 |
|
การมีความต้องการเปลี่ยนเพศหรือทรานสเซ็กชวลลิส์ม
เป็นความผิดปกติทางเพศ เนื่องจากมีความเชื่อว่าเพศที่ปรากฏ
ทางร่างกายของตนไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดความต้องการที่จะผ่าตัด
เปลี่ยนเพศ หรือไม่ก็พยายามซ่อนเพศทางร่างกายของตนไว้
โดยการแต่งกายหรือประพฤติแบบเพศตรงกันข้าม ส่วนใหญ่
ของคนที่มีปัญหานี้คือ ผู้ชาย
คอลด์เวลล์ (Cauldwell) เป็นผู้เริ่มเอาคำทรานสเซ็ก
ชวลลิส์มาใช้ หลังจากมีการเปลี่ยนเพศหนุ่มน้อยอเมริกันชื่อ
จอร์จ จอร์เกนเสน (George Jorgensen) ให้เป็นเด็กสาวชื่อ
คริสตีน จอร์เกนเสน (Christine Jorgensen) โดยการใช้
ฮอร์โมนและการผ่าตัดในกรุงโคเปนเฮเกนระหว่าง ค.ศ.
1951-1952 เดิมความผิดปกตินี้จัดรวมอยู่ในขบวนการ
ของโรคลักเพศ |
อุบัติการของการมีความต้องการเปลี่ยนเพศยังไม่เป็นที่ทราบแน่นอน ที่มหาวิทยลัยจอห์นส์ฮอปกินส์
ประเทศสหรัฐอเมริกาประมาณว่ามีผู้ชายที่เป็นโรคนี้ 1 คนต่อประชากร 100,000 คน และผู้หญิง 1 คน
ต่อประชากร 400,000 คน ในสวีเดนมีชายที่เป็นโรคนี้ประมาณ 1 คนต่อประชากร 40,000 คน
และหญิงประมาณ 1 คนต่อประชากร 100,000 คน ซึ่งพอๆ กับของประเทศอังกฤษและเวลส์
ลักษณะของผู้ป่วย
สำหรับผู้ชาย เพศทางร่างกายของเขาจะเป็นชายแต่จิตใจเป็นหญิง เขาต่างจากพวกลักเพศ
ตรงที่ไม่ได้ชอบแต่งกายเป็นเพศตรงกันข้ามเท่านั้น แต่เขาไม่ต้องการความเป็นเพศชายของเขาเลย
เขาต้องการมีชีวิตเป็นผู้หญิงอย่างสมบูรณ์ทั้งในด้านอารมณ์ ร่างกาย และชีวิตทางเพศ ความต้องการที่รุนแรงนี้
เริ่มตั้งแต่วัยรุ่นและเขาจะพยายามแก้ไขโดยใช้ชีวิตอย่างเพศหญิง ได้แก่ หางานที่ผู้หญิงทำ เช่น
งานเสริมสวยหรือตัดเย็บเสื้อผ้า เพื่อสนองความมีบุคลิกภาพแบบผู้หญิงของเขา แต่ในที่สุดเมื่อความต้องการมากขึ้น
เขาจะเกลียดอวัยวะเพศของตนและอยากตัดออก อยากมีช่องคลอด และอยากมีเต้านม นั่นคือ
เกิดความต้องการที่จะเปลี่ยนเพศ
ในเรื่องเพศสัมพันธ์ เขาต้องการความรักจากผู้ชายแบบชายรักหญิง ไม่ใช่แบบรักร่วมเพศ
เขาต้องการเป็นเพศหญิงเพื่อจะได้อยู่กินกับผู้ชายในฐานะเป็นภรรยา คนพวกนี้ไม่ใช่กะเทย (hermaphrodite)
ซึ่งอาจมีลักษณะบางอย่างของทั้ง 2 เพศ แต่เขามีลักษณะเป็นเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น และรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง
ส่วนผู้หญิง เพศทางร่างกายเป็นผู้หญิงแต่จิตใจเป็นผู้ชาย คนพวกนี้เมื่อวัยเด็กจะเป็นทอมบอย
