"การป่วยจากแพ้อาหารส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง ส่วนน้อยที่อาการรุนแรงถึงขนาดคุกคามต่อชีวิต 
รายที่รุนแรงมักเกิดเมื่อรับประทานอาหารนอกบ้าน และอาหารที่แพ้ก็เป็นอาหารที่ทราบอยู่แล้วว่าแพ้ 
ปัจจัยอื่นที่ทำให้อาการรุนแรงคือ เคยเป็นโรคหอบหืด ชะล่าใจคิดว่าไม่แพ้ และไปรับการรักษาช้า" 
 คุณคงเคยได้ยินหรือเคยทราบว่าบางคนรับประทานบางอย่างไม่ได้
อ้างว่าแพ้บ้าง
กินแล้วไม่สบายบ้าง
กินแล้วเกิดผื่นคันบ้าง
ครับ การแพ้อาหารมีได้จริงๆ 
 ได้มีการสำรวจแล้วพบว่า ราวหนึ่งในสามของผู้ใหญ่เชื่อว่าตนเอง "แพ้อาหารบางชนิด" 
วงการแพทย์คาดว่าคนที่แพ้อาหารจริงๆ คงมีไม่ถึง 2% หรอก 
ที่เหลือเป็นอาการอย่างอื่น ที่ไม่ใช่การแพ้ในความหมายของแพทย์ 
ในเด็กเล็ก แพทย์พบว่าแพ้อาหารราว 5% มักพบส่วนใหญ่ภายในขวบแรกของอายุ 
และจะหายแพ้เมื่อโตขึ้น
โดยทั่วไปใครๆ ก็อาจแพ้อาหารได้ แต่เชื่อไหมครับว่า ความสามารถในการแพ้อาหารนี่
เป็นกรรมพันธุ์ครับ 
เด็กที่มีพ่อหรือแม่แพ้อาหารจะมีโอกาสแพ้อาหารเป็น 2 เท่า สูงกว่าเด็กที่พ่อหรือแม่ไม่แพ้อาหาร 
แต่ถ้าทั้งพ่อและแม่แพ้อาหารล่ะก็ ลูกเกิดมาจะมีโอกาสสูงถึง 4 เท่าของเด็กที่พ่อแม่ไม่แพ้อาหาร 
เรียกได้ว่ารับมรดกทั้ง 2 ทางเลยว่าเถอะ 
 เด็กหลายรายที่แพ้อาหารจะมีอาการแพ้หรือไวต่อสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ฝุ่น ละอองเกสร 
หรือสารจากแมว ด้วยหรืออาจเกิดแพ้ภายหลังก็ได้ 
นอกจากนี้ ในผู้ใหญ่ที่แพ้อาหารก็มักมีประวัติว่า ภูมิแพ้ของทางเดินหายใจ บริเวณจมูก
หรือหลอดลม (เช่น หอบหืด) ร่วมด้วยครับ
เรามารู้จักคำจำกัดความของ "การแพ้อาหาร" กันสักนิด 
การแพ้อาหาร หมายถึงปฏิกิริยาอันไม่พึงประสงค์ต่ออาหารหรือองค์ประกอบอาหารที่เกี่ยวข้อง
กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย 
เป็นปฏิกิริยาที่มีต่ออาหารที่ดูแล้วไม่มีพิษมีภัยอะไรกับคนทั่วไป 
และต้องเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันนะครับ จึงจะเรียกว่า "แพ้อาหาร" อย่างแท้จริง 
สารก่อภูมิแพ้ในอาหารอาจมีหลายตัวในอาหารชนิดหนึ่ง
ส่วนใหญ่เป็นพวกโปรตีนครับ ไม่ใช่พวกคาร์โบไฮเดรตหรือไขมัน 
เมื่อผู้ที่แพ้อาหารรับประทานอาหารที่แพ้เข้าไป สารก่อภูมิแพ้ในอาหารนั้นก็จะไปกระตุ้น
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สร้างสารต่างๆ ต่อกันไปแบบปฏิกิริยาลูกโซ่จนเกิดอาการแพ้
ออกมาให้เห็น 
 อาการแพ้อาหาร 
 แม้ว่าการแพ้อาหารจะเกิดกับอาหารชนิดใดๆ ก็ได้ ส่วนใหญ่ที่แพ้กันก็มักจำกัด
อยู่ในอาหารไม่กี่ชนิดครับ
ที่สำคัญได้แก่ นม, ไข่, ปลา,หอย, กุ้ง, ถั่ว, ข้าวสาลี, เมล็ดวอลนัท เป็นต้น 
อาการของการแพ้อาหารมักเกิดภายในไม่กี่นาที จนถึง 2-3 ชั่วโมง
หลังจากรับประทานอาหารที่แพ้เข้าไป 
