สองฉบับที่ผ่านมา ผู้เขียนเขียนเรื่อง "เนยแข็ง-เนยเหลว" กล่าวถึงกรดไขมันทรานส์ในเนยเทียมหรืมาร์การีน
มีผู้อ่านท่านหนึ่งโทรศัพท์มาหา กล่าวว่าอยากให้ผู้เขียนระบุชนิดของมาร์การีน เพราะเนยเทียมมีหลายชนิด
ผลิตจากน้ำมันถั่วเหลืองบ้าง น้ำมันเมล็ดทานตะวันบ้าง น้ำมันปาล์มบ้าง มาร์การีนชนิดไหนให้กรดไขมันทรานส์
ควรระบุให้ทราบกันด้วย
ก็จริงครับว่าเนยเทียมมีหลายชนิด ในยุโรปและอเมริกาเหนือมีการใช้เนยเทียมกันมาก
เจอปัญหาจากเนยเทียมกันบ่อย เนยเทียมแถบนั้นใช้น้ำมันถั่วเหลืองเป็นวัตถุดิบ
มีบ้างที่ใช้น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันฝ้าย น้ำมันข้าวโพด น้ำมันเหล่านี้มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงในปริมาณมาก
ทำให้ต้องเติมไฮโดรเจนในปริมาณมากตามไปด้วย ผลคือเกิดเป็นกรดไขมันทรานส์ได้ง่าย
เนยเทียมหรือมาร์การีนในยุโรปและอเมริกาเหนือ หรือที่นำเข้ามาจากประเทศแถบนั้น
จึงมีกรดไขมันทรานส์ค่อนข้างสูง
ผู้เขียนได้มีโอกาสพูดคุยกับนักอุตสาหกรรมบ้านเราได้ข้อมูลว่ามาร์การีนที่ใช้ปรุงอาหารในบ้านเรา
ส่วนใหญ่ผลิตจากน้ำมันปาล์มโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากน้ำมันปาล์มสเตียริน ซึ่งมีความเป็นไขสูงอยู่แล้ว
ทำให้เติมไฮโดรเจนน้อยมาก ดังนั้น มาร์การีนในบ้านเราจึงไม่สร้างปัญหาเหมือนมาร์การีนของยุโรป
และอเมริกาเหนือ ได้ทราบอย่างนั้นก็สบายใจครับ ผู้เขียนไม่ได้รับประทานมาร์การีนมานาน
เพราะเข้าใจผิดว่ามาร์การีนในบ้านเราผลิตมาจากน้ำมันถั่วเหลืองหรือน้ำมันเมล็ดทานตะวัน
รู้ข้อเท็จจริงอย่างนี้จะได้หันกลับไปรับประทานได้ดังเก่าเสียที
ทีนี้หันกลับมาพูดคุยกันในเรื่องที่จั่วไว้ตามหัวข้อดีกว่า คือเรื่อง "อาหารสไตล์เมดิเตอเรเนียน"
อันที่จริงเรื่องนี้เคยเขียนไว้แล้ว แต่คนละสไตล์กัน เหตุที่ต้องเขียนถึงคราวนี้อีกครั้ง
เพราะวันศุกร์ที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา มีการประชุมวิชาการประจำปีของชมรมผู้ให้ความรู้เรื่องเบาหวาน
จัดกันใหญ่โตที่อาคารเฉลิมพระบารมีของแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ผู้เขียนเองได้รับเชิญ
ให้ไปบรรยายเรื่องอาหารเมดิเตอเรเนียนผสมกับอาหารไทยจึงอยากจะนำมาเขียนให้พวกเราได้อ่านอีกครั้ง
ก่อนอื่นขอเกริ่นเรื่องชมรมผู้ให้ความรู้เรื่องเบาหวานสักนิดนึงครับ ชมรมนี้มีชื่อไม่ถึงระดับสมาคม
แต่มีสมาชิกเป็นกลุ่มก้อนใหญ่โตถึงสองพันคน ประกอบไปด้วยแพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักโภชนาการ
นักสาธารณสุข นักกายภาพบำบัด นักเทคนิคการแพทย์ ฯลฯ เป็นการรวมกันในเชิงวิชาการ
เพื่อสร้างสรรค์ความรู้เพื่อใช้ในการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน เอาเป็นว่า ให้ได้มาตรฐานสากล
และเหมาะสมกับสภาพสังคมไทยและกับผู้ป่วยเบาหวานไทย ที่มี 3-5 ล้านคน
มีข้อมูลทางวิชาการจากสหประชาชาติ กล่าวว่า ผู้ป่วยเบาหวานแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในปี ค.ศ.2000 มีประมาณ 32.7 ล้านคน อีก 25 ปีข้างหน้า ตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 79.5 ล้านคน
