หยุดคิดสร้างทุกข์ให้ตัวเอง
คุณเชื่อหรือไม่ว่า คนเรานั้นสามารถคิดให้ตัวเองเป็นทุกข์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ?
หลายครั้งเหลือเกินที่เราเป็นผู้ที่ทำให้ตัวเราเองทุกข์ด้วยความคิดที่ไม่ใคร่จะเข้าท่าของตัวเราเอง
บ่อยครั้งที่เหตุการณ์ธรรมดา ที่เกิดขึ้นกับเราและเรามองให้เป็นทุกข์มันก็จะทุกข์ ถ้าเรามองให้เป็นสุข
มันก็จะสุขได้
มนุษย์เรามักไม่ใคร่จะรู้ว่า อานุภาพแห่งความคิดของเรานั้น ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลต่อชีวิต
และความทุกข์สุขของเราอย่างไร
เมื่อใดที่เรามีความเศร้าเซ็งเบื่อหน่ายในชีวิตและเราลองนำความคิดของเรามาวิเคราะห์ดู
เราจะพบว่าอารมณ์ที่เศร้าเซ็งของเรา มักจะเกิดจากความคิดที่ทำให้เราทุกข์ทั้งสิ้น
สมมุติว่า คนรักของเราไม่โทรศัพท์มา และเราคิดว่าเขาคงจะติดธุระ หรือหาเวลาโทรฯ มาไม่ได้
เราก็จะไม่โกรธ
แต่ถ้าเราคิดว่า เขาไม่สนใจเรา ไม่แคร์เราอีกต่อไป เราก็คงจะนั่งเศร้าเสียใจ
กินไม่ได้นอนไม่หลับก็เป็นได้
ดังจะเห็นได้ว่า เหตุการณ์ไม่โทรศัพท์มาเพียงอย่างเดียว ไม่อาจทำให้เราทุกข์หรือสุขได้ด้วยตัวของมันเอง
ถ้าไม่ผ่านกระบวนการทางความคิดด้านบวกหรือด้านลบของตัวเรา
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าคนที่มีธรรมชาติที่ชอบคิดอะไรทางลบอยู่เสมอ คงไม่ต้องสงสัยเลยว่า
ชีวิตเขาคงจะต้องทนทุกข์ทรมานกับเรื่องของความคิดที่ทำร้ายจิตใจเขาอยู่เสมอ
ความคิดที่ทำให้คนเรามีความทุกข์มีอะไรบ้าง ?
ก่อนจะตอบคำถามข้อนี้ ขอเล่าเรื่องให้คุณได้ฟังสักเรื่องหนึ่ง
นารีและเกรียงไกร เป็นคู่รักที่วางแผนจะแต่งงานกัน เมื่อทั้งคู่เก็บเงินได้สักก้อนหนึ่ง
แต่เอาเข้าจริงๆ เกรียงไกรเกิดไปเจอผู้หญิงคนใหม่ที่ถูกใจกว่า เมื่อนารีรู้เรื่องเข้า
เธอผิดหวังและเสียใจในตัวเกรียงไกรมาก เมื่อเธอเลิกกับเขา เธอแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่
นั่งซึมเศร้ากับความพลาดหวังของชีวิต
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเรามาวิเคราะห์กระบวนการทางความคิดของนารี เราจะเห็นได้ว่า
ความคิดของเธอมีส่วนทำให้ชีวิตของเธอมีความทุกข์ได้อย่างมากมาย
นารีคิดว่า "เขาไปมีคนใหม่ เขาคงไม่เห็นว่าเรามีคุณค่า เราไม่เหลืออะไรเลย
ทำไมเราจึงเป็นคนโชคร้ายไม่มีใครรักเราจริง นี่หรือคือผลตอบแทนของความรัก ทุเรศตัวเองจริงๆ
ที่มาหลงเชื่อคนที่ไม่จริงใจเช่นนี้"
ถ้าพิจารณาจากความคิดของนารี เราจะเห็นว่า มันล้วนเป็นประโยคด้านลบ ที่เธอมีต่อตัวเธอเองทั้งสิ้น
จึงไม่น่าสงสัยเลยว่า ตราบใดที่เธอหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่มีแต่ทางลบนี้อารมณ์ของเธอ
ก็จะยิ่งซึมเศร้าผิดหวังและเสียใจ
คนที่ซึมเศร้า ผิดหวังและเสียใจ มักจะมีแนวคิดในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับนารีทั้งสิ้น เป็นต้นว่า
1.
