 |
|
การร่วมเพศระหว่างบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน
ทางสายโลหิตหรืออินเซสท์ เป็นความผิดปกติทางจิตและเป็น
ความผิดตามกฎหมาย สถาบันทางกฎหมาย หลายแห่งยังถือ
ว่าการร่วมเพศกับเด็กซึ่งตนขอมาเลี้ยงหรือลูกเลี้ยงเป็น
ความผิดด้วย
การมีความสัมพันธ์ทางเพศกับบุคคลร่วมสายโลหิตเป็น
เรื่องที่เล่ากันมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบัน
ในตำนานกรีกก็เคยกล่าวถึงพฤติกรรมแบบนี้ในพวกเทพเจ้า
เช่น เทพเจ้าอีดิปุส (Oedipus) กับพระมารดา และในคัมภีร์
ไบเบิลก็กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางเพศระหว่าง
ล็อท (Lot) กับซาโลเม่ (Salome) คำว่า อินเซสท์
มาจากภาษาละตินว่า "อินเซสตุ้ม" (incestum) แปลว่า
ไม่บริสุทธิ์หรือต่ำ |
เพศสัมพันธ์ระหว่างบุคคลร่วมสายโลหิตเป็นของต้องห้ามในทุกวัฒนธรรม มีผู้ศึกษา 250 วัฒนธรรม
ไม่พบว่าสังคมไหนยอมรับการมีความสัมพันธ์ทางเพศหรือการแต่งงานระหว่างพ่อกับลูกสาว แม่กับลูกชาย
หรือพี่กับน้อง แต่อย่างไรก็ตามพฤติกรรมนี้ได้รับการยกเว้นในราชวงศ์กษัตริย์บางราชวงศ์
และระหว่างพิธีทางศาสนาของคนบางเผ่าซึ่งไร้การศึกษา
ปัจจุบันยังไม่ทราบอุบัติการที่แน่นอนของโรคนี้ เนื่องจากมีการพยายามปิดบังแต่พบว่า
มักเกิดในครอบครัวที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสังคมต่ำมากกว่าครอบครัวที่มีฐานะปานกลางหรือสูง
ซึ่งอาจเป็นเพราะปัญหานี้เป็นที่รังเกียจของสังคมมาก ฉะนั้นจึงเป็นเสมือนเครื่องช่วยเหนี่ยวรั้งใจ
ของคนที่อยู่ในระดับสังคมสูง หรือเพราะคนพวกนี้เมื่อมีความต้องการทางเพศสามารถหาคนอื่นมาทดแทนได้
รวมทั้งอาจเป็นเพราะครอบครัวของคนเหล่านี้พยายามปกปิดปัญหาไว้
ความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างบุคคลร่วมสายโลหิตที่พบบ่อยคือ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกสาว
หรือพี่กับน้องความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกชายพบน้อยที่สุด และความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้องในวัยรุ่น
จะน้อยถ้ามีการเล่นเพศกันในวัยเด็ก
คนที่มีพฤติกรรมทางเพศชนิดนี้กับเด็กมักมาจากครอบครัวที่สกปรก หมกมุ่นในเรื่องเพศ ดื่มสุราจัด
และมักจะตกงานทำให้มีเวลาว่างอยู่กับเด็กๆ มาก ในกรณีพ่อกับลูกสาว ลูกสาวมักจะเต็มใจร่วมมือ มีน้อยมาก
(ไม่ถึงร้อยละ 10) ที่ขัดขืน พ่อแม่ก็มักมีความเป็นรักร่วมเพศในจิตไร้สำนึก และอาจมีลักษณะหวาดระแวงอยู่ด้วย
สำหรับกรณีแม่กับลูกชาย คนหนึ่งคนใดมักจะมีปัญหาทางจิตอย่างรุนแรง คือเป็นโรคจิต
สาเหตุ