แต่ในรายที่แพ้มากๆ เพียงแค่แตะหรือได้กลิ่นก็ออกอาการแล้วครับ
อาการที่พบบ่อยที่สุด ของการแพ้อาหารจะอยู่ที่ระบบทางเดินอาหาร 
เริ่มจากบวมหรือคันแถวริมฝีปาก ปาก หรือลำคอ
เมื่ออาหารตกถึงท้องจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หรือท้องเดิน เกิดขึ้นได้ 
อาการทางผิวหนัง เช่น คัน, ลมพิษ, ผิวแดงร้อน, หรือผื่นคัน ก็พบได้บ่อย 
บางคนอาจมีอาการจามน้ำมูกไหล หรือหายใจติดขัด 
แม้ว่าการแพ้อาหารอาจทำให้หอบหืดกำเริบได้แต่โดยทั่วไปแล้ว 
อาหารจะไม่เป็นเหตุที่พบบ่อยของหอบหืดครับ
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยหอบหืดที่สามารถูกกระตุ้นให้หอบได้จากอาหารมักจะเป็นผู้ที่เสี่ยง
ต่อการแพ้อาหารชนิดรุนแรงคุกคามต่อชีวิต 
อาการแพ้อาหารชนิดรุนแรงจนช็อกพบได้น้อยครับ 
เกิดจากมีการแพ้ที่อวัยวะหลายระบบพร้อมๆ กัน 
อาการจะหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น 
- ผื่นคัน ลมพิษ
 - เหงื่อแตก
 - บวมในลำคอ
 - หายใจลำบาก
 - ความดันโลหิตต่ำ
 - หมดสติ
 - อาจเสียชีวิต 
  
 
อาการของการแพ้อาหารแต่ละคนไม่เหมือนกัน ครับ
แตกต่างกันไปในแง่ของความรุนแรง, เวลาที่เริ่มมีอาการ ปริมาณอาหารที่รับประทาน 
และอวัยวะที่เกิดอาการ 
แม้แต่ในคนเดียวกันก็อาจแพ้ได้ต่างรูปแบบในการแพ้แต่ละครั้งครับ 
อาหารชนิดเดียวกันทำให้เกิดอาการได้ต่างกันมากมายในแต่ละคน 
และอาหารต่างชนิดกันก็อาจเกิดอาการต่างกันในคนคนเดียวกันครับ 
 การวินิจฉัย 
 การวินิจฉัยว่าแพ้อาหารอาจไม่ยาก ถ้าผู้ป่วยมีอาการอย่างเดิมทุกครั้ง
ที่รับประทานอาหารบางชนิด
เช่น วินิจฉัยว่าเด็กแพ้ถั่ว (พีนัท) เมื่อเด็กเกิดอาการอาเจียน และเป็นลมพิษ 
เมื่อรับประทานถั่วในโอกาสต่างๆ กัน 
แต่ไม่ง่ายอย่างนี้เสมอไปหรอกครับ
 อาการป่วยจากอาหารเกิดได้จากสาเหตุต่างๆ กันมากมาย 
จึงสมควรปรึกษาแพทย์ให้ช่วยวินิจฉัยแยกแยะโรคครับ
แพทย์จะซักถามจากประวัติเพิ่มรีบหาอาหารที่สงสัยว่าแพ้
หาปริมาณอาหารที่ทำให้เกิดอาการ
หาว่าใช้เวลานานแค่ไหน จากเริ่มรับประทานจนถึงมีอาการ
หาว่าแพ้บ่อยแค่ไหน
และรายละเอียดอื่นๆ ครับ 
 แพทย์ยังต้องตรวจร่างกายโดยละเอียด และอาจต้องตรวจพิเศษหรือตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมอีก
เพื่อที่จะตัดโรคอื่นที่ไม่ใช่การแพ้อาหารออกไป 
หมออาจให้ผู้ป่วยจดรายการอาหารที่รับประทานและบันทึกอาการและเวลาไว้ด้วย 
แพทย์อาจให้งดอาหารที่สงสัยว่าแพ้เป็นเวลาหลายๆ สัปดาห์เพื่อดูว่าอาการหายไปหรือไม่ 
เมื่ออาการลดลงหรือดีขึ้นอาจให้ลองกลับรับประทานอาหารนั้นดูใหม่ ว่าอาการแพ้กลับมาเป็นอีกไหม 
และยังมีการทดสอบอีกหลายชนิดที่แพทย์อาจนำมาใช้เพื่อช่วยยืนยันการแพ้อาหารของผู้ป่วยครับ 
ก็คงต้องเหนื่อยกันพอสมควรกว่าจะได้การวินิจฉัยที่แน่นอน 
 การรักษา 
