สิ่งที่ไม่คาดฝัน
เชื่อหรือไม่ว่า "โรงพยาบาลคือแหล่งสะสมความเสี่ยง"
ความเสี่ยงก็คือโอกาสที่จะประสบกับความสูญเสีย ซึ่งความสูญเสียนั้นอาจจะเป็นการเสียชีวิต
และภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย อาจจะเป็นเงินทอง ทรัพย์สิน ชื่อเสียงของโรงพยาบาล
เมื่อถามผู้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลว่า "หากญาติพี่น้องของท่านต้องเข้ารับการรักษาฉุกเฉิน
ในโรงพยาบาลที่ท่านปฏิบัติงานอยู่ แต่ขณะนั้นท่านมีเหตุจำเป็นต้องไปที่จังหวัดอื่น
ท่านจะมีความมั่นใจสักเพียงใดว่า ญาติพี่น้องของท่านจะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและปลอดภัย"
คำตอบดังกล่าวสะท้อนให้เห็นความจริงว่า ผู้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดว่า
มีความเสี่ยงอะไรอยู่ในระบบที่ตนเองทำงานอยู่ ความเสี่ยงเหล่านั้นอาจจะป้องกันได้ระดับหนึ่ง
หมอไม่รู้หรือรู้แล้วไม่บอก
เรื่องที่ได้ยินมา
"ฉันพาพ่อซึ่งป่วยหนัก ผอม และถ่ายเป็นเลือด ไปถึงโรงพยาบาลจังหวัดตอนบ่ายโมง
เป็นหนักจนคอพับ บ่าย 2 จึงได้ตรวจเพราะหมออยู่ที่คลินิก รักษาได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ไม่ดีขึ้น
หมอให้ออกจากโรงพยาบาลไปหาหมอที่คลินิก หมอบอกว่าคนแก่ก็อย่างนี้แหละ กินข้าวได้แล้วก็จะดีขึ้นเอง
หลังจากเอาพ่อออกมาก็ได้ไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน เสียไปอีก 5 หมื่นบาท แล้วพ่อก็เสียชีวิต
มาคิดอีกทีไม่น่าจะเอาพ่อออกจากโรงพยาบาลเลย ถ้าถามว่าจะให้รักษาที่ไหนก็จะตอบว่า
ให้ตายอยู่กับหมอนั่นแหละ เมื่อหวนนึกถึงภาพของพ่อตอนออกจากโรงพยาบาล เห็นพ่อน้ำตาไหลพราก
เหมือนกับจะรู้ตัว ฉันไม่ได้ไปแจ้งให้ใครทราบ เพราะไม่อยากจะฆ่าหมอ แต่ไม่เข้าใจว่า
ทำไมโรงพยาบาลรัฐต้องมีพรรคมีพวก ชาวบ้านที่ไม่มีพวกมักจะไม่ได้รับความเอาใจใส่
ส่วนโรงพยาบาลเอกชนทำดีแต่ต้องเสียเงินมากกว่าโรงพยาบาลรัฐตั้ง 5 เท่า"
วิเคราะห์
1. โรงพยาบาลได้รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นหรือไม่
เรื่องนี้ลูกสาวของผู้ป่วยโทรศัพท์มาเล่าให้ผู้จัดรายการวิทยุเพื่อสุขภาพ ไม่ได้คิดที่จะไปแจ้ง
ให้ผู้บริหารของโรงพยาบาลทราบ เพราะคิดว่าจะทำให้หมอได้รับความเดือดร้อน
โรงพยาบาลจะมีระบบอะไรเพื่อเก็บรวบรวมเรื่องราวเหล่านี้เข้ามาเพื่อปรับปรุงตนเอง ?
2. ความใส่ใจของผู้ให้บริการเป็นอย่างไร
จากประวัติที่ได้รับว่าผู้ป่วยสูงอายุและถ่ายเป็นเลือด สิ่งที่จะต้องสงสัยเป็นอันดับแรกคือ
ผู้ป่วยเป็นมะเร็งหรือไม่
หากจะมองในแง่ดีว่า แพทย์รู้อยู่แล้วว่าเป็นมะเร็ง และไม่มีทางจะรักษาให้หายได้
แพทย์ก็น่าจะอธิบายให้ญาติผู้ป่วยได้ทราบ ซึ่งจะช่วยป้องกันการเสียค่ารักษาในโรงพยาบาลเอกชน
ที่ไม่เกิดประโยชน์ได้
มีความเป็นไปได้ว่า แพทย์ไม่ได้ใส่ใจกับอาการที่นำผู้ป่วยมาโรงพยาบาล มุ่งรักษาตามอาการที่ปรากฏ
ถ้าเป็นเช่นนั้นแสดงว่าระบบการดูแลผู้ป่วยที่มีอยู่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้ยึดผู้ป่วย
และปัญหาของผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง
3. การทำงานเป็นทีมอย่างไร
พยาบาลคือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยและญาติมากที่สุด พยาบาลน่าจะทราบว่า
อาการของผู้ป่วยไม่ดีขึ้น ในการวินิจฉัยทางการพยาบาลน่าจะมีระบุเรื่องการถ่ายอุจจาระ
เป็นเลือดไว้ด้วย หรือควรจะได้พูดคุยกับแพทย์ว่ายังมีปัญหาอะไรบ้าง หากไม่สามารถ
ตรวจจับปัญหาได้นั่นเป็นปัญหาของวิชาชีพ แต่หากรู้ปัญหาแล้วไม่สามารถพูดคุยกับแพทย์ได้
นั่นเป็นปัญหาของการทำงานร่วมกันเป็นทีม
4. ระบบข้อมูลและการตรวจสอบตนเองเป็นอย่างไร
ข้อมูลที่จะถูกบันทึกลงไปเมื่อจำหน่ายสำหรับผู้ป่วยรายนี้น่าจะเป็นอะไร ?
