หลังจากที่ได้อ่านบทแรกของ "รักให้พอดี" จบไปในช่วงต้นแล้ว ผู้อ่านอาจจะอยากทราบว่า
วิธีการที่จะให้ตนเองหรือคนที่เรารู้จักหลุดออกมาจากวัฏจักร แห่งการรักแล้วล้มนี้เป็นเช่นไร
ผู้หญิงเป็นจำนวนมากที่เคยมีประสบการณ์ไม่สมใจนึกในความรักของตน บ้างก็ถูกทอดทิ้ง
ให้เจ็บปวดอยู่คนเดียว บ้างก็ไม่รู้สาเหตุว่าทำไมความรักซึ่งขึ้นต้นมาดูดี จึงกลายเป็นรักคุดได้ในที่สุด
บ้างก็รักล้น อย่างเรื่องของนกในบทที่แล้ว ทำไมผู้หญิงบางคนจึงสามารถปฏิวัติตนเองขึ้นมาได้ใหม่
ในขณะที่คนอื่นกลับไม่มีความจดจำปล่อยให้ความผิดพลาดจากการมีคนรักเกิดขึ้นกับชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า
ในบทนี้ ผู้เขียนขอนำความเห็นจากนักจิตวิทยาหลายคนรวมทั้งของผู้เขียนเองมากล่าวให้ฟัง
โดยเฉพาะของรอบิน นอร์วูด ได้กล่าวไว้เป็นขั้นตอนอย่างชัดเจนมากดังนี้
1.
ยอมรับว่าตัวเองมีปัญหาในเรื่องความสัมพันธ์ และหาคนคุยด้วย
ก่อนอื่นคุณต้องรู้ว่า ความสัมพันธ์ที่คุณเคยมีมานั้นก่อปัญหาซึ่งคุณไม่สามารถจัดการด้วยตนเองได้
ทำให้คุณต้องขวนขวายหาที่พึ่งในการระบายความทุกข์ออกไป อย่าพยายามนึกว่า ข้าเก่ง
การทำตัวว่าคุณคือผู้ปลอดปัญหา ทั้งๆ ที่จะเอาตัวไม่รอดนั้น ไม่มีทางทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย
ตรงกันข้ามมันกลับทำให้คนที่อยากจะช่วยเหลือคุณเกิดความรู้สึกหมั่นไส้ว่า คุณอวดดี โง่แล้วยังทำเก่ง
และเขาก็อาจจะไม่อยากยุ่งกับคุณไปด้วยเลย พูดง่ายๆ ก็คือคุณจะต้องยอมรับอย่างซื่อสัตย์
กับความรู้สึกที่แท้จริงว่าสภาวะที่คุณเจอครั้งแล้วครั้งเล่าย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา การยอมรับว่า
บางครั้งเราก็มองตัวเองไม่ถูกต้องเป็นสิ่งปกติของมนุษย์ทุกคน ไม่มีใครที่จะปลอดปัญหาไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง
การมีปัญหาและยอมรับว่าตัวเองมี ทำให้คุณเปิดใจที่จะอยากไปหาผู้ที่มีความสันทัดในกรณีช่วยแก้ไข
ซึ่งในที่นี้ก็คงจะเป็นนักจิตวิทยา จิตแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ หรือแม้กระทั่งเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานาน
ซึ่งคุณไว้ใจเขา กล่าง่ายๆ ก็คือ บุคคลเหล่านี้ จะช่วยทำให้คุณมองตัวเองในแง่มุมที่กว้างขึ้น
ไม่เข้าข้างตนเองอย่างหน้ามืด และข้อสำคัญก็คือ คุณต้องไม่คิดว่า เรื่องนี้เล็กน้อยไม่สำคัญ
อย่างบอกใครเลย อายเขา ฯลฯ การพูดเช่นนี้กับตนเอง มีแต่ทางจะเสียกับเสีย ซึ่งก็คือ
คุณก็จะก้าวล่วงเข้าไปมีความสัมพันธ์กับผู้ชายประเภทเดิมอีก ตกม้าตายครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่รู้จักเข็ดหลาบ
การไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ไม่ได้หมายถึงการจะทำให้ความสัมพันธ์ที่คุณกำลังมีอยู่
กับใครสักคนต้องยุติลง คุณก็ยังคงคบกับเขาต่อไปแต่ในขณะเดียวกัน คุณก็ไม่ประมาท
และอาจจะอยากคุยกับใครสักคนเพื่อเช็กว่า คุณกำลังอยู่ในความสัมพันธ์ที่มีสิทธิงอกงามเบ่งบาน
หรือคุณกำลังเดินเข้าไปในศาลาคนเศร้าอีกเป็นครั้งที่ 3 ของชีวิต การให้ใครสักคนช่วยประเมินให้
ในขณะที่เหตุการณ์ยังไม่ถึงขั้ยวิกฤตจะมิเป็นการดีกว่าการถลำลึกลงไปจนถอนตัวไม่ขึ้นหรอกหรือ ?
