French Technology Press office
การเสี่ยงต่อการติดเชื้อและความยากลำบากในการจัดหาโลหิตที่มากขึ้นนำไปสู่การค้นคว้าวิจัย
โลหิตเทียมขึ้นอีกครั้ง ทั้งนี้บรรดานักวิจัยและนักอุตสาหกรรมชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ปูทางการศึกษาวิจัย
ในแนวทางของชีวเคมีและเทคโนโลยีชีวภาพ จากนี้ไปโลหิตเทียมมิได้เป็นเพียงความฝันอีกต่อไป
นับเป็นเวลาหลายทศวรรษที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ค้นคว้าวิจัยโลหิตเทียมที่สามารถเข้ากันได้
กับกลุ่มโลหิตของมนุษย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้ออาทิ โรคเอดส์ โรคตับอักเสบ ฯลฯ
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโลหิตเทียมที่อาจจะนำมาใช้แทนหน้าที่ที่สำคัญของโลหิตจริงได้ นั่นก็คือ
การส่งก๊าซออกซิเจนจากปอดไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย การลำเลียงก๊าซที่มีความสำคัญยิ่งนี้
ไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ เป็นหน้าที่ของเม็ดโลหิตแดงซึ่งไหลเวียนอยู่ในโลหิตอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ในเม็ดโลหิตแดงนี้การรับและการปล่อยก๊าซออกซิเจนในระบบเป็นภาระของฮีโมโกลบิน (สีของโลหิตแดง)
ซึ่งประกอบด้วยโปรตีนที่ซับซ้อนระหว่างห่วงโซ่ของอัลฟาและห่วงโซ่ของเบต้า ความยาวของห่วงโซ่ของอัลฟานั้น
ประกอบด้วยกรดอะมิโนเรียงต่อกัน 141 ตัว ส่วนห่วงโซ่ของเบต้ามีกรดอะมิโนเรียงต่อกัน 146 ตัว
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา คณะนักวิจัยส่วนใหญ่มักจะมุ่งทำการศึกษาค้นคว้าตามแนวทาง 2 รูปแบบ
ซึ่งอาจจะนำไปสู่การพัฒนาพาหะส่งก๊าซออกซิเจนเทียมขึ้นได้ นั่นก็คือ การสร้างผลิตภัณฑ์สังเคราะห์ทางเคมี
และสารละลายฮีโมโกลบิน
ในชั้นแรกนั้น นักวิจัยมุ่งศึกษาค้นคว้าพาหะส่งก๊าซออกซิเจนประเภทสารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอน
(Perfluorocarbon, PFC) ซึ่งมีความใกล้เคียงกับเทฟลอน (Teflon) ในปี พ.ศ.2469
มีการสังเคราะห์โมเลกุลของสารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนขึ้นเป็นครั้งแรกโดยนักวิจัยชาวฝรั่งเศสคือ
คุณเลอโบ (Lebeau) และคุณดาเมียงส์ (Damiens) ซึ่งสารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนนี้ประกอบด้วย
ห่วงโซ่ของอะตอมของคาร์บอนพันธะกับฟลูออไรด์ จากนั้นในราวทศวรรษที่ 40
ได้มีการพัฒนาสารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนในเชิงอุตสาหกรรมเพื่อนำมาใช้กับยูเรเนียม
ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการแมนฮัตตัน
สารประกอบเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนนี้กำหนดโดยคุณลักษณะเด่น 2 ประการ ประการแรกคือ
"พันธะระหว่างคาร์บอนกับฟลูโอไรด์นั้นมีความเหนียวแน่นกันอย่างเห็นได้ชัด โมเลกุลของสารประกอบนี้
ไม่ถูกสร้างและสลาย (กระบวนการเมตาโบลิซึม) นั่นก็หมายความว่า ปราศจากสารพิษทางชีวภาพ"
คุณมารี-ปิแอร์ คราฟต์ (Marie-Pierre Krafft) นักวิจัยจากศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (CNRS)
