ธรรมนูญกับอรพิน หย่ากันได้ปีเศษ ทั้งคู่จากกันด้วยความสมัครใจ เพราะทัศนคติไม่ตรงกัน
แต่เมื่ออรพินได้ข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ว่า ธรรมนูญกำลังจะแต่งงานใหม่ เธอกลับรู้สึกปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก
จะว่าเสียดายก็ไม่ใช่ เพราะเธอไม่ต้องการที่จะกลับไปอยู่ในสภาพเดิมที่ถูกทอดทิ้ง
สามีที่ทำแต่งานไม่เคยให้ความรู้สึกอบอุ่น หรือเข้าใจเธอ เธอรู้สึกว่า ชีวิตแต่งงานเป็นลักษณะต่างคนต่างอยู่
มากกว่าการเป็นสามีภรรยาในความหมายของความรักความเข้าใจ
"ฉันคิดว่าฉันทำถูกที่เลิกจากเขา แต่พอรู้ว่าเขาจะแต่งงานใหม่มันก็รู้สึกจี๊ดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
คล้ายกับว่าเขาจะไปมีความสุขได้อย่างไร ในขณะที่ฉันยังทนทุกข์ทรมานอยู่กับความเจ็บปวดและสูญเสีย
ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน ทำไมผู้หญิงที่จะมาแทนที่ฉันคนนี้จึงทนเขาได้ ในขณะที่ฉันทนเขาไม่ได้?
ฉันผิดรึเปล่าที่เลิกกับเขา? ฉันน่าจะพยายามให้มากกว่านี้หรือเปล่า?" ฯลฯ
อรพินรู้สึกถึงความโกรธปนกับความอิจฉาลึกๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของเธอ เธอไม่รู้ว่าควรจะคิด
รู้สึก หรือปฏิบัติตัวอย่างไร จึงจะผ่านสภาวะของการวุ่นวานจิตใจในครั้งนี้ไปได้
เรื่องของอรพิน เกิดขึ้นกับผู้หญิงมากมายที่ยังทำใจไม่ได้ กับการที่สามีเก่าลุกขึ้นมาแต่งงานใหม่
จริงๆ แล้ว ถ้าเราจะถามอรพินว่า เธออยากจะกลับไปคืนดีกับธรรมนูญหรือไม่?
คำตอบก็คงจะเป็น "ไม่" อย่าแน่นอน
ผู้หญิงแทบทุกคน กว่าจะตัดสินใจหย่ากับใครสักคน ก็คิดแล้วคิดอีก และเมื่อเธอตัดสินใจออกมา
จากการแต่งงานแล้ว หลายคนก็พบว่า เธอพบความสงบทางจิตใจมากกว่าขณะที่อยู่กินกับสามีเก่า
แต่แม้ว่าจะมีการหย่าร้างเกิดขึ้นตามพฤตินัยและนิตินัยก็ตาม แต่ความรู้สึกของผู้หญิงหลายคน
ยังเป็นความ "ไม่เสร็จสิ้น" ไปจากใจของเธอ
หลายคนยังรู้สึกเจ็บปวด เศร้าเสียใจ หรือบ้างก็เข็ดหลาบ ยังไม่กล้าที่จะไปเริ่มมีความสัมพันธ์ใหม่กับคนอื่นอีก
ทำไมผู้หญิง "ดีๆ" หลายคนจึงไม่รู้สึกดีใจที่หลุดออกมาจากผู้ชายที่ทำให้ชีวิตเธอต้องเจ็บปวด
บางคนทำร้ายร่างกายเธอ บางคนปฏิบัติต่อเธอเหมือนเธอเป็นสมบัติที่เขาจะทำอย่างไรก็ได้
คำตอบก็คือ
ผู้หญิงมักจะแต่งงานด้วยความรักเป็นส่วนใหญ่
เมื่อรักแล้วจะรักเลย ไม่ใคร่เปลี่ยนใจง่าย แต่เมื่อเธอตัดสินใจหย่าร้างจากสามี
การจากกันทางกฎหมาย ไม่ได้หมายถึงการขาดกันทางอารมณ์โดยอัตโนมัติ