และอิจฉาความเป็นชายของเด็กชาย และเมื่อผ่านวัยหนุ่มสาวไปแล้วเขาจะมีความยุ่งยากในการเลือกเพศ
เขาไม่ต้องการเต้านมและประจำเดือน มีความรักกับผู้หญิงด้วยกัน และต้องการจะอยู่กับคนรักในฐานะเป็นสามี
เพราะฉะนั้นเขาจะพยายามแต่งตัวให้เหมือนชายที่สุดโดยการพันเต้านมเพื่อให้หน้าอกแฟบลง
แสดงท่าทางและคำพูดแบบผู้ชาย และหางานที่ผู้ชายทำ ต่อมาเมื่อความต้องการรุนแรงมากขึ้น
เขาจะต้องการตัดเต้านมและมดลูกออกเพื่อให้ไม่ต้องเผชิญกับความเป็นหญิงของตน
และต่อไปก็ต้องการฉีดฮอร์โมนเพศชายและผ่าตัดเพื่อสร้างองคชาต
หญิงที่มีความต้องการเปลี่ยนเพศต่างจากพวกรักร่วมเพศ หญิงที่มีรูปร่างหรือชอบแต่งกายคล้ายผู้ชาย
ตรงที่พวกรักร่วมเพศไม่ต้องการเปลี่ยนเพศหรือใช้ชีวิตแบบเพศชายทั้งหมด เพียงแต่ต้องการมี
ความสัมพันธ์ทางเพศกับหญิงด้วยกันเท่านั้น
สาเหตุ
ยังไม่ทราบแน่นอน เชื่อว่าอาจเป็นเพราะ
1. การพัฒนาบุคลิกภาพและประสบการณ์ทางสังคมที่ทำให้แนวความคิดว่า
ตนเป็นเพศใดผิดไป ผู้ชายมักมีแม่ซึ่งขาดความสุขและยึดติดกับลูกคนนี้มาก
2. ฮอร์โมนเพศ มีผู้ทดลองในสัตว์พบว่า ฮอร์โมนเพศของทารกมีอิทธิพลต่อสมอง
โดยเฉพาะศูนย์อารมณ์และศูนย์ใกล้เคียงซึ่งควบคุมความประพฤติทางเพศ
นอกจากนั้นฮอร์โมนเพศจากภายนอกร่างกายที่ฉีดให้มารดาระหว่างการตั้งครรภ์
ยังมีอิทธิพลต่อความประพฤติทางเพศของทารกอีกด้วย
3. ความผิดปกติของโครโมโซม พบว่าพวกที่เป็นไคลนีเฟลเตอร์สซินโดรม
เป็นโรคนี้มากกว่าคนปกติ
4. อื่นๆ เช่น การติดเชื้อไวรัส และโรคลมชักที่เกิดจากความผิดปกติ
ของกลีบสมองส่วนขมับ
จิตแพทย์และนักจิตบำบัดเชื่อว่าการมีความต้องการเปลี่ยนเพศเป็นโรคทางใจ แต่แพทย์ฝ่ายกาย
เชื่อว่าเป็นโรคทางกาย อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจทางร่างกายของผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่พบความผิดปกติ
ของโครโมโซม ฮอร์โมน หรือโครงสร้างของร่างกายที่เป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้
และจากการทดสอบทางจิตวิทยาก็ไม่พบว่ามีขบวนการทางจิตใจแบบใดแบบหนึ่งโดยเฉพาะ
การรักษา
เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอนของการเกิดความต้องการเปลี่ยนเพศ
การรักษาจึงเป็นแบบรักษาตามอาการ โดยมีหลักว่า จะเปลี่ยนจิตใจให้เป็นไปตามร่างกาย
หรือเปลี่ยนร่างกายให้เป็นไปตามจิตใจ แต่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าการเปลี่ยนร่างกายให้เป็นไปตามจิตใจนั้น
ง่ายกว่าการเปลี่ยนจิตใจให้เป็นไปตามร่างกายมาก ทางการแพทย์สิ่งสำคัญที่สุดของความสำเร็จ
