม, ธนะจักร เย็นบำรุง. รายงานการวิจัยเรื่องบทบาทสถาบันครอบครัวในการอบรมเลี้ยงดูเด็ก (แรกเกิดถึง 6 ปี) : บนเส้นทางแรงงานอพยพจากอีสานสู่กรุงเทพฯ. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ: สำนักนายกรัฐมนตรี. 2540.
6. จดหมายข่าวการศึกษาไทยในยุคโลกาภิวัฒน์ 2541; 2(4): 1-3.
7. Passornsiri N. Monograph I : Teacher/Caregiver and Parent/Guardian Expectation: Thailand, August, 1993. In: Early Childhood Care and Education in 11 Countries. Ypsilanti : Hight Scope Press, 1994.


[ที่มา...วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย 2541; 43(3): 226-39]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600