พูดง่ายๆ ก็คือ ความรักมิได้จบลงพร้อมกับการเซ็นชื่อในใบหย่า
การตัดกันทางใจจึงมิได้เหมือนการตัดเชือก หรือการตัดกระดาษ
จิตใจไม่ใช่สวิตช์ไฟ ที่จะเปิดปิดได้เมื่อต้องการเสียเมื่อไร
ในช่วงแรกๆ ของการแต่งงานผู้หญิงจะ "ทน" ได้แทบจะทุกอย่างในผู้ชายที่เธอรัก
ความรักดูจะมีอนุภาพมากกว่า เรื่องที่เธอไม่ชอบในตัวเขา แต่เมื่ออยู่กินกันไปนานเข้า
ความอดทนก็ดูจะน้อยลงไปทุกทีและเมื่อความรักได้จืดจางลง พร้อมกับความ "เหลืออด"
ที่ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น ตาชั่งด้านลบเริ่มมีน้ำหนักมากกว่าด้านบวก ตรงนี้แหละที่เขาและเธอมักแยกทางกันเดิน
แต่แม้ว่าจะเลิกกันไปแล้วก็ตาม เชื่อหรือไม่ว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ยังจดจำสิ่ง "ดีๆ" ของอดีตสามีของเธอได้อยู่
จึงทำให้เกิดความเจ็บๆ คันๆ เมื่อรู้ว่าเขาไปมีใหม่แล้ว
และช่วงนี้เองที่ผู้หญิงหลาคนเริ่มวัฏจักรแห่งการรู้สึกสูญเสียรวดร้าวใจคล้ายๆ กับตอนที่เลิกกันใหม่ๆ อีกครั้งหนึ่ง
ความกระทบกระเทือนใจจึงเกิดขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายแต่งงานใหม่ก่อน
และฝ่ายหญิงยังไม่เจอใคร ผู้หญิงมักจะอดรู้สึกน้อยใจ และสูญเสียคุณค่าลงไปอย่างช่วยไม่ได้
และธรรมชาติของมนุษย์ ก็มักจะอดคิดเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นไม่ได้ เธออาจจะคิดว่า
"อยากรู้นักว่า ผู้หญิงคนใหม่เป็นอย่างไร?" ทำไมจึงทนเขาได้ เราผิดหรือเปล่าที่ไม่อดทนให้มากกว่านี้
ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดทั้งๆ ที่ไม่ได้อะไรขึ้นมา แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้
อีกประกรหนึ่งก็คือ แม้ผู้หญิงจะหย่าจากสามีเธอแล้วก็ตาม แต่ตราบใดที่เขายังไม่ได้แต่งงานใหม่
เธอก็ยังมีความรู้สึกลึกๆ ในใจว่า เธอยังมีคนคอย "TAKE CARE" ช่วยเหลือบางอย่างเมื่อเธอต้องการได้
แต่การประกาศแต่งงานใหม่อย่างเป็นเรื่องเป็นราวของเขา ทำให้เธอต้องเผชิญข้อเท็จจริงที่เธอปฏิเสธไม่ได้ว่า
เขาจะไม่มาคอยช่วยเหลือเธออีกแล้ว สายสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขานั้นขาดสะบั้นลงอย่างแน่นอนแล้ว
นอกจากการสูญเสียของเธอไปให้ผู้หญิงใหม่อย่างแน่นอนแล้ว ผู้หญิงยังรู้สึกว่า เธอได้สูญเสียความใฝ่ฝัน
และอนาคตที่เธอเคยวาดเอาไว้ร่วมกับเขาอีกด้วย เหมือนอย่างที่อุไรได้พูดเอาไว้ว่า
"ฉันเคยฝันว่า เราจะมีครอบครัวที่เป็นสุข เขาจะเป็นพ่อบ้านที่ดี เราจะมีลูกที่น่ารักด้วยกัน
เราจะค่อยๆ สร้างฐานะให้เป็นปึกแผ่นขึ้นมา