ในการเปลี่ยนเพศคือ ต้องช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจว่า การแก้ไขปัญหาของเขานั้น
ไม่ใช่โดยการเปลี่ยนเพศวิธีเดียว ผู้รักษาทั้งหลายจะช่วยกันหาวิธีซึ่งดีที่สุดสำหรับเขา
แต่อย่างไรก็ตามควรหลีกเลี่ยงการขัดแย้งกับผู้ป่วย
เพราะผู้ป่วยบางคนมีความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องเปลี่ยนเพศ เพราะฉะนั้น เขาจะเปลี่ยนจาก
แพทย์คนนี้ไปคนนั้นจนกว่าจะพบผู้ที่ยอมทำผ่าตัดให้หรือบางครั้งเขาจะบังคับแพทย์ทางอ้อม
โดยการพยายามฆ่าตัวตาย พยายามตัดหรือเฉือนอวัยวะเพศของตน อันทำให้แพทย์อาจจำใจ
ต้องทำผ่าตัดให้ ทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจว่าได้ทำถูกต้องแล้ว
ข้อบ่งชี้และข้อห้ามในการเปลี่ยนเพศ
มีผู้แนะนำว่า การผ่าตัดเปลี่ยนเพศชายให้เป็นหญิง ควรทำเฉพาะคนซึ่งได้แสดงลักษณะ
ของความเป็นผู้หญิงอย่างเด่นชัด ตั้งแต่วัยเด็กเล็กจนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่เป็นระยะ
และมีความต้องการเป็นผู้หญิงไม่เฉพาะลักษณะภายนอก แต่ทั้งชีวิต ข้อห้ามจริงๆ ในการเปลี่ยนเพศคือ
การเป็นโรคจิตหรือกึ่งโรคจิต (borderline psychosis) สภาวะอื่นๆ เช่น การสมรสแล้วและสามารถร่วมเพศ
จนมีความสุขสุดยอดกับหญิงได้ รวมทั้งกายที่มีลักษณะของความเป็นชายชัดเจน หรือมีความวิปริตทางเพศ
อย่างอื่นร่วมด้วย เช่น การมีความสุขทางเพศกับส่วนของร่างกายของเพศตรงกันข้าม
หรือวัตถุก็เป็นข้อห้ามเช่นกัน
สำหรับผู้หญิงข้อบ่งชี้ในการเปลี่ยนเพศเป็นชาย คือ การที่มีลักษณะของผู้ชายเด่นชัดตั้งแต่วัยเด็ก
และได้พยายามใช้ชีวิตแบบผู้ชายหลังจากวัยแตกสาว โดยการแต่งตัวเป็นชาย เลือกงานที่ผู้ชายทำ ฯลฯ
เป็นต้น ส่วนข้อห้ามก็ทำนองเดียวกับของผู้ชาย
ก่อนจะทำการผ่าตัดเปลี่ยนเพศมีหลักสำคัญข้อหนึ่งคือ การทดลองใช้ชีวิตตามเพศที่บุคคลผู้นั้น
ต้องการชั่วระยะหนึ่ง อย่างน้อย 1 ปี โดยการกระตุ้นลักษณะของเพศตรงกันข้ามด้วยฮอร์โมนเพศ
ถ้ายังมีความคิดแน่วแน่ที่จะเปลี่ยนเพศจึงจะทำการผ่าตัด
การผ่าตัดประกอบด้วยการเอาอวัยวะเพศหรืออวัยวะที่เป็นลักษณะของเพศเดิมออก เช่น
การตัดเต้านม กำจัดหนวด เครา และขนตามร่างกาย ตัดองคชาต มดลูก และรังไข่ เป็นต้น โดยวิธีผ่าตัด
ให้ฮอร์โมนเพศ หรือวิธีอื่นๆ หลังจากนั้นจึงทำการผ่าตัดเพื่อสร้างอวัยวะเพศใหม่ ได้แก่ ผ่าตัดเสริมเต้านม
ทำช่องคลอดเทียม หรือทำองคชาตเทียม
ผลการรักษา
การทำผ่าตัดเปลี่ยนเพศมักจะหวังผลทั้งในด้านความสวยงามและการปฏิบัติงานทางเพศ