ลองคิดดูให้ดี คุณอย่าคอยจนเรื่องจบแล้วจึงค่อย "ได้คิด" เพราะมันอาจจะสายเกินไปที่จะปลีกออกมา
อย่างผู้ชนะแล้วก็ได้
ผู้หญิงหลายคนรู้ว่าตนเองยังไม่แน่ใจในผู้ชายที่กำลังคบอยู่ แต่ก็ขาดความกล้าที่จะมานั่ง
หรือให้ผู้อื่นช่วยวิเคราะห์ให้ เพราะในส่วนลึกๆ ก็มีความกังวลว่า หากวิเคราะห์กันไปมาแล้วสรุปว่า
เขาคงไม่ใช่คนที่เราแต่งงานด้วย เราก็คงจะไม่ทราบจะทำอย่างไรกับตัวเอง ใครๆ เขาก็รู้กันให้แซด
หมดแล้วว่าเราเป็นแฟนกัน แล้วจู่ๆ ก็จะมาให้เลิก เราคงอายเขาทั่วแผ่นดิน ฯลฯ หากคุณคิดแบบนี้
ก็น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง ผู้หญิงทุกคน หากยังมีความลังเลสงสัยในคนที่เราจะแต่งงานด้วย
แม้สักเพียงนิดเดียว คุณจะต้องทำความกระจ่างให้เกิดขึ้นกับจิตใจคุณทันที ไม่ใช่หลับหูหลับตา
แต่งกับเขาไปทั้งๆ ที่รู้ว่า
มีบางสิ่งบางอย่างที่ยังไม่ชัดเจน และไม่ได้พูดคุยกัน ดังนั้นการไปหาผู้รู้ที่จะช่วยสร้างความกระจ่างให้
ย่อมดีกว่าคุณคิดเพียงคนเดียว เพราะคนเรามักจะเข้าข้างตนเองอยู่เสมอโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่รักกัน
เราจะไม่มองความผิดพลาดอะไรของคนที่เรารักแม้แต่น้อย คุณจะต้องพยายามสร้างความกล้า
ให้เกิดกับจิตใจให้ได้ และไปหาหรือนัดเวลาที่จะเจอกับผู้รู้นั้นๆ ดูคนที่เขารักในมุมมองที่หลากออกไป
จากที่คุณมอง มันจะทำให้คุณมีความมั่นใจมากขึ้นหากเขาเป็นผู้ชายที่ดีสำหรับคุณจริงๆ
2.
กำหนดว่า ความพยายามที่จะ "หลุด" ออกมาจากวงจรอุบาทว์ของความรักที่ไม่สร้างสรรค์ของคุณ
เป็นสิ่งที่คุณต้องทำเป็นอันดับแรก
ข้อนี้หมายความว่า คุณต้องแก้ไขรูปแบบความสัมพันธ์ที่ผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่าของคุณให้ได้ก่อน
ขอให้คิดว่า แต่ก่อนคุณเคยนึกอยากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเขา (ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีใคร
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของใครได้เลย) แต่ปัจจุบัน ให้หันพลังงานที่จะไปวุ่นวายกับชีวิตของเขา
มาดูแลปรับเปลี่ยนตัวเองจะไม่ดีกว่าไปเปลี่ยนคนอื่นดอกหรือ คุณเปลี่ยนเขาไม่สำเร็จหรอก
เขาเป็นของเขาแบบนี้มาตั้งนานแล้ว คุณจะเปลี่ยนได้ก็เพียงตัวคุณเท่านั้น
การหันพลังงานมาปรับเปลี่ยนตนเอง ถือว่าเป็นความพยายามขั้นต้นของคุณที่จะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น
ไม่ต้องติดอยู่กับความรักที่ไม่งอกงามครั้งแล้วครั้งเล่า และยังถือเป็นการที่คุณเริ่มแสดงความรัก
ตัวเองออกมาเป็น ดูแลตัวเองเป็น ไม่ใช่ใช้เวลาทุ่มไปดูแลคนที่เขาก็ไม่ได้อยากให้คุณ
ไปวุ่นวายอะไรกับเขานัก
ความพยายามที่คุณอยากจะช่วยตัวเองให้ "หลุด" ออกมาจากรูปแบบพฤติกรรมเดิมๆ ซ้ำๆ ซากๆ นี้
หมายความถึงการให้การศึกษาแก่ตัวเองด้วย ในขณะเดียวกัน นอกจากไปหาผู้รู้เพื่อพูดคุยแก้ปัญหาแล้ว
คุณอาจจะลองหาหนังสือประเภทจิตวิทยาต่างๆ มาอ่าน จะทำให้คุณเข้าใจในเรื่องของชีวิต
และพัฒนาการของจิตใจดีขึ้น ซึ่งถ้าเปรียบก็คงคล้ายกับหากคุณเป็นคนไข้ และหมอบอกว่า
คุณเป็นโรคความดัน คุณก็คงอยากจะหาความรู้ในเรื่องของโรคนี้มาอ่านใช่หรือไม่ ?
เรื่องของจิตใจก็เช่นกัน การรู้จักอ่านหรือพยายามเข้าใจสภาวะของผู้หญิงที่รักล้นต่างๆ
ก็จะช่วยทำให้คุณเข้าใจในตัวเองดีขึ้นตามไปด้วย มิเช่นนั้นแล้วคุณก็คงยังวุ่นวายเข้าไปเกี่ยวข้อง
กับสถานการณ์ที่ทำให้เกิดทุข์แบบเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า
3.
