นพ.ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์ 
 
 ถ้าประเทศไทยยากจนค่นแค้นมากๆ แบบที่บางประเทศในทวีปอัฟริกาเป็นอยู่ก็คงไม่มีปัญหา 
กล่าวคือไม่มีใครตอแยกับเราในการหลอกล่อปนหลอกลวงให้เราซื้อสินค้าต่างๆ มาบริโภค 
โดยที่สินค้าที่ว่านั้นมิได้เป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิตอย่างแท้จริง 
 พูดง่ายๆ คือไม่มีก็ได้-ชีวิตไม่ลำบาก 
 แต่พอเมืองไทยลืมตาอ้าปากได้ มีรายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้น ถึงแม้จำนวนคนจนจะไม่ลดลง 
กลับมีคนที่รวยอยู่แล้วรวยยิ่งขึ้น พอรวยขึ้นก็มีสตางค์เหลือใช้ เหลือมากพอที่จะตักตวงความสุขสบายเพิ่มเติม 
 นี่เองเป็นที่มาของการโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างบ้าเลือดในการชักจูงหรือชักชวนให้คนไทย 
ซื้อวิตามินและอาหารเสริมไปบริโภคโดยอ้างว่าเพื่อสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงขึ้น 
จะได้มีเวลาเก็บเกี่ยวความร่ำรวยและช่วยประเทศชาติต่อไป 
 ปัญหามีอยู่ว่าถ้าเราจะเสียเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์ของเราสักอย่างก็น่าจะมีความคุ้มค่าที่ต้องเสียไป 
เราคงไม่อยากถูกใครหลอกให้เสียเงินไปเปล่าๆ  เราคงไม่อยากเสียค่าโง่ เพราะไม่มีอะไรที่น่าช้ำใจไปกว่า
การถูกตราหน้าว่า รวยแล้วยังโง่อีก  
 หนึ่งในทางออกคือหาทางติดอาวุธทางปัญญาโดยการศึกษาหาความรู้ไว้เพื่อนำไปใช้ในการพิจารณา
ซื้อสิ่งของมาบริโภคในครัวเรือน 
 
 จริงๆ แล้ว แหล่งอันอุดมสมบูรณ์ด้วยวิตามินและแร่ธาตุ คืออาหารที่คนเรารับประทานวันละ 2-3 มื้อนั่นแหละ 
ไม่ต้องไปหาที่อื่น 
 แต่ปัญหามาเกิดเพราะว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารการกินที่ไม่ถูกสุขอนามัย 
ได้อาหารมาไม่ครบ 5 หมู่ จึงเกิดการไม่สมดุล คนเหล่านี้มีอาทิเช่น 
- นักธุรกิจหรือคนที่มีฐานะแต่อ้างว่า ไม่มีเวลามากพอที่จะหยุดพัก หาอะไรอร่อยๆ รับประทานแล้ว 
ให้ได้วิตามินมากพอ 
 - บางคนล้มป่วยไม่สบายจนทำให้ไม่อยากอาหาร
 - บางคนต้องการลดความอ้วนโดยเร็ว จึงใช้วิธีลัดจนได้สารอาหารไม่เพียงพอ 
  
