ศาสตราจารย์แพทย์หญิงสุวัทนา อารีพรรค
การข่มขืนกระทำชำเรา คือ การพยายามร่วมเพศโดยฝ่ายหญิงไม่ยินยอม อันถือเป็นการทำร้ายทางเพศ
อย่างหนึ่งในทางกฎหมาย การข่มขืนกระทำชำเรารวมถึงการที่หญิงหรือชายยินยอมให้มีการร่วมเพศ
เพราะความกลัว เพราะถูกบังคับ เพราะถูกล่อล่วงหรือเพราะปัญญาอ่อน การร่วมเพศในสภาวะที่หญิง
ไม่อาจขัดขืนได้ เช่น ในขณะหญิงหลับ หมดสติเนื่องจากยาหรือสุรา หรือถูกทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นสามี
เช่น ในขณะถูกสะกดจิต ก็จัดว่าเป็นการข่มขืนกระทำชำเราด้วย แต่กรณีที่เป็นสามีภรรยากัน
ภรรยาไม่สามารถฟ้องร้องว่า สามีข่มขืนกระทำชำเรา แต่กรณีที่เป็นสามีภรรยากัน
ภรรยาไม่สามารถฟ้องร้องว่าสามีข่มขืนกระทำชำเรา แม้ตนจะไม่ยินยอมให้สามีร่วมเพศด้วย
เพราะการแต่งงานเป็นสัญญาว่าหญิงได้ยินยอมให้ชายร่วมเพศได้ตลอดไป
ผู้ถูกข่มขืนมักมีอายุระหว่าง 18-25 ปี มีบ้างที่เป็นเด็กหรือคนชรา ชายผู้ข่มขืนกระทำชำเรา
มักมีอายุระหว่าง 20-24 ปี มีรายได้น้อย ด้อยวัฒนธรรมและระดับสติปัญญาต่ำกว่าปกติ
ระดับสติปัญญาของเขามักจะต่ำกว่าพวกที่ก่ออาชญากรรมรุนแรงอื่นๆ พ่อแม่ของคนพวกนี้
ก็มักมีอารมณ์ไม่แน่นอน ไม่ค่อยได้อบรมสั่งสอนลูก หรือพ่อเป็นคนอ่อนและติดสุรา
ส่วนใหญ่ของผู้ข่มขืนกระทำชำเรามาจากครอบครัวที่แตกแยก อารมณ์ไม่เหมาะสมกับอายุ
และรูปร่างหน้าตาไม่ดี ร้อยละ 30-40 สมรส และร้อยละ 50-60 เคยสมรสมาแล้ว
บางคนมีเพื่อนหญิงหลายคนและมีความสุขจากการมีเพศสัมพันธ์ตามปกติ แต่บางคนก็มีความวิปริตทางเพศ
บางอย่างมาก่อน เช่น เป็นนักถ้ำมอง หรือชอบอวดอวัยวะเพศ
อย่างไรก็ตาม คนที่ข่มขืนกระทำชำเราอาจเป็นคนฉลาด น่านับถือ และมีรูปร่างหรือบุคลิกภาพสง่างาม
เมื่อไม่นานมานี้มีผู้รายงานว่าคนที่ก่อพฤติกรรมนี้ไม่ได้มีปัญหาทางอารมณ์มากกว่าคนทั่วไป
แรงจูงใจพื้นฐานที่ทำให้ลงมือกระทำ คือ ความต้องการมีอำนาจเหนือและมีความรู้สึกก้าวร้าว
ต่อผู้ถูกข่มขืน การข่มขืนมักเกิดโดยบังเอิญ ไม่ได้วางแผนจะกระทำหรือกระทำต่อหญิงคนใดโดยเฉพาะเจาะจง
แต่เกิดเนื่องจากผู้ถูกข่มขืนกระตุ้นผู้ข่มขืนให้อยากระบายอารมณ์รุนแรงของตนในขณะนั้น
เช่นการแต่งกายที่ยั่วยุอารมณ์เพศ บางครั้งการข่มขืนเกิดในขณะผู้กระทำกำลังก่ออาชญากรรมอย่างอื่นอยู่
เช่น กำลังขโมยหรือกำลังปล้น
สุราอาจมีส่วนทำให้เกิดพฤติกรรมนี้ พบว่าประมาณร้อยละ 50 ของผู้ที่ข่มขืนกระทำชำเราดื่มสุรา
ก่อนลงมือกระทำ การดื่มสุราอาจกระทำเพื่อจุดมุ่งหมายบางอย่าง เช่น ทำให้กล้า ทำให้ไม่คิดมาก
หรือเพื่อโยนความผิดว่ากระทำเพราะฤทธิ์ของสุรา
การข่มขืนกระทำชำเราอาจทำเป็นกลุ่ม คือ มีผู้กระทำมากกว่า 1 คนร่วมกัน ในบางแห่ง
อัตราการกระทำแบบนี้อาจสูงถึงร้อยละ 70 ของคดีข่มขืนกระทำชำเราทั้งหมด ร้อยละ 90