ในการเปลี่ยนเพศชายให้เป็นเพศหญิงมักจะได้ผลเป็นที่น่าพอใจ บางรายมีความสุขสุดยอด
จากการร่วมเพศได้ด้วย เพราะผิวหนังบางส่วนขององคชาตยังคงอยู่ แต่รายที่เปลี่ยนจากหญิงเป็นชาย
ผลมักจะไม่ค่อยดีทั้งในด้านความงามของอวัยวะเพศและความสามารถในการร่วมเพศ
จากการติดตามผลการรักษาชาย 17 คน และหญิง 7 คน ซึ่งได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนเพศไปแล้ว
ที่โรงพยาบาลจอห์นส์ฮอปกินส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยอาศัยหลักเกณฑ์ 5 ประการคือ
ความสามารถในการประกอบอาชีพ ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นอย่างคงเส้นคงวา ความจำเป็นต้องได้รับจิตบำบัด
ความรู้สึกเป็นสุขสบาย และปัญหาอาชญากรรม
กล่าวได้ว่าทุกรายดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเปลี่ยนเพศ การที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะได้มีการเลือกเฟ้นผู้ป่วย
ที่จะทำการผ่าตัดเป็นอย่างดีมาก่อน ส่วนรายงานจากที่อื่นของสหรัฐได้ผลไม่ดีเท่านี้ ผู้ป่วยบางรายเสียใจ
ที่เปลี่ยนเพศและพยายามจะกลับไปเป็นเพศเดิมของตนอีกก็มี
ตัวอย่างผู้ป่วยรายที่ 1
ผู้ป่วยชาย โสด อายุ 32 ปี การศึกษาชั้นมัธยมตอนต้น อาชีพลูกเรือ มาโรงพยาบาล
เนื่องจากพยายามฆ่าตัวตายเพราะไม่มีเงินจะเปลี่ยนเพศ
ผู้ป่วยเกิดในครอบครัวคนจีนที่ยากจน เป็นลูกคนกลาง มีพี่ชาย 2 คน พี่สาว 1 คน
น้องชาย 2 คน และน้องสาว 1 คน ตั้งแต่จำความได้รู้สึกว่าพ่อไม่ยุติธรรมและเกลียดผู้ป่วย
พ่อมักไม่ให้ของรับประทาน ดุด่าบ่อยๆ และตบตีผู้ป่วยแรงๆ เสมอ จนผู้ป่วยคิดว่าการตบนั้น
เป็นเหตุให้ผู้ป่วยไม่ฉลาด
มารดาเป็นช้างเท้าหลัง ไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไรเกี่ยวกับลูกๆ บิดามารดาทะเลาะกันเป็นประจำ
ด้วยเรื่องการเงินและเรื่องผู้ป่วย ตั้งแต่จำความได้รู้สึกอยากเป็นหญิงและชอบเล่นกับเด็กผู้หญิง
จึงมักถูกเพื่อนล้อว่าเป็นกะเทย แม้พี่ชายก็ดูถูกผู้ป่วยในเรื่องนี้ ในวัยหนุ่มไม่เคยมีความรู้สึกทางเพศ
กับเพศหญิงเลย ชอบผู้ชายแต่ไม่ใช่แบบรักร่วมเพศ อยากให้ผู้ชายรักตนแบบชายรักหญิง
เคยสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองในวัยแตกหนุ่มแต่ไม่บ่อย หลังอายุ 16 ปี ไม่ได้ทำอีกเลย
ผู้ป่วยยอมรับว่า มีความต้องการทางเพศมาก และอยากจะเปลี่ยนเพศเป็นเพศหญิง
เพื่อแต่งงานกับผู้ชาย บางครั้งเวลาถูกผู้ชายกอดจะหลั่งน้ำกาม
