มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



อดอาหารอย่างมุสลิม


ช่วงนี้พี่น้องมุสลิมร่วมประเทศของเรา กำลังอยู่ในช่วงเทศกาลอดอาหารที่เรียกกันว่า "ถือศีลอดเดือนรอมฎอน" กันอยู่ ผู้เขียนได้รับการบ้านจากผู้อ่านหลายท่าน ให้มาอธิบายว่าเดือนรอมฎอนคืออะไร การถือศีลอดคืออะไรให้ประโยชน์ต่อสุขภาพบ้างหรือเปล่า ก็ต้องขออนุญาตทำการบ้านส่งท่านผู้อ่านล่ะครับ

ตัวเลขของสหประชาชาติบอกไว้ว่า ในโลกนี้มีประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามอยู่ 1,200 ล้านคน ในขณะที่ตัวเลขของธนาคารพัฒนาอิสลาม (Islamic Development Bank) ยืนยันว่ามุสลิมในโลก มี 1,500 ล้านคน แตกต่างกันอยู่ 300 ล้านคน สรุปด้วยค่าเฉลี่ย เอาเป็นว่ามุสลิมมีจำนวน 1,350 ล้านคน หรือเกือบ 1 ใน 4 ของประชากรโลก ก็นับว่าไม่น้อยเลย ในประเทศไทยเองประมาณกันว่า มีมุสลิมอยู่ 3-5 ล้านคน ร้อยละ 70 อยู่ทางภาคใต้ ในกรุงเทพมหานครเองมีมุสลิมประมาณครึ่งล้านคน ไม่น้อยเหมือนกัน

คนนับถือศาสนาอิสลามเขาเรียกว่า "มุสลิม" พวกเรามักจะเรียกกันอย่างผิดๆ ว่า "ชาวมุสลิม" อันที่จริงมุสลิม ไม่ใช่ชนชาติครับ จึงอย่าไปเรียกว่าชาว อย่างที่เราเรียกชาวอินเดีย ชาวอาหรับ ชาวตะวันตกคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ เป็นคนไทยหรือเป็นชาวไทยครับ แต่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งเรียกง่ายๆ ว่ามุสลิม

ในศาสนาอิสลามนั้นมีหลักการให้ผู้ศรัทธายึดถืออยู่ 6 ประการ คือศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า การละหมาด 5 เวลาต่อวัน การถือศีลอด การบริจาคทาน ที่เรียกว่าซะกาต และการบำเพ็ญหัจญ์ที่นครเมกกะ ดังนั้น การถือศีลอดจึงนับเป็นหลักการสำคัญ 1 ใน 6 ที่มุสลิมทั่วโลกพึงปฏิบัติ อิสลามวางหลักการให้มุสลิม ทำการถือศีลอด ในเดือนรอมฎอน (อ่านว่าเราะมะดอน) ซึ่งเป็นเดือนที่ 9 ของปีทางจันทรคติของอาหรับ เดือนอาหรับมี 29-30 วัน ใช้การดูการขึ้นของเดือนเสี้ยว หลังผ่านพ้นแรม 14-15 ค่ำเป็นการกำหนดวันแรก ของเดือนทุกเดือน ในเดือนรอมฎอนจึงต้องมีการ ประกาศการเห็นเดือนเพื่อนับวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ซึ่งปีนี้ตรงกับ วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมานี้เอง เดือนรอมฎอนจึงเลื่อนเร็วขึ้นประมาณ 5 วันทุกปี

วิธีการถือศีลอดนั้น มุสลิมจะทำการอดอาหาร น้ำ และการร่วมประเวณี ตั้งแต่แสงเงินแสงทองแรก จับท้องฟ้าซึ่งเป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น อดอย่างนี้กระทั่งถึงเวลาดวงอาทิตย์ตก หรือตั้งแต่ประมาณตี 5 ยาวนานถึงประมาณ 6 โมงเย็น ใช้เวลาอดอาหาร 13 ชั่วโมง ส่วนในช่วงเวลากลางคืน ให้รับประทานอาหารได้ตามปกติ