 เมื่อวินิจฉัยและยืนยันได้แล้วว่า แพ้อาหารแน่ การรักษาที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลคือ
หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้ครับ
ในบางรายเมื่อหลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้ไประยะหนึ่งอาจหายแพ้ได้ 
ใช้เวลา 1-2 ปี หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้พบว่า ราว 1 ใน 3 ไม่แพ้อาหารนั้นอีก
แต่ถ้าแพ้พวกถั่ว (พีนัท) ปลา, กุ้ง,หอย มักจะแพ้ตลอดชีวิต เลี่ยงยังไงก็ไม่หายครับ 
 ผู้ที่แพ้อาหารควรมีแผนไว้รับเหตุฉุกเฉิน เมื่อเกิดแพ้ขึ้นมาโดยบังเอิญด้วย
เพราะการแพ้อาหารบางทีรุนแรงถึงชีวิต
ผู้ที่มีประวัติแพ้อาหารได้รับคำแนะนำถึงวิธีการฉีดและเมื่อไรจะฉีดยาเอ็พปิเน็ฟริน (อะเดรนาลิน) 
เมื่อเกิดเหตุการแพ้รุนแรงขึ้น 
ยานี้มีขายในรูปบรรจุไว้เสร็จในหลอดฉีดยาครับ ใช้สะดวกมาก
และควรมีติดตัวไว้เสมอสำหรับผู้ที่แพ้รุนแรง
ยาแอนตี้ฮิสตามีน (เช่น ยาแก้หวัด แก้แพ้ พวกคลอเฟนิรามีน) ก็พอช่วยได้กรณีแพ้ไม่รุนแรง
แต่ยาเอ็พปิเน็ฟรินเป็นยาช่วยชีวิตจริงๆ ครับถ้าให้ยาทันเวลา 
 นอกจากนี้ผู้ที่แพ้อาหารควรมีเครื่องหมาย แขวนคอ ผูกข้อมือ หรือในกระเป๋า ที่จะบอกให้ผู้พบเห็น
หรือผู้ช่วยเหลือทราบกรณีเกิดหมดสติ 
ในปัจจุบันยังไม่มียาที่มารักษาการแพ้อาหารในระยะยาวได้ 
การฉีดยาเพื่อลดการแพ้ที่ได้ผลในคนที่แพ้ฝุ่นหรือเกสรดอกไม้นั้นไม่แนะนำให้ใช้รักษาการแพ้อาหาร 
เพราะไม่ได้ผลและอาจเป็นอันตรายได้ 
 สาเหตุอื่นของปฏิกิริยาต่ออาหาร 
 ปฏิกิริยาอันไม่พึงประสงค์ต่ออาหารที่ไม่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันจะไม่เรียกว่าแพ้อาหาร
ปฏิกิริยาเหล่านี้ได้แก่ 
- อาหารเป็นพิษ
 - ปฏิกิริยาเชิงเมตาโบลิซึ่ม และ
 - อาการไม่พึงประสงค์อื่นๆ 
   
อาหารเป็นพิษเกิดเมื่อรับประทานอาหารที่มีสารพิษเข้าไป
ในบางกรณี อาหารเป็นพิษมีอาการคล้ายการแพ้อาหารมาก
เช่น ปลาทะเล ที่เก็บรักษาไม่ได้ เชื้อแบคทีเรียในปลาจะสร้างฮีสตามีนขึ้น 
เมื่อรับประทานอาหารปลานี้เข้าไปก็จะป่วยมีอาการคล้ายแพ้อาหารมาก
ในกลุ่มปฏิกิริยาเชิงเมตาโบลิซึ่มต่ออาหาร ร่างกายไม่สามารถย่อยบางส่วนของอาหารได้ 
เช่น บางคนดื่มนมไม่ได้เพราะลำไส้ขาดน้ำย่อยแล็คเตสซึ่งจำเป็นต่อการย่อยน้ำตาลแล็คโตส
ที่มีอยู่ในนม
เมื่อดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์จากนมเข้าไปก็จะเกิดอาการคลื่นไส้ มีลมในท้องมาก และถ่ายเหลว 
ในเด็กเมื่อป่วยจากโรคทางเดินอาหารอักเสบจากเชื้อไวรัส อาจเกิดภาวะย่อยนมไม่ได้ตามมา
แต่เป็นเพียงชั่วคราวครับ สามารถกลับมาดื่มนมและย่อยนมได้ปกติ เมื่อหายดีแล้ว 
ปฏิกิริยาบางอย่างต่ออาหารก็ยังไม่ทราบสาเหตุ 
สาเหตุทางด้านจิตใจก็อาจมีบทบาทสำคัญในกรณีนี้ครับ
นพ.อมรชัย หาญผดุงธรรมะ 
  |