นำเอาคำสอนทางศาสนามาใช้ให้เป็นประโยชน์
ข้อนี้หมายความว่า คนเราเมื่อเวลาเรามีความทุกข์ เรามักจะพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพ
ให้ช่วยเหลือเราไม่ว่าเราจะเป็นชาวพุทธ คริสต์ หรืออิสลาม ล้วนอยู่ในกฎอันเดียวกันทั้งสิ้น
นั่นก็คือ เราอยากมีที่พึ่งทางจิตใจ คนส่วนใหญ่ถ้าเราลองไปถามเขาดูถึงเหตุผลของการเข้าวัด
เขาก็จะตอบต่างๆ กันออกไป แต่คงจะมีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยที่ตอบว่า เพราะเขามีความทุกข์
จึงหันหน้าเข้าวัด หาที่สงบใจ และเมื่อเข้าวัดแล้ว เขารู้สึกถึงความปล่อยวางหลายอย่างในชีวิตได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นชาวพุทธ และคุณลองฝึกปฏิบัติตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คุณจะเข้าใจได้อย่างดีว่า พุทธศาสนาสอนให้คนรู้ว่าทุกข์เป็นสิ่งที่มาคู่กับความเป็นมนุษย์
คำสอนของพระพุทธองค์ทุกข้อ ล้วนแต่เน้นในเรื่อของการช่วยบุคคลให้รู้จักวิธีแก้ทุกข์ทั้งสิ้น
และเมื่อคุณได้เข้าใจทุกข์แล้ว
คุณก็จะเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งก็หมายความว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา ล้วนมาแต่เหตุและปัจจัย
ที่เกิดจากการกระทำของตนเองทั้งสิ้น การยอมรับด้วยการเปิดใจ ไม่ต่อต้านและดำเนินชีวิตให้ดีที่สุด
จะทำให้คุณยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางพุทธศาสนา
เน้นเรื่องการเห็นความไม่เที่ยงในสรรพสิ่ง คือทุกอย่างล้วนมีแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
ถ้าคุณเกิดเข้าใจในเรื่องนี้คุณก็จะทำใจได้เมื่อมีสิ่งไม่สบอารมณ์เกิดกับชีวิตของคุณ
คุณก็จะบอกได้ว่า "เออ รู้อยู่แล้วว่ามันไม่เที่ยง มันก็ต้องเปลี่ยนไปเช่นนี้เอง"
ถ้าคุณคิดอย่างนี้บ่อยๆ เหตุการณ์อะไรๆ ก็จะไม่สั่นคลอนชีวิตของคุณ คุณก็จะมีความสงบใจได้ในที่สุด
แต่สมมุติว่าคุณเป็นชาวคริสต์ หรืออิสลาม ที่เชื่อในพระเจ้าและเชื่อว่า พระเจ้าเป็นผู้บันดาลให้สิ่งต่างๆ
เกิดขึ้นในโลก รวมทั้งสิ่งที่เกิดกับชีวิตของคุณ คุณก็คงจะต้องทำความเข้าใจว่าเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวง
ที่คุณประสบมาล้วนมาจากประสงค์ของพระเป็นเจ้า ซึ่งพระองค์ก็คงจะมีเหตุและผลบางอย่าง
ที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิด ถ้าคุณทำใจได้เช่นนี้ คุณก็คงจะยอมรับว่า ทุกอย่างล้วนเป็นบัญชาของพระเจ้า
คุณก็คงจะไม่เศร้าโศกเสียใจมากนัก ในเรื่องความสัมพันธ์หรือความรักที่ทำให้คุณชอกช้ำระกำใจนั้น
คุณก็อาจจะคิดได้ว่า การที่เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดกับชีวิตของคุณ อาจจะเป็นเพราะพระเป็นเจ้า
ต้องการให้คุณมีความเข้มแข็งมากขึ้นก็ได้ การปรับเปลี่ยนมุมมองนอกจากจะทำให้คุณหลุดออกมา
จากสภาวะของการนั่งทุกข์นอนทุกข์ คิดแต่จะทำอย่างไรที่จะให้เขากลับมาหาคุณอีกก็จะหมดไป
คุณก็จะเป็นบุคคลที่แจ่มใสก้าวไปสู่วันใหม่ของชีวิต โดยไม่ "ติดค้างใจ" อยู่กับความสัมพันธ์เก่าๆ เซ็งๆ
เสียเวลาของชีวิตไปโดยใช่เหตุ
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเป็นคนที่ "ไม่มีศาสนา" คือพูดง่ายๆ ก็คือ คุณไม่นับถือใคร หรืออะไรทั้งสิ้น
คุณก็ยังสามารถใช้การเข้าใจในเรื่องของสิ่งที่เป็นนอกเหนือธรรมชาติได้บางส่วน คือคุณต้องเข้าใจว่า
หลายอย่างในชีวิต เป็นสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธรรมชาติ เช่น ฝนตกฟ้าร้อง
หรือเรื่องของการเกิดแก่เจ็บตาย รวมทั้งเรื่องของการที่ใครจะรักเราชังเรา เราก็ไม่มีอำนาจไปสั่งห้าม
หรือขอร้องให้เขามารักมาชังเราได้ ถ้าคุณเข้าใจเพียงแค่นี้ คุณก็จะยอมรับได้ว่า เหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวง
ที่เกิดกับชีวิตของคุณ เป็นบางส่วนเท่านั้นที่คุณควบคุมได้ แต่เรื่องราวหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนอื่นๆ
ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถบังคับให้เป็นไปตามคุณต้องการได้ ดังนั้น เรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้คุณชอกช้ำใจ
ล้วนไม่ใช่สิ่งที่คุณจะทำอะไรได้เลย และความเชื่อตรงนี้ ก็เป็นประโยชน์ที่ทำให้คุณไม่ต้องพยายาม
ทำให้เขากลับมาหาคุณ เขาจะมาหรือเขาจะไป ก็เป็นเรื่องของเขา ต่อให้คุณดีเป็นแม่พระ ถ้าเขาจะไปจากคุณ
คุณก็ห้ามเขาไม่ได้ แต่คุณจะต้องรู้ไว้อย่างหนึ่งว่า แม้ว่าคุณจะไม่เชื่อในเรื่องของศาสนาหรือกรรมก็แล้วแต่
แต่คนเราเมื่อมีความทุกข์ บ่อยครั้งที่เราไม่มีพลังใจที่เข้มแข็งเพียงพอที่จะฟันฝ่าความทุกข์ในช่วงนั้นของชีวิตได้
เหมือนเวลารถที่แบตเตอรี่อ่อน เราอาจจะเครื่องดับได้ง่าย เราจึงต้องการพลังที่สูงกว่า เหนือกว่าเรา
ที่จะมาคอยช่วยขับเคลื่อนจิตใจที่อ่อนล้านี้ให้ก้าวต่อไป ดังนั้นถ้าจะให้ดีคนที่ไม่นับถือหรือศรัทธาสิ่งใดเลย
อาจจะต้องสร้างกัลยาณมิตร เพื่อนผู้ให้พลังใจ หรืออาจจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ได้ที่จะช่วยทำให้เราก้าวเดินได้ต่อไป
4.
หยุดความคิดที่จะเข้าไปวุ่นวาย จัดการหรือควบคุมชีวิตผู้อื่น
ในข้อนี้มีความหมายถึงการหยุดที่จะไปเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตของเขา ไม่ไปควบคุม
หรือพยายามทำตัวเป็น
"แม่ไก่" คอยดูแลปกปักรักษาเขา คุณไม่มีทางไปควบคุมใครได้เลย อย่าพยายามคิดว่า
เขาต้องการการช่วยเหลือจากคุณ การเข้าไปวุ่นวายทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของชีวิตเขาจะทำให้เขารำคาญ
และการคิดว่าจะพยายามแก้ไขปัญหาในชีวิตของเขาให้หมดไป ก็ให้เลิกคิดเสียโดยพลัน
ปัญหาของใครก็ปัญหาของมัน คุณเองก็ยังเอาตัวไม่รอดแล้วทำไมยังชอบไปคิดแบกของคนอื่น
ให้หนักใจตัวเองเปล่าๆ การกระทำเช่นนี้ของคุณจะทำให้เขาไม่ต้องรับผิดชอบกับปัญหาของตัวเอง
และหากคุณพยายามอย่างสุดๆ แล้ว ปัญหาของเขายังไม่มีทีท่าว่าจะหมดไปได้ง่ายๆ คุณเองเสียอีก
ที่จะกลับมานั่งกลุ้มแทนเขาและแทนที่เขาจะชื่นชมในความพยายามช่วยของคุณเขากลับโยนความผิด
มาให้คุณอีกต่างหาก
การไม่เจ้ากี้เจ้าการยังหมายความถึงการไม่ไปแนะนำหรือให้คำปรึกษาแก่เขา คุณต้องเข้าใจว่า
คนเรามีทางออกของปัญหาไม่เหมือนกัน รวมทั้งวิธีแก้ไขด้วย หากคุณเห็นว่า เขากำลังสับสน
และคุณต้องการเข้าไปแนะโน่น ทำนี่ โปรดคิดเอาไว้เพียงในใจ เก็บคำพูดของคุณเอาไว้ใช้เวลาอื่น
ถ้าอยากจะห่วงให้ห่วงเขาในใจ แต่อย่าแบกเขา อย่ายื้อเขา ผู้หญิงบางคนก็จะใช้วิธีไม่ได้ด้วยเล่ห์
ก็เอาด้วยกล แต่มันจะไม่ได้ผลเลย การอยู่เฉยๆ หมายถึงการเคารพในตัวผู้อื่นเพียงพอ
ที่จะไม่เข้าไปจัดการให้แก่เขาทั้งๆ ที่คุณอยากทำจนตัวสั่น ให้นึกว่า เขาต้องแก้ปัญหาของเขาเอง
คุณทำได้ดีที่สุดก็คือ ผู้รับฟังถ้าเขามาเล่าอะไรให้ฟัง แต่เขาไม่ใช่เด็กเล็กๆ ที่ไม่รู้ความ แทนที่คุณจะไปเป็น
"แม่ชีเทเรซ่า" กับเขา ให้คุณดูแลตัวเองจะดีกว่า การดูแลตัวเองอาจจะหมายถึงการที่คุณจะต้องเผชิญ
กับความกังวลว่า คุณอาจจะสูญเสียเข้าไป ความเคยชินที่จะเข้าไปจัดการกับชีวิตคนอื่น การฝึกอบรมปล่อย
และการวางอาจเป็นเรื่องที่ยากที่สุดสำหรับผู้หญิงที่ชอบบงการชีวิตของคนอื่น แต่คุณจำเป็นต้องฝึกเอาไว้
เพราะในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครที่อยากให้ผู้อื่นไปวุ่นวายกับชีวิตของเขา ตัวคุณเองก็เหมือนกัน
หากใครมาทำตัวเป็นเจ้าชีวิต คุณก็คงไม่ชอบมิใช่หรือ ?