แต่ขณะนี้ความฝันของฉันสลาย เขาไม่ใช่พ่อบ้าน
ที่ฉันอยากกลับไปร่วมชีวิตด้วยอีก บางทีฉันก็นึกถึงผู้หญิงที่มาแทนที่ฉัน หน้าที่ซึ่งควรจะเป็นของฉัน
มันตกไปเป็นของผู้หญิงคนใหม่ได้อย่างไร
"
คำพูดของอุไร แสดงถึงความเจ็บปวดลึกๆ ของการสูญเสีย ทั้งตัวสามีและความฝันของเธอ
ในเวลาเดียวกัน
โดยทั่วๆ ไปแล้ว การหย่าร้างไม่ได้หมายความว่า สามีภรรยาจะต้องเป็นศัตรูกัน
ส่วนใหญ่สามีภรรยาที่หย่ากัน ยังคงความเป็นเพื่อนกันได้เป็นเวลานาน โดยเฉพาะถ้ามีเรื่องของลูก
เข้ามาเกี่ยวข้องบ่อยครั้งเราจะเห็นสามีภรรยามีการปรึกษากันเรื่องของลูก ทั้งๆ ที่คนทั้งคู่มิได้มีความประสงค์
จะกลับมาคืนดีกันแต่อย่างใด
การที่สามีภรรยาที่หย่าร้างกันยังคงความเป็นเพื่อนกันได้ เป็นสิ่งที่ดี แต่ถึงกระนั้นก็ตาม
เมื่ออดีตภรรยาได้ข่าวสามีในอดีต กำลังจะแต่งงานใหม่ ก็อาจจะยังหงุดหงิด คล้ายความรู้สึกหึงหวง
โดยเฉพาะถ้าสามีเกิดไปแต่งงานกับคนที่ภรรยาเคยรู้จัก ก็อาจจะยิ่งทำให้ภรรยาทำใจยาก
ดังเช่นกรณีของสราลี
"พอฉันรู้ว่า เขาจะไปแต่งงานกับมนไสล ฉันแทบบ้า เพราะยายนี่นะเป็นเด็กเสมียนหน้าห้องของเขาแท้ๆ
ไม่นึกว่าเขาจะต่ำถึงเพียงนี้เลย เนี่ย
เผลอๆ ก็คงมีอะไรๆ กันตั้งแต่ก่อนหน้าที่เขาจะเลิกกับฉันแล้วก็ได้"
สราลีคิดไปไกลว่าอดีตสามีและเสมียนหน้าห้องคงจะมีความสัมพันธ์กันลับๆ มาก่อนที่เขาจะเลิกกับเธอ
หากความรู้สึกของผู้หญิง ไม่ยอมยุติการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอดีตสามี เธออาจจะอยากคิดไปไกล
ถึงกับพยายามทำลายชีวิตสมรสของสามีเก่าเลยก็ได้ และบ่อยครั้ง วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ "การใช้ลูกเป็นเครื่องมือ"
โดยเธออาจจะใช้ลูกให้เป็นตัวสอดแนมความสัมพันธ์ของอดีตสามีและภรรยาใหม่ของเขา
ทำให้เกิดการปั่นป่วนเล่นๆ อย่างนั้นแหละ
หรือบางครั้งก็สร้างสภาวะ "ลูกเลี้ยง-แม่เลี้ยง" เข้ากันไม่ได้ และตรงนี้แหละที่เป็นจุดอันตราย
ผู้หญิงหลายคนมีความแค้นในสามีเก่า ทำให้เธอยอมทำทุกอย่างที่จะทำลายเขาให้ย่อยยับให้ได้
เข้าตำรา "ถ้าฉันไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าหล่อนจะได้เขาไป"
การใช้ลูกเป็น "สายสืบ" ก็ดี การสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับสามีเก่าก็ดี
อาจช่วยให้ภรรยาเก่าเกิดความ "สะใจ" ได้ แต่การกระทำดังกล่าว เป็นการทำร้ายเด็กอย่างไม่น่าให้อภัย
เพราะเด็กๆ จะรู้สึกสับสนไม่รู้จะเข้าข้างใคร
