มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



สื่อสารเพื่อสร้างสัมพันธ์

หลายต่อหลายครั้ง ที่เราปล่อยให้ความรู้สึก
ที่เราอยากจะบอกสิ่งที่ดีงามกับคนที่เรารักรู้
แต่ด้วยความที่เราไม่เคยทำเราก็ปล่อยให้เวลาผ่านไปๆ
จนกระทั่งคนที่เราอยากจะบอกให้เขารู้นั้นได้จากเราไป
ทั้งจากเป็นและจากตาย เขาไม่มีโอกาสได้รับรู้เลยว่า
เรารักเขาและเราแคร์เขาเพียงใด

ในบทที่แล้ว ได้กล่าวถึงความรักว่าเป็นสิ่งเรียนรู้ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เป็นสิ่งที่ทุกคน ต้องมีการเรียนรู้จากประสบการณ์ในวัยเด็กของเขาจากพ่อแม่คนใกล้ชิดของเขาที่จะค่อยๆ สอนให้เขารู้จักกับความรัก การเป็นที่รักและการให้ความรักของเขาแก่ผู้อื่น
แต่การมีความรักเท่านั้นไม่เป็นสิ่งที่เพียงพอ คนเราต้องรู้จักวิธีแสดงความรู้สึกนี้ ให้บุคคลใกล้ชิดหรือผู้ที่เรารักได้รู้ด้วยว่า เรารู้สึกเช่นนั้นกับเขา
คนบางคน มีความรักแต่ไม่รู้จะสื่อออกไปให้คนที่เรารักรู้ได้อย่างไรว่าเรารักเขา
บ่อยครั้งที่พ่อแม่รักลูก แต่ไม่เคยบอกให้ลูกรู้เลยว่า เขารักลูก

ในบทนี้ จึงอยากขอพูดถึงวิธีการสื่อสาร ที่แสดงถึงความรู้สึกรัก เพราะมันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ที่คุณรักใครสักคนหนึ่งแทบตาย แต่คุณกลับไม่กล้าให้เขารู้ว่าคุณรักเขา หรือไม่รู้จะสื่ออย่างไรให้เขารู้ ก็เลยทำให้คนอื่นที่เขาสื่อเป็น ได้ของรักของคุณไปครอบครอง เพราะเขารู้วิธีสื่อสารในขณะที่คุณมัวแต่อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่อย่างนั้นเอง

การสื่อสารจึงเป็นหัวใจสำคัญที่แสดงออกถึงความรู้สึกของคนเรา
การสื่อสารหรือการพูดจากัน เป็นศิลปะที่เราจะสื่อถึงความรู้สึกข้างในตัวเราให้ผู้อื่นได้รับรู้ และในขณะเดียวกันก็จะต้องมีการรับฟังว่า อีกฝ่ายหนึ่งพูดอะไรออกมาอย่างถูกต้องชัดเจน ทั้งผู้ส่งและผู้รับ เราจึงจะถือได้ว่าเป็นการสื่อสารที่สมบูรณ์
ส่วนใหญ่แล้วเวลาที่เรานึกถึงการสื่อสาร เรามักจะนึกถึงแต่คำพูดที่ออกมาจากปากของผู้พูด แต่แท้จริงแล้วการสื่อสารมีทั้งภาษาพูดและภาษากาย
คนเราจะสื่อสารแก่กันและกันตลอดเวลา แม้ว่าเราไม่ได้พูดกับเขาทางคำพูด แต่เราก็บอกอะไรกับเขาตั้งหลายอย่างโดยผ่านทางภาษากายของเรา