อย่างไรก็ดี คุณจะต้องเข้าใจด้วยว่า การวางใจเป็นกลางกับความใจดำ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวนั้นไม่เหมือนกัน
คนใจดำคือคนที่ไม่แคร์ว่าคนอื่นเขาจะเดือดร้อนใจอย่างไร ฉันก็จะเป็นของฉันเช่นนี้ แต่การวางใจเป็นกลาง
หมายถึงการอ่านสถานการณ์ที่แท้จริงออก และรู้ว่าเมื่อใดควรทำอะไร และอย่างไร หรือเมื่อไรควรวางเฉย
ยิ่งกว่านั้นคุณจะพบว่า หากคุณหยุดการใช้พลังงานของคุณไปวุ่นกับชีวิตผู้อื่น
คุณจะมีพลังงานเพียงพอที่จะมาใช้ในการดูแลตัวเองจัดการกับชีวิตของตนเองอย่างสร้างสรรค์
และแก้ปัญหาให้กับตัวเองได้ดีกว่าการไปทุ่มเทกับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์เช่นการควบคุมคนอื่น
5.
พัฒนาการสื่อสารในทางสร้างสรรค์ ไม่ใช่ทิ่มแทงหรือก้าวร้าว
บ่อยครั้งเวลาที่เราไม่พอใจ เรามักจะพูดจาก้าวร้าวผู้อื่น แทนที่เราจะบอกว่า เราหงุดหงิดเรื่องอะไร
เรากลับต่อว่าเขาด้วยคำพูดหรือการกระทำที่กระแทกกระทั้นแสดงออกถึงสภาพจิตใจที่มีอารมณ์โกรธเป็นพื้นฐาน
ดังนั้นผู้หญิงที่รักล้น ควรจะต้องมีวิธีพัฒนาการสื่อสารของตัวเองเสียใหม่ ให้เป็นการพูดในแนวที่สร้างสรรค์
แต่ยังแสดงออกถึงความรู้สึกได้โดยไม่ก้าวร้าว เช่น
ภรรยา : เดี๋ยวนี้เราไม่เห็นเคยไปไหนด้วยกันเลย คุณแต่ข้ออ้างโน่นอ้างนี้ตลอดเวลา
สามี : ก็จริงนี่ ผมทำงานคุณก็รู้อยู่ จะมีเวลาว่างเหมือนคนอื่นได้อย่างไร
ภรรยา : คนอื่นที่เป็นสามีภรรยากันฉันไม่เห็นสามีเขายุ่งแต่งานเหมือนอย่างคุณเลย
สามี : คุณรู้ได้อย่างไร ทุกครอบครัวเขาก็มีเรื่องด้วยกันทั้งนั้นแหละ
จริงๆ แล้วถ้าเรามาวิเคราะห์ให้ดี จะพบว่า ภรรยาอยากให้สามีมีเวลาให้ครอบครัวให้มากขึ้น
แต่แทนที่เธอจะสื่อสารกับเขาตรงๆ เธอกลับใช้คำพูดต่อว่าเขาในประโยคแรก
ทำให้เขาต้องป้องกันพฤติกรรมของเขาเองในประโยคต่อมา ดังนั้นแทนที่ภรรยาจะพูดดังกล่าว
เธออาจจะพูดว่า
ภรรยา : ฉันอยากเห็นครอบครัวเราไปเที่ยวไหนด้วยกันให้บ่อยขึ้น
สามี : ช่วงนี้เผอิญงานเข้าเยอะมาก แต่ถ้ามีเวลาว่างผมจะพยายามปลีกตัวมา
คุณอยากไปไหนล่ะ
จะสังเกตเห็นว่า การตอบของสามี แม้จะยังไม่ตอบสนองความต้องการของภรรยาได้อย่างเต็มที่
แต่เขาก็แสดงความตั้งใจที่จะเปิดช่องไว้สำหรับความต้องการของภรรยา ซึ่งเธอก็คงไม่เสียใจอย่างในกรณีแรก
ดังนั้น การสื่อสารที่สร้างสรรค์ จะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งลงไปจากความสัมพันธ์ได้อย่างมาก
6.