มีการมองโลกแบบไม่ขาวก็ดำ
หมายความว่า จะมีการคิดแบ่งเป็น 2 ขั้ว เช่น ถ้าไม่แพ้ก็ชนะ ไม่ดีก็ชั่ว ไม่สำเร็จก็ล้มเหลว
สมมุติว่าคุณมีความผิดพลาดเกิดกับชีวิตสักครั้ง คุณก็จะมองว่า ชีวิตของคุณล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ถ้าคุณไปสมัครงานแล้วไม่ได้ คุณจะคิดว่าตัวเองไม่เอาไหน
ถ้าแฟนทิ้งไปมีใหม่ คุณจะมองว่า ตัวเองหมดคุณค่า ดังเช่นกรณีของนารี
เธอไม่คำนึงเลยว่า การที่คนรักนอกใจ อาจจะมาจากสาเหตุตั้งร้อยแปดประการ
แต่เธอกลับมาสรุปคิดว่าการที่เขาไม่เลือกเธอแต่กลับไปเลือกคนอื่นแทน แสดงว่าเธอไม่มีคุณค่า
คือเธอจะมองโลกแบบไม่ดำก็ขาว ถ้าเขารักเธอ ซื่อสัตย์ต่อเธอ แปลว่าเธอมีคุณค่า ถ้าเขาจากเธอไป
แสดงว่าคุณค่าของเธอก็จะหมดตามเขาไปด้วย
ซึ่งจริงๆ แล้ว ถ้าเธอมีสติพิจารณาสักนิดเธอก็จะรู้ว่า การมาหรือการไป ของคนรัก
ไม่เกี่ยวข้องกับคุณค่าของเธอแต่อย่างใดเลยแม้แต่น้อย
คุณค่าของบุคคลแต่ละคนย่อมอยู่ที่ตัวบุคคลผู้นั้นเอง มิได้อยู่กับการที่จะมีใครมารักหรือชังในตัวเราเลย
ดังนั้นการนำเอาคุณค่า ไปขึ้นอยู่กับการรักหรือการชังของบุคคลอื่นจึงเป็นอันตรายต่อความสุข
และความทุกข์ของเราเป็นอย่างยิ่ง
ตราบใดที่ความคิดของนารีเป็นเช่นนี้ เธอก็จะมีความสุขได้ยาก
การมองโลกแบบไม่ดำก็ขาว เป็นการมองโลกแบบเด็กๆ ที่มีแต่ความถูกกับความผิด
ความดีกับความชั่ว พระเอกกับผู้ร้าย ซึ่งในชีวิตจริงๆ แล้วไม่ง่ายเช่นนั้น
เพราะคนทุกคน มีทั้งความดีและความชั่วปะปนกันอยู่ในตนเอง เราคงจะหาคนดีบริสุทธิ์
หรือเลวบริสุทธิ์ได้ยาก
โปรดอย่าลงโทษตัวเองและคนที่เรารู้จักหรือที่เรารัก โดยการมองโลกแบบ 2 ขั้ว
เพราะมันเป็นการสร้างเงื่อนไขแห่งความผิดหวังให้แก่ตัวคุณเอง
2.