เป็นการเพิ่มสูงที่สุดในโลกและภูมิภาคของเราจะมีผู้ป่วยเบาหวานมากที่สุดในโลก
ชมรมเขาก็เลยเริ่มงานกันแต่เนิ่นๆ กำลังจะจัดตั้งเป็นสมาคมหรือมูลนิธิในไม่ช้า
เป็นแค่ชมรมก็ผลิตผลงานออกมาได้เยอะแยะแล้วละครับ
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ผู้เขียนไปประชุมเรื่องอาหารเมดิเตอเรเนียน
ซึ่งมีวัตถุประสงค์ของการประชุมคือ การหาข้อสรุปเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการ
และการแพทย์ของอาหารเมดิเตอเรเนียน โดยยึดถือข้อมูลทางวิชาการที่เชื่อถือได้เป็นหลัก
ผู้เขียนเห็นว่าการประชุมครั้งนี้น่าจะเป็นแบบอย่างสำหรับนักโภชนาการของประเทศไทย
ที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับการแสวงหาคุณค่าของโภชนาการอาหารไทย พวกเราน่าจะได้ไปดูฝรั่งเขาทำงานกันบ้าง
เรื่องของอาหารนั้น เป็นวัฒนธรรมครับ ขายอาหารได้นอกจากจะขายวัตถุดิบ
ขายผลิตภัณฑ์ได้แล้วยังขายวัฒนธรรมรวมไปถึงการท่องเที่ยวได้ด้วย ยิงปืนนัดเดียว
ได้นกทั้งพวงเลยครับ การรณรงค์เรื่องของอาหารไทยจึงน่าจะทำให้เข้มข้นกว่าที่ทำกันอยู่ในขณะนี้
 |
|
กล่าวถึงอาหารเมดิเตอเรเนียนก่อนครับ เขาให้นิยามไว้ว่าหมายถึง
รูปแบบของอาหารที่ประชากรรอบทะเลเมดิเตอเรเนียนนิยมบริโภคกัน เป็นอาหาร
ที่มีพืชผักเป็นองค์ประกอบค่อนข้างสูง มีผลไม้ ผัก ถั่ว ธัญพืชทั้งเมล็ดเป็นแหล่ง
อาหารสำคัญ มีปลา ถั่วเปลือกแข็ง รวมถึงผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ อาหารกลุ่ม
เมดิเตอเรเนียนนี้มิได้จำกัดปริมาณไขมันเนื่องจากมีข้อมูลเพียงพอว่า ไขมัน
ในอาหารเมดิเตอเรเนียน มีระดับที่ไม่สูงนัก ข้อสำคัญในกรณีของไขมัน คือ
อาหารเมดิเตอเรเนียนนิยมใช้น้ำมันพืช ได้แก่ น้ำมันมะกอก |
เป็นแหล่งไขมันหลัก นอกจากนี้ ยังมีการใช้น้ำมันพืชที่ถูกเติมไฮโดรเจนไม่มากนัก
ไม่สร้างปัญหาไขมันทรานส์เพราะใช้น้ำมันมะกอกเหมือนกับที่บ้านเราใช้น้ำมันปาล์มนั่นแหละครับ
ไขมันอิ่มตัวในอาหารเมดิเตอเรเนียนมีค่อนข้างต่ำ อาหารในรูปแบบที่กล่าวถึงทั้งหมดนี้
เขาเชื่อกันว่าเป็นเหตุผลที่ทำให้ประชากรในแถบเมดิเตอเรเนียนมีอุบัติการณ์ของโรค
หลายชนิดค่อนข้างต่ำ อาหารทางแถบเกาะครีตของประเทศกรีซและทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี
เป็นแบบอย่างของอาหารเมดิเตอเรเนียนที่นักวิชาการพากันกล่าวถึงมากที่สุด
ช่วงคริสตศตวรรษที่ 60 มีรายงานทางการแพทย์และโภชนาการออกมาหลายรายงาน
กล่าวถึงประโยชน์ของอาหารเมดิเตอเรเนียนว่าช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคต่างๆ หลายโรค
ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคมะเร็ง ได้ข้อสรุปอย่างนั้นแล้ว
ก็ต้องเผยแพร่เกียรติคุณของอาหารเมดิเตอเรเนียนกันหน่อย
ว่าแล้วก็จัดประชุมกันใหญ่โต เชิญผู้เขียนไปร่วมด้วย จะจัดประชุมกันอีกครั้งในเดือนตุลาคมนี้
ไว้ไปจนกลับมาแล้วจะเขียนให้อ่านเพิ่มเติมกันอีกครับ
ดร.วินัย ดะห์ลัน
|