เผชิญกับปัญหาและจุดอ่อนของตนเองอย่างกล้าหาญ
คนเราส่วนมากเมื่อมีปัญหาเรามักจะโยนไปให้ผู้รับผิดชอบกับการที่เราเป็นคนอย่างนี้
มีบุคลิกภาพแบบนี้หรือนิสัยเช่นนี้ การเผชิญกับความจริงของตนเอง อาจจะเป็นสิงที่คุณไม่คุ้นเคย
รวมทั้งการมานั่งดูตัวเอง และพฤติกรรมที่คุณมีกับคนที่คุณชอบเขาคนแล้วคนเล่า
แต่การเข้าใจตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะเป็นก้าวแรกที่คุณหยุดวิธีการเก่า กับคนชนิดเดิมๆ
ที่สร้างแต่ปัญหาให้กับการมีความสัมพันธ์ของคุณ
การเผชิญกับปัญหาอาจจะเป็นการที่คุณมองชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง ทั้งในด้านที่ทำให้คุณมีความสุข
และทำให้เกิดทุกข์ ให้เขียนใส่ไว้เป็นบัญชีหางว่าว สำรวจให้หมดทั้งความทรงจำในความสุขสดชื่น
และที่เจ็บปวดรวดร้าว สิ่งที่เป็นความภาคภูมิใจในชีวิต รวมทั้ง พฤติกรรมที่ถูกกระทำ
หรือที่กระทำให้ผู้อื่นทุกข์เดือดร้อน และพิจารณาดูในส่วนต่างๆ ที่กล่าวมานี้อย่างละเอียด
โดยไม่หลอกตัวเองและหาให้เจอว่า สิ่งใดในชีวิตที่มักทำให้คุณต้องวุ่นวายอยู่เสมอ เช่น
บางคนอาจจะมีปัญหาในเรื่องของเพศสัมพันธ์ บางคนอาจจะมีในเรื่องไปรักคนที่ไม่สมควรรัก
หรือบางคนก็อาจจะมีปัญหากับความสัมพันธ์ที่มีกับลูก (คือไม่สามารถทำอะไรกับลูกได้)
ถ้าคุณเจอว่าเรื่องใดในชีวิตแล้ว ขั้นต่อไปก็ให้เขียนคล้ายประวัติศาสตร์ของชีวิตคุณ
ตั้งแต่ยังเล็กที่มีกับเรื่องเหล่านั้น สมมุติว่า คุณมีปัญหาเรื่องไปชอบผู้ชายที่มักทำร้ายจิตใจคุณ
ก็ให้คุณเขียนเรื่องความสัมพันธ์ที่คุณมีกับคนที่เป็นเพศชายตั้งแต่เริ่มจำความได้เลย เช่น
คุณอาจจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นกับพ่อของคุณมาตั้งแต่เด็ก คือทะเลาะกันอยู่เรื่อยหรือพ่อไม่สนใจคุณ ฯลฯ
เมื่อคุณเขียนประวัติศาสตร์ของชีวิตในส่วนนี้เสร็จสิ้นลง ก็นำไปคุยกับใครสักคนที่เขาพร้อมที่จะรับฟัง
โดยไม่ตัดสินคุณ อาจจะเป็นกัลยาณมิตรกับคุณก็ได้ แต่ไม่ควรนำไปเล่าให้กับผู้ชายที่คุณชอบฟัง
เพราะยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะต้องมารับรู้เรื่องราวหนหลังของคุณ การกระทำเช่นนี้ เราต้องการทำให้คุณ
ได้เห็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่มักจะเกิดซ้ำๆ ในชีวิตของคุณ เพื่อคุณจะได้รู้จักหน้าตาของมัน
และไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับรูปแบบนี้อีกถ้าคุณเผอิญไปเจอครั้งต่อๆ ไป นอกจากนี้
การทบทวนชีวิตยังมีคุณค่าที่ทำให้คุณไม่ไปกล่าวโทษผู้อื่นว่า เขาคือต้นเหตุที่ทำให้คุณเป็นเช่นนี้
เราต้องการให้คุณปลดปล่อยตัวเองมาจากความเจ็บปวดที่พันธนาการคุณไว้ตั้งแต่ในวัยเด็ก
ที่อาจจะเกิดจากความไม่ตั้งใจของพ่อแม่ของคุณแต่มันกลับทำให้คุณยัง "ค้างคาใจ" มาได้จนทุกวันนี้
การหลุดออกมาจากวงจรเก่าๆ ที่ไม่สร้างสรรค์ จะทำให้คุณสามารถก้าวไปสู่ความมีอิสระ
ในการเป็นตัวของคุณเองที่แท้จริงได้ ไม่โทษผู้อื่น เปิดใจยอมรับลักษณะของตนเอง
มีอิสระที่จะเลือกใหม่กับความสัมพันธ์ที่ต่างไปจากเดิมได้
7.