 
ตัวอย่างสถานการณ์เหล่านี้และที่กล่าวถึงต่อไปนี้คือ ภาวะที่อาจต้องพิจารณาให้อาหารเสริม 
 ผู้สูงอายุ เมื่อคนเราแก่ตัวลง ร่างกายจะต้องการวิตามินบี 12 และบี 6 (pyridoxine) มากขึ้น 
อีกประการหนึ่งการไม่ค่อยได้สัมผัสแสงแดดทำให้ผู้สูงอายุขาดวิตามินดี บางคนต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ปราศจากญาติทำให้เหงาหงอย จิตใจเศร้าหมอง จนไม่อยากอาหาร ร่างกายจึงขาดธาตุและสารอาหารสำคัญ
สรุปอย่างฟันธงคือ คนกลุ่มนี้จะได้ประโยชน์จากวิตามินเสริม 
 ความเจ็บป่วย สำหรับคนที่ล้มป่วยด้วยโรคเรื้อรังแล้วความเจ็บป่วย
หรือยาที่ใช้อาจทำให้ร่างกายขาดอาหาร จึงต้องพิจารณาเติมหรือเสริมให้พอเพียง
เพราะว่าสภาพโภชนาการที่ดีเท่านั้นจึงจะทำให้ร่างกายฟื้นไข้ได้เร็วขึ้น 
 ดื่มสุรามาก คนที่ดื่มสุรามากจะขาดอาหารและวิตามิน 
 การจำกัดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก เป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่ว่า คนที่เราเห็นว่าอ้วนท้วนสมบูรณ์นั้น 
มีการขาดสารอาหารบางอย่างได้ ในทำนองเดียวกัน คนอ้วนที่พยายามจะหวนกลับไปมีหุ่นดีๆ ก็ขาดอาหารได้ 
ทั้ง 2 พวกนี้อาจจำเป็นต้องเสริมสารอาหารบางอย่างเพื่อชดเชยส่วนที่สูญเสียไป 
 มังสวิรัติ คนที่เลือกที่จะงดบริโภคเนื้อสัตว์ทุกชนิดหรือแม้แต่นมและผลิตภัณฑ์จากนม 
ในระยะยาวจะขาดธาตุและวิตามินบางชนิดได้เช่น แคลเซียม, เหล็ก, สังกะสี และวิตามินบี 12 
 การสูบบุหรี่ ร่างกายของคนที่สูบบุหรี่จะมีความต้องการวิตามินซีสูงกว่าคนไม่สูบ 2 เท่า 
จึงต้องเพิ่มวิตามินซีอีกวันละประมาณ 100 มิลลิกรัม 
 หญิงตั้งครรภ์ อาจต้องให้ธาตุเหล็กเสริมอีกราววันละ 30 มิลลิกรัมรวมกับกรดโฟลิก, 
แคลเซียมและวิตามินดี 
 เด็กทารกแรกคลอด นอกจากต้องฉีดวิตามินเคให้ 1 ครั้งแล้วระบบทางเดินอาหารของเด็กทารก
จะพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จนสามารถจัดการผลิตสารอาหารได้เอง 
 ความสมดุลที่ละเอียดอ่อน  สิ่งที่เป็นปัญหาอยู่ในสังคมไทยปัจจุบันคือการทุ่มโฆษณาอย่างบ้าเลือด
ในทุกวิถีทางเพื่อการจำหน่ายสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาอาหารเสริมทั้งหลาย จนเกิดกระแสคลั่ง
การบริโภคอาหารเสริมอย่างไม่เหมาะสม บางคนมุ่งเติมสารอาหารบางอย่างจนมากเกินไป 
และกลับเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ยกตัวอย่างเช่น
 
- การบริโภควิตามินเอมากเกินไปด้วยหวังผลว่าจะทำให้สายตาและผิวพรรณดีขึ้น แต่กลับเป็นพิษ 
ทำให้ปวดศีรษะ และคลื่นไส้ได้ในระยะสั้น หรือทำให้ตับและกระดูกเสียหายได้ ถ้าบริโภควิตามินเอไปนานๆ 
 - การบริโภควิตามินหรือเกลือแร่ อย่างใดอย่างหนึ่ง ในปริมาณมากๆ เป็นเวลานานๆ ล้วนมีอันตรายทั้งสิ้น 
ยกตัวอย่างเช่น การรับประทานธาตุสังกะสีมากไปจะรบกวนการดูดซึมธาตุทองแดง ซึ่งร่างกายก็ต้องการเหมือนกัน 
  