การถือศีลอดนั้น ในภาษาอาหรับใช้คำว่า "อัสศิยาม" หมายถึง การอดกลั้นจากอาหาร จากน้ำ จากการร่วมประเวณี จากอารมณ์ใฝ่ต่ำทั้งปวง หยุดการนินทาว่าร้าย การโกหก ให้ปฏิบัติตนยึดมั่นต่อพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น การถือศีลอดจึงไม่ได้ หมายถึงการอดอาหารและน้ำ อย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องอดอารมณ์ด้วย สำหรับน้ำลายนั้น มีคนถามกันแยะว่ากลืนได้หรือเปล่า น้ำลายเป็นของตนเองให้กลืนได้ ยกเว้นน้ำลายที่พ้นไรฟันหรือริมฝีปากออกมาแล้ว หรือน้ำลายในปากที่มีเลือดออก ส่วนการบ้วนน้ำลาย ตลอดเวลาของมุสลิมบางคนนั้น คงเป็นเหตุผลของแต่ละคนโดยที่ศาสนา ไม่ได้ห้ามเรื่องการกลืนน้ำลายไว้

อิสลามกำหนดการรับประทานอาหารสองมื้อหลักไว้ในเดือนรอมฎอน คืออาหารก่อนเช้าเรียกว่า "สะฮูร์" กับอาหารละศีลอดในตอนเย็นเรียกว่า "อิฟตะห์" หลักการปฏิบัติของท่านศาสดาในศาสนาอิสลาม คือให้เชื่องช้าในการรับประทานสะฮูร์และให้เร่งรีบในการรับประทานอิฟตะห์ หมายความว่า ให้รับประทานสะฮูร์ใกล้เช้าและละศีลอดทันที เมื่อหมดเวลา บางคนรับประทานสะฮูร์ตอนเที่ยงคืนหรือบางคน หมดเวลาถือศีลอดแล้ว ยังไม่ยอมรับประทานอาหาร ทั้งสองเรื่องนี้แม้จะไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่นับเป็นสิ่งที่ไม่พึงปฏิบัติ

มีคำถามว่า หากอาศัยอยู่ในยุโรปหรือในแถบที่พระอาทิตย์ขึ้นเร็วและตกช้าจะทำอย่างไร คำตอบคือ ให้ยึดถือการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ในแถบนั้น ผู้เขียนเองเคยอาศัยอยู่ในยุโรป แถบเหนือเป็นเวลานานหลายปี การถือศีลอดในฤดูร้อนพระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่ตี 4 ตกเวลา 4 ทุ่ม มุสลิมแถบนั้นเขาก็ยึดถือตามเวลาที่ว่านี้ โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

ในระหว่างเวลาถือศีลอด ศาสนากำหนดให้ทำงานตามปกติ วิถีชีวิตจึงต้องดำเนินไปตามปกติ การใช้ช่วงเวลาถือศีลอด ทำงานให้น้อยลง หรือลดการทำงานลง เป็นเรื่องที่ไม่พึงปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม อิสลามกำหนดข้อยกเว้นไว้เช่นกัน คนที่ไม่จำเป็นต้องถือศีลอด ได้แก่ผู้ที่ป่วยเจ็บ และผู้ที่การถือศีลอด อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ คนอีกกลุ่มหนึ่งที่ยกเว้นไว้ คือผู้ที่เดินทางไกลและต้องค้างแรม

หญิงตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หญิงมีประจำเดือน อาจละเว้นไม่ต้องถือศีลอดได้ ผู้ป่วยด้วยโรคที่ต้องมีการรักษามีการใช้ยา ให้ละเว้นการถือศีลอดเช่นกัน เมื่อละเว้นไม่ต้องถือศีลอดแล้ว มีวิธีการชดเชยสองวิธีคือ การทำบุญให้ทานในรูปของอาหารแก่คนยากจนและคนกลุ่มอื่นที่ศาสนากำหนด อีกวิธีหนึ่งคือการถือศีลอดชดใช้ภายหลังสิ้นสุดเดือนรอมฎอนแล้ว