นอกจากนี้ ความสับสน ได้เพิ่มทวีคูณจากการที่เด็กๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่จึงต้องแยกจากกัน
และหากเขาถูกฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดใช้เป็นเครื่องมือดังกล่าว ก็เท่ากับยิ่งทำให้วุ่นวายใจ ทำลายความรู้สึกดีๆ
ที่อาจจะยังพอมีเหลือจากความหวังลมๆ แล้งๆ ของเด็กว่า พ่อแม่เขาอาจจะยังมีโอกาสกลับมาคืนดีต่อกัน
ทางที่ถูก อดีตภรรยาจะต้องพยายามค่อยๆ เข้าใจความรู้สึกของลูกช่วยให้ลูกได้มีโอกาส
พูดแสดงความรู้สึกของเขาออกมา แทนการใช้เด็กเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
เด็กๆ ที่อยู่กับพ่อหรือแม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จำเป็นที่จะต้องรู้ว่า ทั้งพ่อและแม่รักเขา
แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ร่วมเป็นครอบครัวแบบเดิมก็ตาม ทั้งพ่อและแม่ก็ยังเป็นพ่อแม่ของเขาอยู่
ไม่มีอะไรในโลกที่จะเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนี้ เขายังสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีได้ทั้งกับพ่อและแม่ของเขา
รวมทั้งแม่เลี้ยง โดยไม่ต้องถูกทำให้รู้สึกว่า เขาไม่ซื่อสัตย์ต่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
สรุปก็คือ คุณผู้หญิงทั้งหลายที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อดีตสามีไปแต่งงานใหม่
อาจจะเกิดความรู้สึกเจ็บๆ คันๆ ขึ้นมาได้อีกครั้ง รวมทั้งความรู้สึกว่าได้สูญเสียของที่เคยเป็นของเรา
ครั้งหนึ่งไปเสียแล้ว คุณอาจยังทำใจลำบาก คล้ายถูกมองข้ามและทอดทิ้งอีกครั้ง
แต่ไม่ว่าคุณจะรู้สึกเช่นไร ความรู้สึกเช่นว่าเป็นสิ่งปกติ ที่เกิดได้กับผู้หญิงหลายคน
แต่ข้อสำคัญคุณต้องเข้าใจว่า
คุณไม่ใช่คนไร้ค่า ไม่ใช่เหยื่อของชีวิต แต่คุณคือผู้หญิงที่เข้มแข็ง สามารถดูแลตัวเองได้ดี
แม้ว่าคุณจะไม่มีสามีแล้วก็ตาม ชีวิตคุณก็จะก้าวไปข้างหน้าต่อไปด้วยความมั่นใจ คุณจะไม่ยึดติดกับเขา
และคุณก็จะพยายามทำใจให้ปรารถนาดี กับการมีชีวิตใหม่ของเขา
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะคุณได้คุณค่าของตัวเอง โดยการเลือกวิถีชีวิตใหม่ให้กับตัวเองอย่างมั่นใจแล้วนั่นเอง
สิ่งที่ผ่านมาระหว่างคุณกับเขา คุณจะถือเอาเป็นบทเรียนในการก้าวต่อไปของชีวิตคุณ
ประสบการณ์ทำให้คุณเข้มแข็งขึ้น เป็นผู้หญิงที่มีความมั่นคงในตนเองมากขึ้น และคุณจะใช้สิ่งเหล่านี้
เป็นพื้นฐานสำหรับการงอกงามเติบโตก้าวไปข้างหน้า ด้วยความมีสติต่อการมีความสัมพันธ์
ที่มีความหมายกับผู้อื่นต่อไปในภายหน้า
โดยนวลศิริ เปาโรหิตย์
|