 
โดยสรุปในเบื้องต้นนี้ก็คือวิตามินหรืออาหารเสริม อาจมีประโยชน์ในช่วงสั้นๆ ที่ร่างกายขาดแคลน
แต่ทันทีที่ร่างกายฟื้นสภาพจนรับประทานอาหารได้ปกติแล้ว ก็ควรใช้วิธธรรมชาติคือรับประทานอาหาร
ให้ได้สมดุลครบถ้วนด้วยสารอาหารทั้ง 5 หมู่ ซึ่งควรจะมีทั้งผลไม้, นมและผลิตภัณฑ์จากนม, ผัก, ธัญพืชและเนื้อ 
 วิตามินคืออะไร ? 
 มีวิตามินอีกหลายตัวที่ค้นพบโดยบังเอิญแบบเดียวกับวิตามินซีทำให้เรารู้จักว่า วิตามินและเกลือแร่ 
บางอย่างคือสิ่งที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ แม้ในปริมาณเล็กน้อยเพื่อช่วยในการก่อปฏิกิริยาทางชีวเคมี
ภายในร่างกาย และรวมเรียกวิตามินและแร่ธาตุนี้ว่า "สารอาหารขนาดจิ๋ว" (micronutrients) 
หากร่างกายขาดสารเหล่านี้นานๆ เข้าจะเกิดโรค 
 วิตามินที่ค้นพบแล้วขณะนี้มี 13 ชนิด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ  
1. วิตามินที่ละลายในไขมันและร่างกายเก็บรักษาไว้ตามไขมัน มี 4 ตัวคือ วิตามินเอ, ดี, อี, เค (a, d, e, k) 
2. วิตามินที่ละลายในน้ำโดยร่างกายไม่ต้องเก็บรักษาไว้ในร่างกาย ได้แก่ วิตามินซี, วิตามินบี 8 ชนิดคือ
- บี 1 (thiamin) 
 ไนอาซีน (nacin) 
- บี 6 
 - กรดแพนโทนิก (pantothenic acid) 
 - บี 12
 - ไบโอติน (biotin) 
 - กรดโพลิก (folic acid) 
  
 
ร่างกายใช้วิตามินต่างๆ ในปริมาณน้อยมาก แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ในการเจริญเติบโต, 
การย่อยอาหาร, การมีสติสัมปชัญญะและการมีภูมิคุ้มกัน ปราศจากวิตามินเหล่านี้แล้วร่างกาย
จะไม่สามารถเผาผลาญคาร์โบไฮเดรท, ไขมันและโปรตีนได้เท่าที่ควร อีกทั้งไม่อาจสร้างปฏิกิริยาทางเคมี
เนื่องจากขาดวิตามินเป็นตัวเร่ง (catalysts) 
 
 แร่ธาตุที่ร่างกายต้องใช้ในการทำให้เซลล์ทำงานตามปกติทั้งในแง่โครงสร้างและสรีรวิทยามี 15 อย่าง 
- 3 อย่างที่ใช้ในปริมาณมากหน่อย คือ แคลเซียม (calcium), ฟอสฟอรัส (phosphorus) และ แม็กนีเซียม(magnesium)
 - ส่วน 12 แร่ธาตุที่ใช้ในปริมาณน้อยแต่สำคัญก็มีอาทิ เช่น โครเมียม (chromium), ทองแดง (copper), 
ฟลูออไรด์ (fluoride), ไอโอดีน (iodine), เหล็ก (iron), แมงกานีส (manganese), โมลิบดีนัม (molybdenum), 
ซิลีเนียม (selenium), สังกะสี (zinc), คลอไรด์ (chloride), โปแตสเซียม (potassium) และโซเดียม (sodium) 
  
 
ในเบื้องต้นนี้ขอให้ท่านผู้อ่านพยายามสร้างอุปนิสัยในการบริโภคอาหารปกติที่ประโยชน์ให้ครบทั้ง 5 หมู่ 
เมื่อได้ปริมาณสมดุลแล้วก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาหารเสริมใดๆ เลย ยกเว้นในกรณีที่กล่าวถึงแล้ว 
  |