การถือศีลอดบังคับแก่มุสลิมที่อยู่ในวัยที่บรรลุนิติภาวะในทางศาสนาแล้ว คือผู้หญิงที่เริ่มมีประจำเดือนแล้ว และผู้ชายที่มีอสุจิแล้ว โดยทั่วไปกำหนดไว้ ที่อายุประมาณ 15 ปี ในบางพื้นที่อายุ 13 ปีก็ถือว่าบรรลุนิติภาวะ ในทางศาสนาแล้วหมายความง่ายๆ ว่าแต่งงานมีครอบครัว รับผิดชอบต่อชีวิตคนอื่นได้แล้วนั่นเอง

การอดอาหารนานเป็นเวลาหนึ่งเดือนอย่างมุสลิม จะเป็นประโยชน์หรืออันตรายต่อสุขภาพอย่างไร ผู้เขียนจะไม่ยกเอาเหตุผลในทางศาสนามาอธิบาย เพราะคงเถียงกันไม่รู้จบ แต่จะขอยกเอาข้อมูล ที่ได้จากการวิจัยทางการแพทย์ที่ตีพิมพ์ในโลกตะวันตกมาใช้ในการอธิบาย จะเอาเฉพาะข้อมูลที่วิทยาศาสตร์ ในโลกตะวันตกยอมรับว่าถูกต้องเท่านั้น

เหตุผลที่ถือเอาตะวันตกเป็นเกณฑ์ก็เพราะโลกในวันนี้ ยึดเอาตะวันตกเป็นสากล แม้ตะวันออกจะรุ่งเรืองด้วยวิทยาการลึกซึ้งมาก่อน แต่ในเมื่อโลกมองตะวันตกว่าถูกต้องกว่า ก็ขอใช้วิชาการในโลกตะวันตกนี่แหละครับ ในการยืนยันว่า แนวทางของโลกตะวันออกเต็มไปด้วย เหตุด้วยผลเสมอ บางทีต้องอาศัยตาของคนอื่นมองเราครับ

ก่อนอื่น คงต้องดูก่อนว่า การอดอาหารทั้งวันอย่างนั้น จะสร้างปัญหา ให้กับสุขภาพร่างกายบ้างไหม

มีรายงานการศึกษาทางการแพทย์ของ Mansell และ Macdonald ตีพิมพ์ในวารสาร British Medical Journal เมื่อปี 1988 แสดงให้เห็นว่า หญิงที่มีน้ำหนักปกตินั้น หากให้กินอาหารน้อยมาก เป็นเวลา 7 วัน ปรากฏว่า ร่างกายของหญิงเหล่านั้นจะปรับตัวได้ดีไม่มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย

นักวิทยาศาสตร์กลุ่มเดียวกันนี้ยังศึกษาต่อไปอีกว่า หากลองให้คนอดอาหารอย่างสิ้นเชิง ยาวนานถึง 48 ชั่วโมงแล้วตรวจสอบดูว่าจะส่งผลต่อกลไกการทำงานของร่างกายอย่างไรบ้าง ผลของการศึกษาพบว่า ร่างกายของผู้อดอาหารกลับตอบสนองต่อการทำงานของฮอร์โมนอินสุลินดีขึ้นด้วยซ้ำ คนที่อดอาหาร 48 ชั่วโมง เมื่อต้องกลับมากินอาหารอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่า สมดุลของฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ให้ประโยชน์และช่วยทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น