ผู้ป่วยเป็นชายร่างผอมเล็ก หน้าตาไม่ค่อยดี ขี้อาย และมีอารมณ์เศร้าอยู่เสมอ เวลาโกรธ
หรือเสียใจมักคุมอารมณ์ไม่ได เข้ากับคนยาก มีปัญหากับเพื่อนเสมอ พยายามฆ่าตัวตายมาแล้ว 3 ครั้ง
เนื่องจากถูกเยาะเย้ยที่มีความคิดจะเปลี่ยนเพศ มีความตั้งใจว่าจะเป็นเพศหญิงและแต่งงานกับชายที่ดีสักคน
จะไม่ยอมแต่งงานกับผู้หญิงเด็ดขาด
การตรวจสภาพจิต ไม่พบว่ามีความผิดปกติอย่างอื่นนอกจากการเคลื่อนไหวช้า อารมณ์ซึมเศร้า
และบางครั้งอยากฆ่าตัวตาย ความจำ การรับรู้เกี่ยวกับเวลา สถานที่ และบุคคลดี เชาวน์ปัญญาอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย
มีความเข้าใจความเป็นจริงต่างๆ และยอมรับความผิดปกติของตน การตัดสินใจในเรื่องๆ ทั่วไปดี
ตัวอย่างผู้ป่วยรายที่ 2
ผู้ป่วยชาย โสด วัย 27 ปี การศึกษาระดับประถมปีที่ 7 มีความรู้อยากเป็นหญิงตั้งแต่จำความได้
ทั้งที่พ่อแม่ไม่ได้สนับสนุน ซ้ำยังถูกดุด่าด้วยถ้าเห็นผู้ป่วยเอาเสื้อผ้าของผู้หญิงมาสวม ชอบเล่นแบบผู้หญิง
และกับเพื่อนผู้หญิงจนถูกเพื่อนผู้ชายล้อ เมื่อเข้าโรงเรียนยังแต่งกายเป็นผู้ชาย อยู่โรงเรียนที่มีทั้งสองเพศ
จนจบชั้นประถมปีที่ 7 จึงออกเพราะรู้สึกว่าสมองไม่ดี และระยะนั้นพ่อกับแม่แยกทางกันด้วย
ผู้ป่วยเริ่มมีความรู้สึกอยากเป็นผู้หญิงมากขึ้นถึงขนาดแต่งกายเป็นผู้หญิง ใส่วิกผมยาว
และรับประทานยาสมุนไพรรวมทั้งฮอร์โมนเพศ เมื่ออายุ 16 ปี เริ่มด้วยรับประทานกวาวเครือ
ซึ่งทำให้เต้านมโตขึ้น แต่หัวนมดำจึงเลิกรับประทาน หันมารับประทานฮอร์โมนเพศหญิงแทน
และต่อมาใช้วิธีฉีด
4-5 เดือน ก่อนผ่าตัดเปลี่ยนเพศ ผู้ป่วยเดินทางไปต่างประเทศ และประสบปัญหา
เรื่องการใช้ห้องน้ำผิดเพศ จึงถูกส่งกลับประเทศ เพื่อนชายของผู้ป่วยที่อยู่ประเทศนั้นสงสาร
จึงแนะนำให้ผู้ป่วยเปลี่ยนเพศ
ผู้ป่วยเปลี่ยนเพศแล้วปีเศษ โดยการเสริมเต้านม และผ่าตัดเอาลูกอัณฑะรวมทั้งองคชาตออก
พร้อมทั้งมีการสร้างช่องคลอดใหม่ ผู้ป่วยทดลองใช้ช่องคลอดหลังผ่าตัดได้ 3 เดือน ปรากฏว่า
ใช้การได้ดีพอสมควร และผู้ป่วยพอใจสภาพเพศใหม่ ไม่เสียดายหรือคิดจะกลับเป็นเพศเก่าอีกเลย
บิดาของผู้ป่วยอายุ 50 ปี เป็นคนจีน อาชีพทำเครื่องหนัง ลำเอียง รักลูกชายคนที่ 2 มากกว่าใครๆ
และมักดุหรือทำโทษผู้ป่วยเป็นประจำ มีภรรยาน้อยและแยกทางกับมารดาผู้ป่วยไปอยู่กับภรรยาน้อย
ตั้งแต่ผู้ป่วยกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 7
มารดาอายุ 47 ปี เป็นคนจีนที่หากินเก่งและเป็นใหญ่ในบ้าน นิสัยจู้จี้ขี้บ่น พิถีพิถันและเจ้าอารมณ์
