สามีภรรยาจำนวนไม่น้อยมักจะคิดว่า สมัยที่ยังไม่แต่งงานก็รู้สึกว่าทุกอย่างดีเลิศไปหมด
แต่พออยู่ด้วยกันนานๆ เข้ากลับบอกว่า ถ้ารู้ว่าเธอ/เขาเป็นแบบนี้ ไม่แต่งด้วยก็คงดีหรอก
ทำไมถึงนิสัย "ไม่ดี" อย่างนี้นะ
ภรรยาคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ได้แต่งงานกันไม่นาน ก็ได้พบว่าสามีมีนิสัย
ไม่ชอบเก็บของให้เป็นที่ เมื่อเข้าบ้านก็วางรองเท้าถึงเท้าเกะกะ เสื้อผ้าถอดเสร็จก็วางไว้
ทำให้ภรรยาต้องเป็นผู้ที่คอยตามเก็บ
ในช่วงแต่งงานใหม่ก็ยังเกรงใจและทำไปเพราะความรัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเป็นเดือน
ภรรยาเริ่มมีงานในความรับผิดชอบของตนเองมากขึ้น ภรรยาก็เริ่มรู้สึกว่าการทำสิ่งเหล่านี้เป็นภาระ
และเริ่มรู้สึกไม่พอใจทุกครั้งที่สามีวางรองเท้าเกะกะ ทิ้งเสื้อผ้าที่ใส่แล้วไม่เป็นที่เป็นทาง
ทำให้ภรรยากลายเป็นหญิงขี้บ่น หงุดหงิดและมักจะตำหนิการกระทำของสามีเสมอ
เมื่อสามีกลับมาบ้านในตอนเย็นพร้อมกับผิวปากหรือร้องเพลงก็จะไม่เห็นว่าสามีเป็นคนน่ารักอีกต่อไป
แต่จะเห็นเป็นคนนิสัยไม่ดี
การแก้ปัญหาของภรรยา แทนที่ภรรยาจะเรียกสามีมาพูดคุยกันดีๆ กลับต่อว่าต่อขาน
จนทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน สามีไม่รู้ว่าตนเองทำสิ่งใดผิดเพราะทำจนเป็นนิสัย
เมื่อภรรยาบ่นมากเข้าสามีก็เริ่มเบื่อทำให้ไม่อยากอยู่บ้าน หลังจากเลิกงานแล้วก็มักจะไปทานข้าวกับเพื่อน
หรือหมกมุ่นอยู่กับงานจนดึกดื่นภรรยาที่อยู่กับบ้านก็จะยิ่งหัวเสียไม่พอใจเมื่อสามีกลับบ้านมา
ก็กลายเป็นการชวนทะเลาะมากกว่าที่จะเห็นใจกัน ในที่สุดย่อมนำไปสู่การแตกร้าวยากจะเยียวยาได้
เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้แหละที่เกาะกินใจทั้งสามีภรรยาหลายต่อหลายคู่ในเวลานี
และไม่น่าเชื่อว่าเรื่องที่ดูเหมือนเล็กๆ น้อยๆ กลับทำให้ครอบครัวต้องถึงแก่กรรม
เลิกราจากกันมานักต่อนักแล้ว
การแต่งงานคือการที่คนสองคน ชาย-หญิง ตกลงปลงใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกันร่วมแบ่งปันทุกข์สุข
ความห่วงใยเอื้ออาทร การช่วยเหลือเกื้อกูล และการร่วมรับผิดชอบเป้าหมายอนาคตร่วมกัน
แต่สิ่งที่บิดเบี้ยวไปสักหน่อยก็คือ ทั้งคู่มักจะเริ่มชีวิตแต่งงานด้วยการมองกันและกันผ่าน
"แว่นแห่งความรัก" ที่เห็นแต่ข้อดีของอีกฝ่ายหนึ่งโดยที่ไม่คิดมาก่อนว่าตนเองต้องใส่แว่นสายตา
ที่เหมาะสมกับตนเมื่ออยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง
ในโลกแห่งความเป็นจริง การแต่งงานคือการที่คนสองคน ซึ่งมาจากพื้นภูมิครอบครัว
สิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันมาอยู่ด้วยกัน พื้นภูมิที่แตกต่างได้หล่อหลอมให้แต่ละคนมีความคิดค่านิยม
และนิสัยต่างกัน เมื่อต้องมาใช้ชีวิตร่วมกัน จึงกลายเป็นนิสัย "ขั้วตรงข้าม"
ที่สามารถสร้างความไม่พอใจความรู้สึก ไม่ยอมรับให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง
สามีอาจจะมาจากครอบครัวที่เลี้ยงดูแบบตามใจจึงติดนิสัยของความไม่มีระเบียบวินัย
ทำให้ภรรยาผู้มีระเบียบทนไม่ได้กับพฤติกรรมหลายอย่างของสามีหรือหากภรรยามาจากครอบครัวที่มัธยัสถ์
รักความประหยัดเวลาทานข้าวก็ต้องทานให้หมดไม่ให้เหลือไว้ แต่สามีมาจากครอบครัวที่มีค่านิยมว่า
ต้องทานข้าวเหลือไว้บ้างเพื่อแสดงถึงความมีฐานะก็อาจเกิดความไม่เข้าใจกัน
เราสามารยกตัวอย่างนิสัยขั้วตรงข้ามระหว่างสามีภรรยาได้มากมาย อาทิ
คนหนึ่งทานอาหารเช้า อีกคนหนึ่งไม่ทานอาหารเช้า
คนหนึ่งบีบยาสีฟันปลายหลอด อีกคนหนึ่งบีบยาสีฟันต้นหลอด
คนหนึ่งชอบอ่านหนังสือ อีกคนหนึ่งชอบคุย
คนหนึ่งชอบความมีระเบียบ อีกคนหนึ่งชอบความไร้ระเบียบ
คนหนึ่งชอบความประหยัด อีกคนหนึ่งชอบความฟุ่มเฟือย
คนหนึ่งชอบเลี้ยงสุนัข อีกคนหนึ่งเกลียดสุนัข
คนหนึ่งชอบสนุกกันเพื่อนๆ อีกคนหนึ่งชอบอยู่กับบ้าน
คนหนึ่งชอบการเอาใจ อีกคนหนึ่งไม่ชอบเอาใจใคร
ฯลฯ
นักจิตวิทยาคนหนึ่ง กล่าวว่า "การแต่งงานมักจะเผยให้เห็นจุดอ่อนต่างๆ ที่ซ่อนอยู่
แล้วผู้ที่เป็นเจ้าสาวก็จะพบว่าเธอไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดีพร้อมอย่างที่เธอคิดไว้"
นิสัยที่ตรงข้ามกันนับเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ในชีวิตสมรส การสะสมความรู้สึกไม่พอใจ
ในความแตกต่างเหล่านี้ โดยไม่จัดการอย่างถูกวิธีเป็นสาเหตุหนึ่งของการหย่าร้าง
ที่เกิดจากภาวะอารมณ์ (Emotional Divorce) อันเกิดจากความไม่พอใจในความสัมพันธ์ที่มีต่อคู่สมรส
ความรู้สึกผิดหวังในการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่ง
และความไม่สามารถทนได้กับความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในครอบครัวทั้งสองฝ่ายจะขาดแรงดึงดูด
และความไว้วางใจกัน จนคิดว่าไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันต่อไปได้
ส่วนหนึ่งของการหย่าร้างที่เพิ่มขึ้นจึงมาจากความไม่สามารถ "จัดการ" กับนิสัยที่ขัดแย้งกันนี้
อย่างถูกวิธีนั่นเอง
ในความเป็นจริง ปัญหาความขัดแย้งในนิสัยที่แตกต่างไม่ใช่เป็นเรื่องที่นำไปสู่การหย่าร้าง
หากใช้ "การสื่อสารอย่างมีศิลป์"