ขยายเรื่องที่เกิดเรื่องเดียวไปกับทุกเองในอนาคต
จะเห็นจากการที่นารีคิดว่า "ทำไมเธอจึงโชคร้าย คงไม่มีใครรักเธออีกต่อไป"
ความคิดนี้เป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง"
จริงๆ แล้ว เรื่องอกหักนี่ใครๆ เขาก็เคยอกหักมาแล้วทั้งสิ้น นารีไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่อกหัก
แล้วที่เธอคิดว่าโชคร้ายนั้น จริงๆ แล้วมันก็อาจเป็นโชคดีเสียด้วยซ้ำ ที่เธอได้เห็นลวดลายของเขา
ก่อนที่เธอจะตกลงใจแต่งงานไปกับเขาจริงๆ
ถ้าเธอมีสติสักนิด เธอก็อาจจะขอบคุณโชคชะตาเสียด้วยซ้ำไป ถ้าเธอคิดทำนองนี้ได้
เธอก็จะไม่เป็นทุกข์เพราะเขา
เธออาจจะลุกขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัว ให้สดใสร่าเริงเสียด้วยซ้ำไป เพราะตาเธอ "สว่าง"
เห็นสัจธรรมของผู้ชายคนนี้แล้ว
ส่วนเรื่องที่เธอคิดว่า จะไม่มีใครรักเธออีกต่อไปก็เป็นการคิดคำนวณที่ออกจะ "เว่อร์" ไปเอง
เพราะถ้าเธอจะลองไปหาข้อมูลจากผู้หญิงอื่นๆ ในโลกที่เขาแต่งงานแล้ว เขาอาจจะบอกเธอได้เลยว่า
เขาก็เคยอกหักกันมามากมายแล้ว บางคนอาจจะมากกว่านารีเสียอีก
ถ้าความคิดของนารีข้อนี้จริง ในโลกนี้คงไม่มีผู้หญิงที่หย่าแล้วมีโอกาสแต่งงานใหม่อีกเป็นแน่
ดังนั้นความทุกข์ของนารีในข้อนี้เกิดจากการที่เธอทึกทักเอาเองว่า สิ่งที่เกิดกับเธอในครั้งนี้
จะเป็นสิ่งที่เกิดกับเธออีกต่อไปในอนาคต ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้าใจ สงสารตัวเอง หาทางออกไม่ได้
3.
ข้อสุดท้ายที่ทำให้คนทุกข์ก็คือ การให้สมญาแก่ตัวเองและผู้อื่น
นารีคิดว่า เธอ "ทุเรศ" ตัวเองและมองเกรียงไกร "ไม่จริงใจ"
จริงๆ แล้วคงไม่มีใครในโลกที่จะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่า อะไรจะเกิดเมื่อเรามีความสัมพันธ์กับใคร
เราคงอยากให้ความสัมพันธ์นั้นเป็นไปอย่างราบรื่น
แต่ในชีวิตจริง อาจมีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ทำให้คน 2 คนต้องเลิกราจากกันไป มันคงไม่ใช่ความผิด
ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด การลงโทษตัวเองหรือลงโทษผู้อื่น คงไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น
นารีไม่จำเป็นต้อง "ทุเรศ" ตัวเองเพราะความรัก หรือการที่เราไปรักใครสักคน ก็คงไม่ใช่สิ่งที่น่าทุเรศ
และนารีก็ไม่จำเป็นต้องไปกล่าวหาว่าเกรียงไกรไม่จริงใจ เพราะเขาก็คือตัวเขา ความจริงใจหมายความถึง
การมีคำพูดและการกระทำตรงกัน
ถ้าเกรียงไกรบอกรักเธอ โดยที่ใจจริงของเขาไม่รักเธอ นี่สิจึงเรียกว่าไม่จริงใจ แต่การที่เขาเปลี่ยนใจ
ไปรักผู้หญิงคนอื่น ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกับการไม่จริงใจตรงไหน
การลงโทษตัวเองหรือลงโทษผู้อื่น ไม่เคยทำให้เรามีความรู้สึกดีขึ้น ตรงกันข้ามกลับทำให้จิตใจของเรา
ยิ่งเศร้าหมอง เคียดแค้น เกลียดชังทั้งตนเองและผู้อื่น
ทั้ง 3 ข้อที่ได้กล่าวมา มักจะเป็นวิธีการคิดของคนที่ชอบคิดให้ตัวเองทุกข์ใจในสถานการณ์ต่างๆ
ถ้าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบคิดให้ตัวเองทุกข์ได้สม่ำเสมอ คุณอาจลองเปลี่ยนวิธีคิดแบบเดิมดูบ้าง
เพราะมันคงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะนั่งสะสมความทุกข์ให้กับชีวิตโดยไม่จำเป็นจริงหรือไม่ ?
โดยนวลศิริ เปาโรหิตย์
|