มีรายงานการวิจัยอื่นๆ อีกเหมือนกันที่ยืนยันว่า การอดอาหารอย่างสิ้นเชิงจะทำให้ความดันโลหิตลดลง ในขณะที่ปริมาณของเลือดที่เข้าสู่หัวใจไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งหมายความว่า ร่างกายปรับตัวโดยลดการทำงาน ของร่างกายลงในขณะที่ประสิทธิภาพของร่างกายยังคงที่อยู่ ร่างกายของมนุษย์จึงอัศจรรย์กว่าที่เราเคยเข้าใจแยะ

ภายหลังผ่านการอดอาหารมาแล้ว ระบบการย่อยอาหารจะกลับเข้าสู่สภาวะเดิมโดยไม่แสดงผลร้าย หรือเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ก่อผลเสียแต่อย่างใดเลย ใครที่เคยห่วงว่าการถือศีลอดนานเป็นเดือนๆ อย่างที่ชาวมุสลิมกระทำนั้นจะสร้างปัญหาให้กับสุขภาพเห็นทีจะเลิกคิดได้แล้ว

เมื่อการถือศีลอดไม่ก่อปัญหา ก็แล้วมันให้ประโยชน์ต่อสุขภาพบ้างหรือเปล่า หลายคนคงคิดอย่างนั้น

มีผู้สนใจเรื่องนี้อยู่ค่อนข้างแยะและหนึ่งในจำนวนผู้สนใจอย่างยิ่งก็คือ กองทัพบกอิสราเอล โดยมีคณะนักวิจัยทางการแพทย์นำโดยนายแพทย์ Maislos แห่งมหาวิทยาลัยเบนกูเรียน อิสราเอล เป็นผู้ทำงานวิจัยชิ้นนี้ให้กองทัพบก

หมอ Maislos ทำการศึกษาพฤติกรรมการถือศีลอดของชนเผ่าทะเลทรายที่เรียกว่า เบดูอิน คนเหล่านี้ถือศีลอดอย่างเคร่งครัดเหมือนกับคนอาหรับถือศีลอดกันในอดีต นั่นคือ กินอาหารน้อย ออกกำลังกายหรือทำงานตามปกติ และนอนค่อนข้างน้อย

วันเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนเมื่อพ้นเดือนรอมฎอน หมอทำการตรวจสอบระดับไขมันของชนเผ่าเบดูอิน สิ่งที่พบคือ คนเหล่านี้มีสุขภาพทางร่างกายดีขึ้น ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลง ระดับไขมันที่ดีที่เรียกว่า เอชดีแอล เพิ่มระดับสูงขึ้น บทสรุปก็คือ การถือศีลอดอย่างเคร่งครัด น่าจะช่วยทำให้ผู้ที่ถือศีลอดลดปัญหา ที่อาจจะเกิดขึ้นจากโรคหัวใจได้

มีงานวิจัยที่น่าสนใจเกี่ยวกับหญิงมีประจำเดือน หญิงมีครรภ์ หญิงให้นมบุตร ซึ่งตามปกติคนเหล่านี้ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องถือศีลอดโดยได้รับอนุญาตให้บริจาคทานทดแทนอยู่แล้ว ทั้งนี้เนื่องจากการถือศีลอด อาจมีผลต่อสุขภาพของหญิงเหล่านั้นได้ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับว่า หญิงเหล่านี้จำนวนไม่น้อย พากันถือศีลอดตามสามี แม้ว่าแพทย์จะขอร้องให้เลิกถือศีลอดก็ตามที

มีรายงานการศึกษาในประเทศอังกฤษว่า มีหญิงตั้งครรภ์จำนวนถึงหนึ่งในสี่ที่ยังดื้อรั้นถือศีลอด ในช่วงเดือนรอมฎอน เหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะความศรัทธาตลอดจนความสะดวก ในการกินอาหารร่วมกับครอบครัว นอกจากนี้บางคนอาจจะได้รับความกดดันทางสังคม คนรอบข้างบางคนอาจจะคิดว่า เมื่อทุกคนถือศีลอดกันหมด เธอน่าจะถือศีลอดกับเขาด้วย