เชื่อกันว่า การอยู่ในเมืองหรือการอยู่กันอย่างหนาแน่น อัดแอ เป็นสาเหตุของการเกิดปัญหานี้
แต่จากการศึกษาไม่พบว่าเป็นเช่นนั้น กลับพบว่าปัจจัยเกี่ยวกับสถานการณ์หรือจิตใจมีความสำคัญกว่า
ฟรอยด์เชื่อว่า ความต้องการร่วมเพศกับบุคคลที่ใกล้ชิดทางสายโลหิตเป็นส่วนหนึ่ง
ของการพัฒนาบุคลิกภาพในระหว่างอายุ 3-6 ปี คือ เด็กจะติดพ่อหรือแม่ที่เป็นเพศตรงกันข้าม
และแข่งขันกับพ่อแม่ที่เป็นเพศเดียวกัน แต่ความรู้สึกนี้จะถูกกดไว้ในจิตไร้สำนึกในระหว่างอายุ 7-11 ปี
และเกิดขึ้นมาใหม่ในวัยรุ่น แต่ก็ถูกกดไว้อีกก่อนจะเปลี่ยนไปสู่เพศตรงกันข้ามที่เป็นบุคคลภายนอกครอบครัว
แต่ในรายที่ป่วยขบวนการนี้เกิดขึ้นไม่สมบูรณ์ และเด็กยังมีความต้องการทางเพศกับพ่อแม่
ในขณะที่พ่อแม่ก็ขาดความพยายามบังคับจิตใจจึงเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
ลักษณะของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเพศสัมพันธ์ระหว่างบิดากับลูกสาว
การศึกษาส่วนใหญ่พบว่า พ่อมักจะมาจากครอบครัวที่ยุ่งเหยิง พ่อแม่แยกทางกัน ขาดความมั่นคง
และได้รับความอบอุ่นทางอารมณ์น้อย ฐานะทางเศรษฐกิจและการศึกษามักต่ำ
บุคลิกภาพของพ่อพวกนี้ที่พบบ่อยมี 3 แบบคือ แบบเก็บตัว ทำให้ขาดการติดต่อกับโลกภายนอก แบบอันธพาล
คือ ขาดคุณธรรม ไม่เลือกว่าใครเป็นใครจะมองเห็นผู้หญิงทุกคนเป็นคู่ร่วมเพศไปหมด หรือแบบไม่บรรลุนิติภาวะ
คือ ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ใหญ่ ระดับสติปัญญาของพ่อพวกนี้อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย
และไม่มีอาการวิกลจริต แต่มีความลำบากในการสร้างเอกลักษณ์ของความเป็นชายชาตรี มีลักษณะหวาดระแวง
และมักใช้กลไกของจิตใจชนิดให้เหตุผลเข้าข้างตนเอง
พฤติกรรมนี้มักเริ่มเมื่อพ่ออายุประมาณ 40 ปี กับลูกสาวคนโต แล้วลามไปยังลูกคนต่อๆ ไป
สาเหตุที่พบพ่อในวัยนี้อาจเป็นเพราะเมื่อลูกสาวเข้าวัยแตกสาว พ่อก็มักจะอายุประมาณนี้
นอกจากนั้นชีวิตแต่งงานของพ่อในระยะนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลง เช่น การตายจาก การแยกหรือหย่ากับภรรยา
ตลอดจนความตึงเครียดจากการไม่ประสบความสำเร็จในการงาน
โดยทั่วไปพฤติกรรมนี้จะเกิดอยู่นานพอควร จนกว่าลูกสาวจะแต่งงานหรือแยกบ้านไป
หรือจนกว่าจะถูกสมาชิกอื่นในครอบครัวขัดขวาง การศึกษาเกือบทั้งหมดสรุปได้ว่า ปัญหาดังกล่าว
เกิดในครอบครัวที่สามีภรรยาอยู่ด้วยกัน และปัจจัยที่ทำให้เกิดคือ การปรับตัวไม่ได้ดีทางเพศ
ความบาดหมางระหว่างสามีภรรยา หรือการขาดความสัมพันธ์ทางเพศกับภรรยา
พ่อส่วนใหญ่รู้สึกผิดจากการกระทำของตนน้อยมาก หรือถ้าจะรู้สึกก็ไม่ได้เกิดจากสำนึกของตนเอง