สื่อสารความคิด
ไม่เก็บงำ
การสื่อสารความคิด คือ การย้ายข้อมูลข่าวสารจากความคิดของเราไปสู่คู่สมรสของเรา
การย้ายความคิดของเราไปให้เขารับรู้
ความแตกต่างที่เกิดจากพื้นภูมิที่ต่างกัน เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องมีการพูดคุย
สื่อสารความเข้าใจกัน คู่สมรสต้องมีการถ่ายเทความคิดคือพูดสิ่งต่างๆ ที่เป็นความจริงเป็นความรู้สึกที่อยู่ในใจ
แลกเปลี่ยนความคิดระหว่างกันเสมอ พอใจ/ไม่พอใจสิ่งใดก็ต้องตั้งใจว่าจะสื่อสารให้เขาเข้าใจ
เพื่อไม่ให้มีสิ่งใดหรือความไม่พอใจใดตกตะกอนค้างอยู่ภายใน และเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ทั้งสองฝ่าย
จะสามารถรอมชอมเข้าใจกันได้
การสื่อสารความคิดในชีวิตครอบครัวเป็นเรื่องที่จำเป็น แต่กลับถูกละเลย
สามีภรรยาในหลายครอบครัวเก็บความไม่พอใจระหว่างกันไว้ โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่รู้ตัว
เมื่อไม่พอใจนานๆ เข้าก็เหมือนการอัดแก๊สเขาไปในลูกโป่ง เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ลูกโป่งรับไม่ไหวก็ระเบิดออกมา
ในที่สุดก็หลุดออกมาเป็นคำบ่นต่อว่า การแสดงสีหน้าไม่พอใจ การปฏิเสธที่จะสัมพันธ์ด้วย
ซึ่งเป็นการแสดงออกที่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่พอใจเช่นเดียวกัน เมื่อไม่พอใจกันมากเข้า
ก็กลายเป็นการทะเลาะวิวาท
การไม่สื่อสารความคิดต่อกันนับว่าเป็นสิ่งที่อันตรายยิ่ง เพราะจะทำให้ทั้งสองฝ่ายลำบากใจ
มีความรู้สึกว่าอยู่ในความทุกข์ ไม่สามารถเกิดความสุขได้ยิ่งต้องใกล้ชิดกัน ก็ยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
มีความรู้สึกว่าถ้าออกไปอยู่นอกบ้าน หรือออกไปอยู่คนเดียวได้ก็จะยิ่งดี ในที่สุดชีวิตครอบครัว
จะพบกันอุปสรรคมากมายทีเดียว
สื่อสารเพื่อการคืนดี
มิใช่เอาชนะ
หากเราเคยบ่นต่อว่า แสดงความไม่พอใจในพฤติกรรมของคู่สมรสเราไม่ควรจะหยิ่งเกินไป
ที่จะมึนตึงไม่ยอมคืนดี เพราะไม่ต่างอะไรกับการที่เราดึงยางยืดออกไปเรื่อยๆ ที่สุดมันก็จะขาดออกจากกัน
ทางที่ดีเราควรผ่อนยางเส้นนั้นลงจะดีกว่า เพื่อให้มันสามารถคงสภาพอยู่ได้ต่อไป นั่นคือ
การที่เรากล้าก้าวที่จะเข้าไปขอคืนดีก่อนแม้ความสัมพันธ์จะดูเหมือนขาดสะบั้นลง สิ่งที่เราควรทำก็คือ
- ในใจเราให้ภัยและปรารถนาความสัมพันธ์ที่ดีดังเดิม
- ตกลงเวลาล่วงหน้าในการคุยเรื่องที่มีปัญหาอย่างเฉพาะเจาะจง
- พูดเฉพาะเรื่องที่มีปัญหา ไม่นำเรื่องที่ตกลงในอดีตแล้วมาพูดอีก เรื่องที่จบไปแล้วก็ให้จบไป
- เอ่ยคำขอโทษในส่วนที่เรากระทำผิด เราต้องไม่หยิ่งเกินไปที่จะขอโทษอีกฝ่ายหนึ่ง