ชอบวิจารณ์ลูกๆ แต่ก็รักผู้ป่วย ผู้ป่วยมีพี่น้องทั้งหมด 6 คน เป็นชาย 4 คน หญิง 2 คน ผู้ป่วยเป็นคนโต
น้องชายคนที่ 3 เป็นรักร่วมเพศและเคยแอบเอาเสื้อผ้าของผู้หญิงไปแต่งเป็นบางครั้ง แต่ไม่คิดอยากเปลี่ยนเพศ
ส่วนน้องสาวคนที่ 5 มีนิสัยคล้ายผู้ชายแต่ยังไม่ประพฤติรักร่วมเพศ ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด
ผู้ป่วยมีการศึกษาต่ำกว่าทุกคน และไม่สนิทสนมกับบิดามารดาตลอดจนน้องๆ
ผู้ป่วยมีการพัฒนาการทางร่างกายเป็นปกติ แต่ตอนรุ่นหนุ่มไม่มีขนตามตัว ขนหน้าแข้งและขนรักแร้
มีหนวดพอเป็นไรๆ ไม่ต้องโกน ไม่มีกระเดือก และเสียงเล็ก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้ป่วยได้รับฮอร์โมนเพศหญิง
เริ่มเรียนหนังสือเมื่ออายุราว 6-7 ปี ผลการเรียนปานกลางไม่เคยสอบตก เรียนจบชั้นประถมปีที่ 7
เมื่ออายุประมาณ 14-15 ปีก็ออก เนื่องจากรู้สึกว่าสติปัญญาไม่ดีและมีปัญหาในครอบครัว คบเพื่อนได้ทั้งชาย
และหญิงแต่ไม่เคยสนใจทางเพศกับหญิงเลย เริ่มสนใจเรื่องเพศเมื่ออายุ 15-16 ปี สนใจแต่เพศเดียวกัน
อยากอยู่กับผู้ชายอย่างสามีภรรยา โดยผู้ป่วยเป็นภรรยา เคยปฏิบัติรักร่วมเพศโดยผู้ป่วยประพฤติเป็นฝ่ายหญิง
ใช้วิธีร่วมเพศทางทวารหนัก แต่ไม่เคยหลั่งน้ำกามนอกจากสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ลักษณะเพศของผู้ป่วยปกติ
ลูกอัณฑะขนาดปกติและอยู่ในถุงทั้ง 2 ข้าง องคชาตมีลักษณะและขนาดปกติ แข็งตัวได้และหลั่งน้ำกามได้
ผู้ป่วยสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และไม่มีความวิปริตทางเพศอย่างอื่น
ผู้ป่วยเคยแต่งตัวเป็นหญิงและประกอบอาชีพโสเภณีเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ทำได้ไม่นานก็เลิก
มาทำอาชีพอาบอบนวด นวดให้แขกผู้ชาย ผู้ชายบางคนก็ทราบว่าผู้ป่วยเป็นชาย แต่ส่วนใหญ่จะคิดว่า
ผู้ป่วยเป็นผู้หญิงจริงๆ
ผู้ป่วยมีนิสัยเป็นคนเจ้าอารมณ์ ขี้บ่น และพิถีพิถัน เวลาโกรธชอบขว้างของ สนใจกิจกรรมของผู้หญิง
เช่น การประกอบอาหาร ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองเนื่องจากมักจะถูกวิจารณ์จากมารดาอยู่เสมอ
ผู้ป่วยผ่านการเกณฑ์ทหารแล้ว แต่ได้รับการยกเว้นเนื่องจากแพทย์มีความเห็นว่าผู้ป่วยผิดปกติทางเพศ
ผลการตรวจสภาพจิตและการทดสอบทางจิตวิทยา ไม่พบอาการของโรคทางจิตเวชอย่างอื่น
แต่มีบุคลิกภาพและลักษณะของเพศหญิงรวมทั้งมีความตั้งใจจริงที่จะดำรงชีวิตแบบหญิง สมยอม
และขาดความมั่นใจในตนเอง
ศาสตราจารย์แพทย์หญิงสุวัทนา อารีพรรค
|