แต่เพราะความละอายหรือความเสียหน้าที่คนอื่นล่วงรู้ถึงพฤติกรรมนี้ และเพื่อแก้ไขความรู้สึกในทางไม่ดี
ของสังคมที่มีต่อตน เขามักจะให้เหตุผลของการกระทำว่าเขาทำเพราะเป็นหน้าที่ของพ่อที่จะต้องสอนลูกสาว
ให้มีความรู้เรื่องเพศอย่างถูกต้อง อันเป็นการป้องกันอันตรายที่จะได้รับจากชายอื่น
การแยกพ่อออกจากลูกสาวเป็นการช่วยให้พฤติกรรมนี้หยุดไปได้ชั่วคราว แต่ไม่มีหลักฐานว่า
เมื่อพ่อกลับมาใหม่พฤติกรรมนี้เกิดขึ้นอีกหรือไม่
น่าแปลกที่ภรรยาของพ่อพวกนี้มักจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น และยังอาจสมรู้ร่วมคิดกับสามี
เกือบทุกรายสนับสนุนความสัมพันธ์นี้โดยการทอดทิ้ง ทำให้สามีคับข้องใจเรื่องเพศ หรือสมรู้ร่วมคิดกับสามี
เมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้วภรรยาจะแสดงปฏิกิริยา 2 อย่างคือ ทนปัญหาได้โดยแสดงการประท้วงเพียงเล็กน้อย
หรือปฏิเสธไม่รับรู้พฤติกรรมนี้โดยสิ้นเชิง
บุคลิกภาพของแม่มักเป็นแบบไม่บรรลุวุฒิภาวะและเหมือนทารก คือ สมยอม ยึดติดและต้องพึ่งพ่อแม่ของตน
มักแต่งงานเมื่ออายุยังน้อยเกินไปกับชายซึ่งมีบทบาทเป็นผู้นำ และควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเธอ
การที่แม่สมยอมและขาดอิทธิพลในบ้าน ทำให้ลูกไม่ได้รับการคุ้มครองให้พ้นอันตรายจากพ่อ
และทำให้เด็กขาดการพัฒนาทางบุคลิกภาพอย่างพอเพียงที่จะต่อต้านการกระทำอันนี้ ยิ่งกว่านั้น
แม่ยังดูเหมือนจะสนับสนุนให้ลูกเป็นผู้ใหญ่เร็วเกินไป โดยมอบหมายให้ลูกทำหน้าที่ของแม่
รวมทั้งความสัมพันธ์ทางเพศกับพ่อด้วย
แม้ว่าสังคมโดยทั่วไปจะเห็นใจลูกสาวและเคียดแค้นชิงชังพ่อ แต่ก็มีสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า
ลูกสาวอาจจะมีบทบาทในการเกิดหรือเป็นคนเริ่มพฤติกรรมนี้ มีผู้สงสัยว่าลูกสาวจะถูกบังคับให้ร่วมเพศ
กับพ่อจริงหรือ เพราะพฤติกรรมนี้มักจะดำเนินอยู่เป็นระยะเวลานานพอสมควรโดยที่ลูกสาวก็ยินยอมให้พ่อทำ
ไม่บ่นหรือขัดขืน
มีความเห็นแย้งกันว่าลูกสาวเหล่านี้รู้สึกผิดหรือไม่ บางรายพบว่า เธอจะถือการร่วมเพศกับพ่อ
เป็นการแสดงความรักของพ่อทำให้เธอไม่ค่อยรู้สึกผิด และถ้าจะมีความรู้สึกผิดเกิดขึ้นก็มักไม่เกี่ยวกับ
การมีเพศสัมพันธ์กับพ่อ แต่เนื่องจากความลับที่เปิดเผยทำให้บ้านแตก สังคมตราหน้า
หรือจากความรู้สึกก้าวร้าวและความรู้สึกอยากแก้แค้นที่เธอมีต่อแม่
อย่างไรก็ดี แม้จะสรุปไม่ได้ถึงความรู้สึกของลูกสาวต่อพฤติกรรมนี้ แต่ก็พบว่าลูกสาวมักจะหลีกเลี่ยง
ความรู้สึกผิดโดยพยายามบอกว่าตนไม่มีความสุขจากการร่วมเพศกับพ่อเลย
เนื่องจากกฎหมายมักจะสนใจเฉพาะพ่อ และปกป้องลูกสาวไม่ให้ได้รับความอัปยศอดสูยิ่งขึ้น