ก้าวสู่การเป็นบุคคลที่คุณอยากเป็น
ในหัวข้อนี้หมายความว่า อย่าผูกชีวิตติดไว้กับคนอื่น รักเขาแต่ในขณะเดียวกัน
ก็ให้รู้จักรักตัวเองให้มากเพียงพอที่จะต้องการพัฒนาตนไปสู่บุคคลที่คุณอยากเป็น
กล้าที่จะลุกขึ้นมาจัดการกับชีวิตของตนเอง ถ้าคุณเคยเป็นแต่ช้างเท้าหลัง (ซึ่งตอนนี้ช้างเท้าหน้า
กำลังเดินไปคนละทิศละทางกับที่คุณอยากเดิน) ก็ให้คุณลองวางแผนการสำหรับชีวิตของตัวเองได้บ้างแล้ว
อย่าคิดเพียงว่า ฉันจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าขาดเขา ถ้าคิดเช่นนั้น ก็ให้ถามตัวเองว่า ก่อนเจอเขาคุณยังอยู่ของคุณได้
มาในช่วงนี้ ถ้าเขาจะอยู่หรือเขาจะไป ก็คงไม่สำคัญเท่ากับการที่คุณจะเดินต่อไป เปรียบคล้ายกับคุณ
เป็นต้นไม้ที่สมควรโตไปเรื่อยๆ ไม่ควรมีผู้ชายคนไหนในโลกที่จะใช้ความรักของเขา
มาทำให้คุณต้องหยุดโตเพื่อเขา ถ้าเขารักคุณจริงเขาต้องภูมิใจที่เห็นคุณงอกงามไปได้ตามศักยภาพของคุณ
แต่ถ้าเขาต้องการครอบคุณ ไม่ยอมให้คุณเติบโต ความรักของเขาก็คงเป็นเพียงความรักแบบบอนไซ
ไม่ใช่ความรักที่แท้จริง ไม่สมควรแก่การรักตอบ เพราะมันเป็นเพียงความรักเพื่อตัวเขาไม่ใช่เพื่อตัวคุณ
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้หญิงบางคนที่รักล้น อาจจะทำสิ่งนี้ไม่เป็น คือ ไม่คิดว่าอยากทำอะไรเพื่อตัวเอง
และคิดเพียงว่า ถ้าฉันทำอะไรให้เขาได้ ฉันจึงจะมีความสุข
ถ้าคุณเป็นผู้หญิงแบบนี้ก็คงจะต้องกลับไปอ่านในข้อ 4 ที่เราห้ามไม่ให้คุณไปวุ่นวาย
ทำตัวเป็นแม่ชีเทเรซ่ากับชีวิตของเขา เพราะการกระทำอย่างนั้นเป็นการกระทำที่มาจากความ
"ขาด" ของตัวเอง ไม่ใช่จากความต้องการรักเขา ดังนั้นคุณผู้หญิงที่รักล้นทั้งหลาย
อาจจะต้องปรับรูปแบบการมีความสัมพันธ์เสียใหม่ให้ถูกต้อง คุณต้องรู้จักดูแลตัวเองให้ดีขึ้น
(แทนการไปวุ่นวายดูแลผู้อื่น) ให้รางวัลตัวเองให้มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากสำหรับคุณเพราะคุณชินที่จะ
"ให้" ผู้อื่นเสียจนเคย พอจะต้องให้ตัวเองคุณกลับทำไม่ค่อยจะเป็น แต่เราขอให้คุณทำในสิ่งที่คุณ
ไม่เคยทำนี้ให้บ่อยขึ้น ถ้าคุณรักตัวคุณเอง เราต้องการให้คุณหัดเติมสิ่งที่คุณเคยขาด ด้วยตัวของคุณเอง
แทนการรอคอยไปเติมจากคนที่เขาเองก็ขาด คุณลองคิดดูง่ายๆ คนที่หิว 2 คนมาเจอกัน ต่างฝ่ายต่างคอย
ให้อีกฝ่ายหนึ่งมาเติมให้ แต่ทั้งสองฝ่ายกลับไม่รู้ว่าจะเติมอย่างไร เพราะตัวเองก็ยังขาดอยู่เลย
แล้วคุณจะให้ผู้อื่นในสิ่งที่คุณไม่มีได้อย่างไร ลองคิดดูง่ายๆ
ดังนั้น การหัดรู้จักรับและให้กับตัวเองต้องเป็นสิ่งที่คุณถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำให้กับชีวิตคุณแล้ว
และสิ่งหนึ่งที่เราต้องการให้คุณให้กับตัวเองก็คือ ลองคิดซิว่า มีอะไรที่คุณยังอยากทำแล้วคุณยังไม่ได้ทำ
ในการพัฒนาตัวของคุณเอง เช่น หากคุณคิดว่า คุณอยากจะเรียน INTERNETให้เป็นเหมือนชาวบ้านเขา
เพราะเดี๋ยวนี้ใครๆ เขาก็ทำเป็นกัน แต่เผอิญคุณมามีความรัก และก็ต้องใช้เวลาทุ่มเทให้กับคนรัก
จนคุณลืมนึกถึงตัวเอง ทุกลมหายใจเข้าออกจะเป็นเรื่องของเขาไปหมด ถ้าเป็นเช่นนี้ แสดงว่า
คุณกำลังมีอาการของผู้หญิงที่รักล้น คุณจำเป็นที่จะต้องหยุดการทุ่มเทในลักษณะหมดจิตหมดใจให้กับเขา
และหันมาใส่ใจในตัวตนของคุณมากขึ้น ปรับตัวปรับใจในเรื่องความสัมพันธ์เสียใหม่
คุณต้องมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง ทำในสิ่งที่คุณอยากทำ ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ รับรองว่า
คุณจะมีความรู้สึกที่ดีกับตัวเองมากขึ้นและก็จะไม่มีการใช้คำพูดประเภททวงบุญคุณกับเขาเช่น
"ถ้าฉันไม่มาเสียเวลากับคุณในช่วงนั้นละก็ ฉันคงไปได้ไกลกว่านี้แล้ว
"
8.