ของการข่มขืนที่ทำเป็นกลุ่ม มีการวางแผนกระทำล่วงหน้า
ผลที่เกิดขึ้นกับผู้ถูกข่มขืนกระทำชำเรา
สังคมมักไม่ยอมรับหญิงที่เคยถูกข่มขืน เธอมักมีปัญหาในการมีคู่ครอง บางวัฒนธรรมในสมัยก่อน
หญิงที่ถูกข่มขืนอาจถูกสามีหรือบิดาตีหรือฆ่า หรือฆ่าตัวตาย เพราะครอบครัวหรือหญิงผู้ถูกข่มขืนเอง
มักจะคิดว่า เคราะห์กรรมนี้ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลและครอบครัว
หญิงที่ถูกข่มขืนมักจะไม่มาพบแพทย์ด้วยปัญหาการถูกข่มขืนโดยตรง แต่จะมาด้วยอาการทางร่างกาย
และจิตใจ เช่น เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ มีความวิตกกังวลมาก อาจพูดติดอ่างหรือพูดไม่ต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน
บางรายอาจจะเงียบไม่พูดเลยเป็นเวลานาน
เบอร์เกส (Burgess) และโฮล์มสตรอม (Holmstrom) ได้อธิบายปฏิกิริยาต่อการถูกข่มขืนเป็น 2 ระยะ คือ
1. ระยะแรก ผู้ป่วยจะแสดงอาการกลัว โกรธ กังวลโดยการร้องไห้ เครียด ยิ้ม อยู่ไม่สุข หรือซ่อนอารมณ์ไว้
2. ระยะที่สอง 2-3 สัปดาห์ หลังถูกข่มขืนผู้ป่วยจะจัดระบบชีวิตของตนใหม่ มักจะเปลี่ยนที่อยู่
และเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ มีอาการกลัวอะไรบางอย่างโดยปราศจากเหตุผล (phobia) ฝันร้าย
และกระสับกระส่าย
การรักษาผู้ที่ถูกข่มขืนกระทำชำเรา
1. เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึกและความคิด และกระตุ้นให้กลับไปทำหน้าที่เหมือนเดิม
โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
2. ถ้ามีปัญหาทางจิตอย่างอื่นเป็นพื้นฐาน ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะถูกข่มขืนอีก เช่น
เป็นโรคจิตเภทหรือติดสุรา ต้องการให้การรักษาปัญหาพื้นฐานนั้นด้วย
3. ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกฎหมาย และรักษาอาการทางกาย
4. ป้องกันการตั้งครรภ์ โดยให้รับประทานไดเอ็ททิลสติลเบสตรอล (diethylstibestrol) ติดต่อกัน 5 วัน
ถ้าหลังหยุดภายใน 1 สัปดาห์ ไม่มีประจำเดือนก็อาจต้องทำวิธีใดวิธีหนึ่ง รวมทั้งการทำแท้ง
5. ผู้ข่มขืนอาจเป็นกามโรค เพราะฉะนั้นต้องให้ยาปฏิชีวนะ
6. เก็บของเหลวจากช่องคลอดเพื่อส่งให้ตำรวจนำไปตรวจหาแอซิด ฟอสฟาเทส (acid
phosphatase) และหาภูมิต้านทานอสุจิในเลือด เพาะเชื้อจากของเหลวที่ปากมดลูก
และทวารหนักเพื่อตรวจหาเชื้อหนองใน และตรวจน้ำเหลืองหาภูมิต้านทานต่อเชื้อซิฟิลิส
7. ต้องมีการเซ็นชื่ออนุญาตให้แพทย์ตรวจ ถ่ายภาพ เก็บสารตัวอย่างและให้การกับตำรวจ
8. แพทย์เป็นผู้บันทึกประวัติจากถ้อยคำของผู้ป่วย เก็บเสื้อผ้าและหลักฐานต่างๆ ตลอดจน
ผลการตรวจร่างกายและผลการตรวจทางห้องทดลอง รวมทั้งให้การรักษา แต่จะไม่ใช่ผู้วินิจฉัยว่า
เป็นการข่มขืนกระทำชำเรา เพราะการวินิจฉัยอันนี้เป็นหน้าที่ของศาลเท่านั้น
|