อาจจะเป็นโรคผู้สูงอายุ อ่อนเพลีย ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งล้วนแต่อยู่ในกลุ่มของโรค
ที่ไม่ปรากฏชัดแจ้งทั้งสิ้น ทางโรงพยาบาลมีระบบที่จะนำเอาเวชระเบียนของผู้ป่วย
ที่มีการวินิจฉัยโรคในลักษณะนี้มาทบทวนความเหมาะสมหรือไม่ ?
แต่จากกรณีนี้เพียงการดูว่ามีประวัติการถ่ายเป็นเลือด แล้วไม่มีการตรวจชันสูตรอื่นๆ
ตามมาก็ชี้ให้เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าโรงพยาบาลน่าจะมีแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วย
(clincal practice guideline)
5. การจัดการบริการสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหนักเป็นอย่างไร
ผู้ป่วยเป็นหนักจนคอพับ มาถึงโรงพยาบาลเวลาบ่ายโมง แต่ต้องรอจนบ่ายสองโมงจึงได้ตรวจ
เพราะแพทย์ยังอยู่ที่คลินิก ถ้าเป็นผู้ป่วยทั่วไปก็คงไม่กระไรนัก แต่สำหรับกรณีนี้เกิดคำถามว่า
มีใครเห็นหรือไม่ว่า ผู้ป่วยมีอาการหนัก มีการจัดระบบบริการสำหรับผู้ป่วยหนัก เช่น
มีแพทย์ประจำที่ห้องฉุกเฉินตลอดเวลาหรือไม่
มาช่วยกันสร้างระบบที่ดีกว่า
1. ผู้ป่วยและญาติ
ท่านสามารถช่วยให้โรงพยาบาลปรับปรุงระบบการให้บริการได้โดย การนำปัญหา
หรือสิ่งที่ไม่คาดหวังว่าจะพบไปแจ้งให้ผู้บริการ หรือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบด้วยวิธีการใดก็ได้ เช่น
จดหมาย โทรศัพท์ การไปพูดคุยโดยตรง
2. ผู้ให้บริการ
ขอเพียงท่านเอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดเสมือนหนึ่งผู้ป่วยเป็นญาติของท่าน
ท่านก็จะมีพฤติกรรมที่สะท้อนว่าท่านมีคามมุ่งมั่นที่จะทำงานอย่างมีคุณภาพ
ขอเพียงท่านทำงานเป็นทีมร่วมกัน ท่านก็จะสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์
ที่มีประโยชน์สำหรับการดูแลผู้ป่วย
3. โรงพยาบาล
3.1 การรับฟังเสียงจากผู้ป่วยและลูกค้า
ควรมีระบบที่จะให้ผู้ป่วยและญาติได้บอกเล่าความต้องการ ความคาดหวัง และสิ่งที่ประสบจริง
ให้โรงพยาบาลได้ทราบ อาจจะเป็นอุปกรณ์ เช่น โทรศัพท์บันทึกเสียง อาจจะเป็นบุคคล เช่น
มีเจ้าหน้าที่ทำหน้าที่รับฟังเรื่องราวจากผู้ป่วยเสมือนเป็นญาติของตนเอง (patient representative)
ลำพังการสำรวจความพึงพอใจของผู้ป่วยที่ทำกันอยู่ทั่วไปไม่เพียงพอที่จะตรวจจับปัญหาต่างๆ
แต่นำมาสร้างระบบงานที่รัดกุมได้
3.2 การทบทวนตรวจสอบตนเอง
โรงพยาบาลจะต้องมีระบบที่กลุ่มผู้ให้บริการมาร่วมกันทบทวนตรวจสอบการให้บริการที่ได้กระทำไ
ป เป็นการทบทวนในกลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพด้วยกันเองที่เรียกว่า peer review การทบทวนนี้
อาจจะเป็นในระดับของโรงพยาบาลหรืออาจจะเป็นการทบทวนในระดับแผนก/กลุ่มงาน เช่น
ในกรณีนี้น่าจะเป็น ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเจ็บป่วยด้วยอาการที่ไม่ปรากฏชัดแจ้ง
หรือผู้สูงอายุที่มาด้วยอาการถ่ายเป็นเลือด โดยทั่วไปแล้วอาจจะใช้หลักว่า โรคหัตถการ
หรือกระบวนการใดก็ตามที่มีความเสี่ยงสูง (high risk) มีปริมาณงานสูง (high volume) มีค่าใช้จ่ายสูง
(high cost) มีความแตกต่างหลากหลายในการให้บริการ (high variation) หรือมีความคาดหวังจากผู้ป่วยสูง
(high expectation) ควรจะนำมาทบทวนทั้งสิ้น
การทบทวนนี้จะต้องทำในลักษณะที่ไม่มุ่งจับผิดที่ตัวบุคคล แต่มุ่งที่จะสร้างระบบที่ดีกว่า
แม้ว่าจะไม่รู้การวินิจฉัยที่แน่นอน ก็สามารถปรับปรุงวิธีการทำงานได้
3.3 การจัดระบบบริการสำหรับผู้ป่วยอาการหนัก
สิ่งที่โรงพยาบาลต้องทำ คือ จัดให้มีการบริการสำหรับผู้ป่วยนอกที่มีอาการหนัก
มีระบบการคัดกรองผู้ป่วยที่เหมาะสม และมีการทบทวนอย่างสม่ำเสมอว่า
ระบบที่วางไว้นั้นทำงานได้ดีหรือไม่
นพ.อนุวัฒน์ ศุภชุติกุล
|