อย่าเพิ่งแปลกใจกับมุสลิมในอังกฤษนะครับ อันที่จริงประเทศอังกฤษมีประชากรที่เป็นมุสลิม อยู่มากถึง 4-5 ล้านคน คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดียและปากีสถาน นอกจากนี้ยังมีจำนวนไม่น้อย ที่มาจากตะวันออกกลาง คนอังกฤษที่เป็นมุสลิมเองก็มี อย่างดารานักร้องชื่อดังในอดีตชื่อ แคต สตีเว่น เดี๋ยวนี้กลายเป็นมุสลิมไปแล้วมีชื่อว่า ยูซุฟ อิสลาม

ในอังกฤษนั้น มีการศึกษาวิจัยโดยแพทย์จากโรงพยาบาลแม่ Sorrento ในเมืองเบอร์มิงแฮมของอังกฤษ ให้ข้อมูลว่า หญิงมีครรภ์ที่ทำการถือศีลอดนั้น แม้ว่าจะมีสภาวะทางชีวเคมีในเลือดเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ไม่ถึงกับเกิดอาการผิดปกติขึ้น

มีหญิงบางรายที่ให้กำเนิดบุตรที่ร่างกายอาจจะบอบบางกว่าปกติบ้าง แต่เมื่อดูสถิติแล้ว ทารกที่คลอดออกมาในลักษณะนี้ ก็มีสัดส่วนไม่ต่างจากทารกที่คลอดจากแม่ที่ไม่ได้ถือศีลอดแต่อย่างใด ดังนั้นการศึกษาจึงให้ข้อสรุปไม่ได้ว่าทารกตัวเล็กเป็นผลมาจากการถือศีลอดหรือว่าเป็นผลจากสิ่งอื่นกันแน่

สุดท้ายแล้ว มีบทสรุปจากการศึกษาในครั้งนั้นว่า การถือศีลอดระหว่างการตั้งครรภ์ไม่ก่อให้เกิด อาการผิดปกติต่อมารดาและบุตรในครรภ์แต่อย่างใดเลย ทั้งนี้ อาจเป็นไปได้ว่า ร่างกายยังคงได้รับอาหาร ตามปกติอยู่ทั้งในปริมาณและคุณภาพ จะเปลี่ยนแปลงก็เพียงช่วงเวลาการกินอาหารเท่านั้น

มีการศึกษาวิจัยของนายแพทย์ Cross แห่งเมืองเบอร์มิงแฮมที่ให้ข้อมูลตรงกันว่า การถือศีลอดระหว่างการตั้งครรภ์ไม่น่าจะเป็นอันตรายแต่อย่างใดเลย การชั่งน้ำหนักตัวเด็กแรกคลอด จำนวน 13,000 คนที่มารดาถือศีลอดพบว่า ค่าเฉลี่ยไม่ต่างจากทารกจากแม่ที่ไม่ถือศีลอด เรียกว่าหาความผิดปกติไม่พบ

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดแล้วนักวิจัยทุกกลุ่มก็ยังแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์อย่าได้ถือศีลอด เพราะศาสนาอุตส่าห์ยกเว้นให้แล้ว น่าจะใช้ประโยชน์จากข้อยกเว้นนั้น บทสรุปก็คือ การถือศีลอดไม่สร้างอันตรายต่อสุขภาพอย่างแน่นอนครับ แถมยังให้ประโยชน์อีกต่างหาก หากใครคิดจะลองก็ขอแนะนำให้ลองได้เลย แต่ต้องเตือนไว้ก่อนว่า หากไม่เคยฝึกมาก่อน อาจจะทนหิวไม่ได้ก็ได้

ดร.วินัย ดะห์ลัน

(update 3 มกราคม 2001)


[ ที่มา... เนชั่นสุดสัปดาห์   ปีที่ 8 ฉบับที่ 444-445 วันที่ 4-17 ธันวาคม 2543 ]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600