ภาษากายคืออะไร ?
การสื่อสารด้วยภาษากาย มีความหมายถึง สีหน้าแววตา ท่าทาง การเดิน ยืน นั่ง นอน คือทุกสิ่งที่เราแสดงออกไปเวลาเราอยู่ต่อหน้าผู้อื่นโดยไม่ใช้คำพูด
คนที่กำลังโกรธ จะมีภาษากายที่แสดงอารมณ์ภายในของเขา เช่น หน้าแดง ปากสั่น คิ้วขมวด หน้าตาดุดัน
ส่วนคนที่มีอารมณ์รื่นเริง ก็จะแสดงออกทางหน้าตาที่ยิ้มแย้ม ภาษากายที่ต้อนรับผู้อื่น เป็นต้น
การเห็นเพียงสีหน้า ท่าทางของคู่สนทนา พอที่จะทำให้เราได้รู้ถึงความรู้สึกภายในของเขาอย่างชัดเจน
ดังนั้นเมื่อเรามีความรู้สึกที่ดีงาม เช่น ความรักใคร่ พอใจ สุขใจ และเราอยากจะถ่ายทอดให้คู่สนทนาได้รับรู้ เราอาจจะเริ่มจากภาษากายที่เป็นมิตร สีหน้าท่าทางที่ยิ้มแย้มต้อนรับ

ไม่มีประโยชน์ที่คุณอยากจะรู้จักใครสักคนหนึ่งแทบตาย แต่คุณแสดงภาษากายที่เฉยเมยกับเขา เขาย่อมรับรู้ไม่ได้ว่าคุณรู้สึกดีกับเขา ดังนั้นภาษากายของคุณจะต้องสื่อความรู้สึกอยาเป็นมิตรออกไป ก่อนคำพูดเสมอ
หลังจากการแสดงทีท่าภาษากายที่เป็นมิตรออกไปแล้ว คุณก็ควรจะต่อด้วยภาษาพูด ที่ตรงกับภาษากาย เพื่อให้ความรู้สึกที่ดีงามเหล่านี้ ได้มีโอกาสถ่ายทอดไปให้บุคคลที่เรารักได้รับรู้

หลายต่อหลายครั้ง ที่เราปล่อยให้ความรู้สึกที่เราอยากจะบอกสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ กับคนที่เรารักรู้ แต่ด้วยความที่เราไม่เคยทำ เราก็ปล่อยให้เวลาผ่านไปๆ จนหมดวาระที่ควรบอก จนกระทั่งคนที่เรา อยากจะบอกให้เขารู้นั้นได้จากเราไป ทั้งจากเป็นและจากตาย เขาไม่มีโอกาสได้รับรู้เลยว่า เรารักเขาและเราแคร์เขาเพียงใด
และเมื่อเขาจากเราไปจริงๆ เราก็มานั่งเศร้าเสียใจว่า ทำไมเราจึงไม่บอกให้เขาได้รู้ เมื่อเขายังอยู่กับเรา

คนเรามักจะคิดอะไรได้ก็ต่อเมื่อมันสายไปแล้วเสมอ
ดังนั้นเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด ความเสียใจ ไม่ให้เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนที่เรารัก คุณจึงควรหัดที่จะสื่อสารความรู้สึกที่แท้จริงออกไป เช่น
ฉันอยากให้คุณแคร์ความรู้สึกของฉันมากกว่านี้
ฉันไม่อยากให้คุณล้อฉันเรื่องความอ้วน
ผมดีใจที่คุณชอบของที่ผมซื้อมาฝาก
แม่เสียใจที่ตวาดลูกต่อหน้าเพื่อน ฯลฯ

ถ้าเราสามารถสื่อสารความรู้สึกที่แท้จริงออกไปได้หมดทุกระดับของความสัมพันธ์ ความเข้าใจที่ดีย่อมจะเกิดได้กับบุคคลที่เรารักอย่างแน่นอน
คุณเชื่อหรือไม่ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ของบุคคลส่วนใหญ่ มักจะเป็นปัญหา ที่เกี่ยวกับเรื่องของการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกันแทบทั้งสิ้น

ดังเช่นเรื่องของวรรณมาศและโสภณ ทั้งคู่แต่งงานกันมาได้ราว 7 ปีเศษ วรรณมาศมีความรู้สึกว่า โสภณเป็นสามีที่พยายามให้เธอทุกอย่างทางวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง บ้าน รถยนต์ ความมีหน้ามีตาทางสังคม แต่วรรณมาศรู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจเธอ ไม่มีเวลาให้เธอ และคิดเพียงแค่การให้เธออยู่กับวัตถุมีราคา เป็นสิ่งที่สามีที่ดีทำให้กับภรรยาแล้ว