เรียนรู้ที่จะดูแลตัวเองให้ดีขึ้น
คนเรานั้น ถ้าเราไม่รักตัวเองเสียแล้ว เราจะไม่สามารถรักคนอื่นได้เลย การเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง
หมายความถึง การดูแลในความต้องการของตัวเอง อย่าทำตัวเป็นแม่พระจนเกินไป
ผู้หญิงบางคนไม่เคยใส่ใจความต้องการของตัวเลย ในหัวสมองมีแต่เรื่องของลูกและสามี
พลังของพวกเธอจึงทุ่มไปกับการทำให้คนที่เธออยู่ด้วยมีความสุขในทุกรูปแบบ แต่เมื่อปรากฏว่า
บุคคลเหล่านั้นไม่ได้สนองตอบในความรักของเธอ เธอก็จะทนไม่ได้ เจ็บปวดรวดร้าว
กล่าวโทษสามีและลูก บางคนก็เคียดแค้นทวงบุญคุณ ผู้หญิงที่รักล้นเหล่านี้หาความพอดีในตัวเองไม่เจอ
ไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวเอง ดังนั้นเมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้น เธอจึงรู้สึกเหมือนถูกทรยศหักหลัง
ในความรักที่เธอได้ "อุตส่าห์"
ทุ่มเทให้จนหมดตัว หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่รักใครแล้วทุ่มหมดตัว เราก็อยากจะขอให้คุณ
เผื่อให้กับตัวเองสักครึ่งหนึ่งก็ยังดี เพราะคุณจะได้มีที่ยึดเหนี่ยวหากมีอะไรเกิดขึ้นกับความรัก
ที่คุณมักจะทุ่มไปอย่างสุดๆ เช่นนี้
บางครั้งคุณต้องเรียนรู้ที่จะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวบ้าง ไม่ได้หมายความว่าไม่นึกถึงคนอื่นเลย
แต่เห็นแก่ตัวในแง่ที่ ใส่ใจในความต้องการของตัวเองให้เป็น ทำอะไรที่อยากทำ ไปไหนที่อยากไป
และก็เหมือนข้อ 7 ก็คือ เป็นบุคคลที่คุณอยากเป็น
แต่ในขณะเดียวกัน คุณจะต้องเข้าใจว่า การที่คุณลุกขึ้นมาเป็นตัวของตัวเองนี้
อาจจะได้รับการต่อต้านจาก "เจ้าเหนือหัว" หลายๆ ชีวิตที่อยู่ด้วย แต่เราก็ขอให้คุณอดทน
ยืนหยัดอย่างสงบ คุณไม่ได้ทิ้งพวกเขาไปไหน คุณยังเป็นแม่ เป็นภรรยาอยู่ แต่คุณมีการเปลี่ยนแปลง
จากบทบาทเดิมที่เคยแต่การรับคำสั่ง ทำให้กับทุกคน มาเป็นคุณที่เริ่มทำอะไรให้แก่ชีวิตของตัวเองบ้างเท่านั้น
ใหม่ๆ เขาก็อาจจะไม่เคยชิน แต่อยู่ไปเขาก็จะชินไปเอง และเขาก็จะต้องยอมรับและเคารพในบทบาทใหม่นี้
ของคุณด้วย แม้ว่าเขาอาจจะไม่ชอบมันนัก แต่ถ้ามันเป็นความต้องการของคุณ และหากคุณได้ทำลงไป
คุณจะมีความสุขขึ้น และเคารพในตัวเองมากขึ้นด้วย
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงข้อเสนอแนะสำหรับผู้หญิงที่รักล้น แต่มันก็อาจจะใช้ได้กับผู้หญิง
ที่มีปัญหากับความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่นๆ ด้วย เพราะบางทีวิธีหนึ่งก็อาจจะใช้ได้กับหลายๆ ปัญหา
เพราะในเรื่องของความสัมพันธ์มักจะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน และเราก็คงไม่ปฏิเสธว่า
ในชีวิตเราจะไม่เคยเจอผู้หญิงที่รักล้นในรูปแบบใดแบบหนึ่งที่กล่าวมาแล้ว
ก่อนจะจบก็อยากจะขอเป็นกำลังใจให้กับผู้อ่านที่กำลังเจอปัญหาประเภทนี้
และสงสัยว่าทำไมหนอชีวิตเราจึงต้องเกิดเรื่องทำนองนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมมันไม่จบไม่สิ้น
หวังว่าข้อคิดของโรบิน นอร์วูด และของผู้เขียนเอง ก็อาจจะเป็นประโยชน์ ทำให้คุณเข้าใจ
ในเรื่องความสัมพันธ์ของตนเองดีขึ้นและหากคุณคิดจะเริ่มต้นใหม่ให้กับความสัมพันธ์ เราก็ขอเอาใจช่วย
และคิดว่าด้วยความพยายามที่จะให้ตนเองหลุดออกมาจากความสัมพันธ์ที่ไม่สร้างสรรค์กับคนที่ไม่สมควรรัก
คงจะเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณไม่หยุดการพยายาม ทำความเข้าใจกับตัวเอง และเมื่อคุณเจอ
และเข้าใจตนเองดีแล้ว คุณจะรู้สึกว่า มันเป็นการค้นหาที่คุ้มค่า และชีวิตของคุณก็จะเปลี่ยนจากการพ่ายแพ้
มาเป็นผู้ชนะที่แท้จริงได้ในที่สุด
ขอให้โชคดีค่ะ
โดยนวลศิริ เปาโรหิตย์
|