และไม่โจมตีสิ่งที่ผิดของเขา
- ตั้งใจเปลี่ยนแปลงร่วมกันเพื่อสัมพันธภาพระหว่างกันจะดีขึ้น
- ไม่ควรบังคับให้คู่สมรสเห็นด้วยกับทัศนะของเราแต่ชี้ให้เขาเห็นว่าอะไรผิดอะไรถูก
และให้เขาตัดสินใจเอง
- ยินดีพบกันครึ่งทางแม้ว่าเราถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่าแข็งจนทำให้แก้ปัญหาไม่ได้
- มุ่งหมายสัมพันธภาพที่ยั่งยืนยินดีสละทัศนะของตนเพื่อความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น
ด้วยหวังว่าในระยะยาวเราอาจจะชนะใจเขาได้
สื่อสาร
ด้วยความรัก
หากเรายึดความรักเมื่อแรกรักจะทำให้เรายอมรับเขาได้อย่างที่เขาเป็น
ถ้าเรามีความรัก ความรักจะละลายความกังวลใจ ความรู้สึกหงุดหงิดใจและทำให้เราเกิดความกล้า
ที่จะเข้าไปสื่อสารว่าเราคิดอย่างไรในพฤติกรรมของเขา โดยแสดงออกด้วยความรัก ความเข้าใจ
รู้ว่าคนเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายๆ ไม่ใช่แสดงออกด้วยการบ่นต่อว่า
หรือเรียกร้องให้เขาเปลี่ยนเพราะเอาแต่ใจตนเอง เราควรต้องสื่อสารความคิดของเรา
เพื่อให้เขาเข้าใจและยินดีเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดความสงบสุขในครอบครัว
เราต้องสื่อสารที่แสดงออกจนอีกฝ่ายสัมผัสได้ ว่ามาจากความรัก จากการวิจัยพบว่า
คำพูดนั้นสื่อสารได้เพียงร้อยละ 7 ระดับน้ำเสียงสื่อสารได้ร้อยละ 38 และสิ่งที่ไม่ได้เกิดจากเสียง
อันได้แก่ แววตา สีหน้า ท่าทาง การสัมผัส ฯลฯ สามารถสื่อสารได้ถึงร้อยละ 55
ดังนั้นการสื่อสารที่ให้คู่สมรสรู้ว่าเราทำมาจากความรักต้องใช้ภาษาท่าทางประกอบด้วย
การสบตา การโอบกอด สามารถบอกความหมายได้มากกว่าเนื้อหาที่พูด ดังนั้นหากเราต้องการ
ให้คู่สมรสของเราเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่าง เราจึงต้องแสดงออกด้วยความรัก
ด้วยการยอมรับและด้วยคำพูดที่อ่อนโยนสื่อสารว่าเราคิดอย่างไรกับพฤติกรรมของเขาจริงๆ
เป้าหมายประการหนึ่งในการแต่งงานของเรา คือการได้เพื่อนคู่คิดเพื่อนที่สนิทที่สุดของเรา
ควรจะเป็นสามีหรือภรรยาของเรา ถ้าเป็นเช่นนั้นเราต้องสามารถเปิดใจพูดคุยกันทุกเรื่องได้
มีความผูกพัน มีความจริงใจซื่อสัตย์ต่อกัน เอาใจใส่ในกันและกัน ยิ่งอยู่กันนาน ยิ่งรักกัน
ยิ่งผูกพันกัน ยิ่งมีเรื่องที่ต้องทำร่วมกันมากขึ้น การสื่อสารความเข้าใจระหว่างกันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
และจำเป็นหากเราต้องการชีวิตคู่ที่ยั่งยืน
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
|