เราจึงมีความรู้เกี่ยวกับบุคลิกภาพของเด็กสาวเหล่านี้น้อย อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาของนักวิจัยหลายคนพบว่า
ระดับสติปัญญาไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดพฤติกรรมดังกล่าว แต่ถ้าระดับสติปัญญาต่ำ
อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดปัญหานี้ได้มากกว่า และทำให้พฤติกรรมที่เกิดขึ้นแล้วเกิดอยู่นาน
เรายังไม่ทราบผลที่เกิดกับเด็กสาวซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเพศกับบิดาอย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม
จากการศึกษาพบว่า ถ้าพฤติกรรมนี้เกิดก่อนที่เด็กจะเข้าวัยรุ่น มักจะไม่ค่อยมีผลต่อจิตใจเด็ก
แต่ถ้าเกิดในวัยรุ่นจะสร้างปัญหาทางจิตใจให้มากกว่า ทั้งนี้อาจเป็นเพราะในวัยนี้มีความรู้สึกผิดชอบรุนแรงกว่า
รู้ว่าอะไรปกติอะไรไม่ปกติในสังคมมากกว่า และอยู่ในระยะที่กำลังพัฒนาด้านภาพพจน์ของตัวเอง
และเอกลักษณ์ทางเพศ อาการที่พบได้ในเด็กพวกนี้คือ อารมณ์เศร้า อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดไปทั่วทั้งตัว
นอนไม่ค่อยหลับ การเรียนเลวลง และสำส่อนทางเพศ
การรักษา
1. วิธีจิตบำบัดแบบประคับประคอง (Supportive psychotherapy) หรือ จิตบำบัดอย่างลึก
(Intensive psychotherapy)
2. อธิบายปัญหากับพ่อแม่โดยไม่ตำหนิหรือกล่าวโทษเขา อธิบายให้เข้าใจถึงพัฒนาการ
ทางบุคลิกภาพของเด็กในเรื่องเพศโดยย่อว่า ในวัย 3-5 ปีและในวัยรุ่นเด็กมีความต้องการใกล้ชิด
กับพ่อแม่ที่เป็นเพศตรงกันข้ามมาก เพื่อให้พ่อแม่มองเห็นปัญหาขึ้นมาเอง และเห็นความจำเป็น
ที่จะต้องป้องกันการเกิดปัญหานี้ขึ้นมาอีก
3. การรักษาพ่อตามลำพังทำได้ยาก เพราะพ่อพวกนี้มักมีความคิดเกี่ยวกับบทบาท
ของตนต่อลูกสาวที่แปลกกว่าคนทั่วไป และมักไม่ยอมรับหรือหาเหตุผลเข้าข้างการกระทำของตน
การแยกพ่อจากเด็กเป็นการขัดขวางพฤติกรรมนี้ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
ตัวอย่างผู้ป่วย
ผู้ป่วยหญิง โสด อายุ 24 ปี การศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ยังไม่มีอาชีพที่แน่นอน
มีประวัติการร่วมเพศกับบิดาตั้งแต่อายุ 15 ปีจนถึงปัจจุบัน
ผู้ป่วยเป็นบุตรคนเล็กในจำนวน 2 คน พี่สาวแก่กว่าผู้ป่วยปีเดียว ความเป็นอยู่ระหว่างผู้ป่วย
และพี่สาวต่างกันมาก พี่สาวนั้นทั้งยาย มารดา และบิดารัก ยายถึงกับเลี้ยงเอง ให้นอนด้วย และยกสมบัติให้
ส่วนผู้ป่วยยายเกลียดเพราะหน้าผู้ป่วยเหมือนมารดาเลี้ยงของยาย บิดามารดาก็ไม่ค่อยรัก ใช้ให้ทำงานบ้าน