วรรณมาศรู้สึกถึงความแปลกแยกที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างเขาและเธอ เธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอ และเขาเริ่มเดินห่างออกจากกันไปทุกที วรรณมาศเคยพยายามที่จะพูดเรื่องนี้กับโสภณแต่เขากลับ "เบรก" เธอด้วยคำพูดทำนองว่า "มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร" และบอกว่าเธอ "คิดมากไปเอง"

กว่าโสภณจะรู้ตัวว่า วรรณมาศหมายความอย่างที่เธอพูด มันก็สายไปเสียแล้ว เธอได้ออกไปจากชีวิตของเขา และไม่ต้องการหวนกลับมาเจอสภาพเดิมอีก
เมื่อหลายปีผ่านไป ทั้งคู่ได้มาเจอกันโดยบังเอิญ โสภณได้ถามอดีตภรรยาของเขาว่า
"ทำไมตอนนั้นคุณไม่เคยบอกผมเลยว่า คุณมีปัญหาอะไร?"
"ก็คุณไม่เคยฟังที่ฉันพยายามบอกคุณเลย" เป็นคำตอบจากวรรณมาศ

จะเห็นได้ว่าในการสื่อสารนั้นบ่อยครั้งเหลือเกินที่ผู้ส่งและผู้รับเปิดช่องสัญญาณที่ไม่ตรงกัน ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ความเจ็บปวดและการสิ้นสุดลงของความสัมพันธ์ได้อย่างง่ายดาย

จากการศึกษาพบว่า คู่สมรสหลายคู่ สื่อสารกับโทรทัศน์มากกว่าสื่อสารต่อกันและกัน
เขานั่งอยู่ในห้องเดียวกัน เปิดโทรทัศน์ให้มีเสียงเป็นเพื่อน
เพราะเขากลัวความเงียบที่เกิดจากการนั่งอยู่ด้วยกัน
ความเงียบที่เขาไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน
ความเงียบที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในชีวิตสมรสทีละเล็กละน้อย
แต่เมื่อเปิดโทรทัศน์ขึ้น แม้ว่าจะมี 2 ชีวิต
แต่เขาก็มีข่าวภาคค่ำเป็นเพื่อน
และเมื่อเขาหัวเราะ เขาก็หัวเราะให้กับรายการตีสิบ
ไม่ใช่หัวเราะให้แก่กัน
ขอบคุณโทรทัศน์และชีวิตคู่ที่ขาดการสื่อสาร !
นักจิตวิทยามีความเชื่อว่าหลายครั้งที่เราสื่ออะไรออกไป คำพูดของเรามักจะไม่ค่อยเป็นการสื่อความหมาย คำพูดเหล่านี้ได้แก่คำพูดที่ได้ยินกันอยู่ทุกวันได้แก่
"เป็นอย่างไร? สบายดีหรือ? งานยุ่งไหม? รถติดมากนะ" ฯลฯ
คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดที่ใช้พูดกันทุกวัน แต่ไม่ใคร่มีความหมายในการสร้างสัมพันธ์
คำพูดที่เป็นการสร้างสัมพันธ์มักจะมาจากการพูดที่จะแสดงความรู้สึกนึกถึง และความต้องการของผู้พูดมากกว่าคำพูดประเภทสัพเพเหระที่มักใช้กันทุกวัน

เมื่อเราได้ทราบถึงความสำคัญของการสื่อความหมายในการสร้างความสัมพันธ์แล้ว ขอให้เรามาเริ่มต้นพิจารณาดูว่า ในแต่ละวัน เมื่อเราพูดกับใคร เราอาจจะตัดการสื่อสาร ที่ไร้ความหมายให้น้อยลง พยายามสื่อจากความรู้สึกจริงใจของเราให้มากขึ้นทั้งภาษากาย และภาษาพูดให้สอดคล้องกันไม่ว่าจะเป็นผู้สื่อหรือผู้ฟัง

ถ้าทำเช่นนี้บ่อยๆ เราอาจจะช่วยเสริมสร้างความอบอุ่น ความเข้าใจที่ดีให้เกิดกับบุคคลที่เรารัก และความสัมพันธ์ของเราได้อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

นวลศิริ เปาโรหิตย์

(update 14 ธันวาคม 2000)


[ ที่มา...หนังสือรักให้เป็น โดยนวลศิริ เปาโรหิตย์ ]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600