และให้อะไรๆ น้อยกว่าพี่สาวเสมอ เมื่อแรกคลอดมารดาก็ไม่ได้เลี้ยงเอง ส่งไปอยู่สถานพยาบาลตั้งแต่อายุ 2 เดือน
จนอายุ 11 เดือน จึงเอากลับเพราะผู้ป่วยผอมมาก กลับมายายก็ดุและตีบ่อยๆ จนพี่เลี้ยงต้องคอยกัน
และกลางคืนต้องนอนกับพี่เลี้ยง พี่สาวเรียนเก่งมาก แต่ผู้ป่วยมีความสามารถเรียนได้เพียงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
มารดาอายุ 60 ปี เป็นลูกขุนนางเก่า ฐานะดี เป็นลูกสาวคนโต และมีน้องชาย 1 คน
การศึกษาระดับมัธยมปีที่ 8 (ม.8) อาชีพครู เป็นคนรูปร่างอ้วน เตี้ย และหน้าตาไม่สวย ทำอะไรก็ไม่ค่อยเป็น
ต้องพึ่งคนอื่นโดยเฉพาะสามีตลอดเวลา เพราะถูกเลี้ยงดูแบบตามใจมาก และถูกเข้มงวดกวดขันในเรื่องเพศ
และเรื่องเพื่อนชายตั้งแต่เด็ก ทั้งยังกลัวสามีด้วย ส่วนบิดาเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี อายุ 53 ปี อ่อนกว่าภรรยา 7 ปี
ฐานะเดิมค่อนข้างยากจน แต่เป็นคนทะเยอทะยาน เกลียดความจน และมีทัศนคติว่าจะต้องแต่งงานกับคนรวย
ปกติเป็นคนปากหวานและเจ้าชู้ หลังแต่งงานแม่ยายรักมาก 3 ปีหลังแต่งงานมีภรรยาน้อยและมีลูกด้วยกัน
อีก 3 คนทำให้ชีวิตสมรสเปลี่ยนไป เพราะทะเลาะกับภรรยาบ่อยขึ้น และต้องแบ่งเวลากันระหว่าง 2 บ้าน
ผู้ป่วยเคยสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองตั้งแต่อายุ 13 ปี มีความต้องการทางเพศค่อนข้างสูง
แต่ไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชายมาก่อน อายุ 15 ปี ได้เห็นบิดากอด ถอดเสื้อผ้า
พร้อมทั้งลูบคลำเต้านมและอวัยวะเพศของพี่สาวทั้งยังขอร่วมเพศด้วย แต่พี่สาวของผู้ป่วยปฏิเสธ
เมื่อพ่ออ้อนวอนพี่สาวผู้ป่วยไม่สำเร็จก็หันมาหาผู้ป่วย อ้างว่าถ้าไม่ได้ระบายอารมณ์เพศจะไม่มีแรงทำงาน
และเป็นการสอนเพศศึกษาให้ผู้ป่วยเพื่อจะได้เข้าใจเวลาแต่งงานกับชายคนอื่น ผู้ป่วยเล่าว่า
บิดาพยายามจนสำเร็จ โดยผู้ป่วยไม่ได้ขัดขืนอย่างจริงจังเพราะสงสารบิดา การที่ยอมร่วมเพศกับบิดา
เป็นการตอบแทนพระคุณบิดาอย่างหนึ่งและเป็นการดึงบิดาให้ห่างจากภรรยาน้อยด้วย ยิ่งกว่านั้น
ยังทำให้ตนได้รับความรักและเอาใจใส่จากบิดามากขึ้น แรกๆ บิดาไม่ได้ร่วมเพศจริงๆ
เพียงแต่ถูองคชาตกับอวัยวะเพศของผู้ป่วยจนกระทั่งหลั่งน้ำกาม เพิ่งร่วมเพศกันจริงๆ
เมื่อผู้ป่วยอายุได้ 19 ปี และผู้ป่วยมีความรู้สึกว่าตนเป็นภรรยาของบิดาอีกคนหนึ่ง
ผู้ป่วยยอมรับว่าตนมีอารมณ์ร่วมกับบิดาด้วย และมักเป็นฝ่ายกระทำให้บิดาก่อน
ผู้ป่วยคิดว่ามารดาก็ทราบเรื่องนี้และเป็นใจให้บิดาร่วมเพศกับผู้ป่วยตั้งแต่ต้นมาทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยปฏิเสธความสุขสุดยอดจากการร่วมเพศกับบิดา
ศาสตราจารย์แพทย์หญิงสุวัทนา อารีพรรค
|