ประจำสถาบันชารลส์ ซาตรง (Charles Sadron) เมืองสตราส์บูร์ก เขตไรน์ตอนล่าง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ด้านการอิมัลชัน (ผสม) สารฟลูโอโรคาร์บอนอธิบาย
ประการที่สองคือ สารประกอบดังกล่าวมีความสามารถในการดูดก๊าซในสภาพที่เป็นอยู่สูง
ดังนั้นสารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนจึงเป็นตัวสารดูดก๊าซออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดีที่สุดสารหนึ่ง
กล่าวคือสามารถดูดก๊าซออกซิเจนได้ถึงร้อยละ 50 ในขณะที่น้ำนั้นดูดได้เพียงร้อยละ 2
เนื่องจากสารฟลูโอโรคาร์บอนไม่ประกอบกับวัตถุอื่นในทางเคมีและไม่ละลายในพลาสมา (ส่วนน้ำของโลหิต)
จึงต้องทำการอิมัลชันให้เป็นหยดเล็กๆ และจัดเก็บไว้ในสภาพที่เป็นกลางทางสรีรวิทยา
เพื่อนำมาฉีดในเส้นโลหิตได้ในภายหลัง วิธีนี้แตกต่างจากฮีโมโกลบินซึ่งทำหน้าที่รับและถ่ายออกซิเจน
ได้อย่างคล่องแคล่ว ก๊าซออกซิเจนจะไหลผ่านจากปอดไปยังสารฟลูโอโรคาร์บอนที่เกาะอยู่ในพลาสมาโดยตรง
โดยปราศจากการผ่านเข้าสู่เม็ดโลหิตแดง อาจารย์ชอง รีส (Jean Riess) ผู้บุกเบิกการคิดค้นสารประกอบนี้
ได้กล่าวย้ำว่า "หากเปรียบเทียบปริมาณของสารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนกับฮีโมโกลบินในปริมาณที่เท่ากันแล้ว
สารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนถ่ายก๊าซออกซิเจนได้มากกว่าของฮีโมโกลบินโดยมีข้อแม้ว่า
ผู้ป่วยต้องได้รับก๊าซออกซิเจนอย่างเต็มที่ (โดยการให้ความช่วยเหลือทางการหายใจ)"
ในปัจจุบันอาจารย์ชอง รีส อดีตหัวหน้าภาควิชาเคมีวิทยาโมเลกุลแห่งมหาวิทยาลัยนีซ
เมืองโซเฟีย-อองติโบลิซ ฝรั่งเศส เป็นหนึ่งในผู้บริหารบริษัท อัลไลอันซ์ ฟาร์มาซูติคอล
คอร์ปอร์เรชัน (Alliance Pharmaceutical Corporation) ของอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทผลิตโลหิตเทียม
- สารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนประเภทต่างๆ
ในทศวรรษที่ 60 สารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนประเภทแรกที่นำมาถ่ายให้หนูทดลองแทนโลหิตจริง
มีข้อด้อยที่สำคัญอยู่ประการหนึ่ง นั่นก็คือ ถูกกำจัดออกจากร่างกายได้ไม่ดี และสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อของร่างกาย
จวบจนกระทั่งถึงทศวรรษที่ 80 บริษัท กรีนครอส คอร์ปอร์เรชั่น (Green Cross Corporation) เมืองโอซากา ญี่ปุ่น
ได้พัฒนาการอิมัลชันสารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนขึ้นแบบใหม่ ซึ่งได้รับอนุมัติจากองค์การอาหารและยา
เป็นวิธีการให้ก๊าซออกซิเจนที่กล้ามเนื้อหัวใจในระหว่างการศัลยกรรมซ่อมแต่งหลอดโลหิต
แต่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นที่ใช้กันน้อยมากเพราะมีความเคลื่อนทางฟิสิกส์
ดูเหมือนว่า บริษัท Alliance Pharmaceutical Corporation เมืองซานดิเอโก สหรัฐอเมริกา
ได้ฝ่าฟันอุปสรรคดังกล่าวเป็นผลสำเร็จโดยทำการคิดค้นผลิตภัณฑ์ Oxygent (R) ขึ้น อาจารย์ชอง รีส
ได้กล่าวเสริมว่า "เราได้เลือกอิมัลชันฟอสโฟลิปิด และโบรโม-เพอร์ฟลูโอโรออคเทนในรูปของเหลว
สารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนจึงถูกขับออกจากปอดอย่างรวดเร็ว" สารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนนี้ผลิตขึ้น
โดยบริษัทอาโตเชม (Atochem) เมืองปิแอร์เบนิต เขตโรนห์ ฝรั่งเศส เมื่อทศวรรษที่ 90 บริษัท Alliance
ได้ทำการวิจัยปรับปรุงโลหิตเทียมที่สามารถผลิตได้ในปริมาณมาก และเก็บไว้ได้ที่อุณหภูมิ 5 องศา
เป็นเวลา 2 ปี และที่อุณหภูมิ 30 องศา เป็นเวลากว่า 4 เดือน (ซึ่งโลหิตจริงนั้นเก็บได้ที่อุณหภูมิ 4 องศา
เป็นเวลาเพียง 40 วัน) ผลิตภัณฑ์ Oxygent (R) อาจจะนำมาใช้ได้ในระหว่างการศัลยกรรม
ตามโปรตคอลของการเจือจางโลหิตปกติ สิ่งบ่งชี้ที่มีความสำคัญประการหนึ่ง คือร้อยละ 60
ของการถ่ายโลหิตจำนวน 30 ล้านครั้งต่อปี ทั่วโลกเกิดขึ้นในระหว่างการทำศัลยกรรม
ในปัจจุบันกำลังมีการวิจัยคิดค้นโลหิตเทียมในทางคลินิกขึ้น
ในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา มีผู้เข้ารับการทดสอบมากกว่า 540 คน ที่เข้าร่วมการทดสอบทางคลินิก
หลายครั้งในขั้นตอนที่ 1 และ 2 การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ชี้ให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า โลหิตเทียมนี้ไม่ก่อให้เกิด
การเสี่ยงต่ออันตรายต่อปริมาณยาที่ใช้ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาการทดสอบในขั้นตอนที่ 3 ได้ดำเนินขึ้น
ในหลายประเทศในยุโรป วัตถุประสงค์ก็เพื่อประเมินหาความต้องการที่ลดลงในการถ่ายโลหิตสำหรับผู้ป่วย
ซึ่งได้รับโลหิตเทียมในระหว่างการศัลยกรรม อนึ่ง การพัฒนาสารฟลูโอโรคาร์บอนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น
อาทิ โรคโลหิตจาง ได้ประสบกับข้อจำกัดบางอย่าง อันที่จริงแล้วสารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนนี้
ทำหน้าที่เสมือนโลหิตจริงได้เพียง 6 ชั่วโมง หรือครึ่งชีวิต หรือยังค้างอยู่ในหลอดโลหิต
ซึ่งมีประสิทธิภาพต่างกับการถ่ายเม็ดโลหิตแดงซึ่งมีอายุนานถึง 2 หรือ 3 สัปดาห์
- การสร้างฮีโมโกลบินจากพืชที่ได้รับการปรับถ่ายทางพันธุกรรม
วิธีการศึกษาวิจัยการพัฒนาโลหิตเทียมอีกแนวทางหนึ่งคือ เทคโนโลยีชีวภาพ การพัฒนาพันธุวิศวกรรม
ได้ส่งเสริมการศึกษาวิจัยครั้งใหม่ที่มุ่งไปสู่ชีวสังเคราะห์เกี่ยวกับฮีโมโกลบินเสริมในมนุษย์
ซึ่งฉีดเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วยได้ในรูปของสารละลายฮีโมโกลบิน คุณโจเซ่ ปาญเยร์ (Josee Pagnier)
และคุณมิแชล มาร์แดน (Michel Marden) ผู้อำนวยการวิจัยที่สถาบันสุขภาพและการวิจัยทางแพทย์แห่งชาติ
(Institut national de la sante et de la recherche medicale, INSERM) หน่วยที่ 473 ตั้งอยู่ที่โรงพยาบาลบิแซตร์
(Bicetre) เขตวัลเดอมาร์น อธิบายว่า "การชีวสังเคราะห์ของเราเกิดจากการปรับถ่ายพันธุกรรม (ยีน)
ที่มีรหัสของฮีโมโกลบินไว้ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต"
นับเป็นเวลา 12 ปีที่นักวิจัยในหน่วย 473 ซึ่งเชี่ยวชาญด้านฮีโมโกลบินได้ทุ่มเทความพยายามของเขาส่วนหนึ่ง
ในการพัฒนาฮีโมโกลบินเสริมเพื่อใช้สำหรับการถ่ายโลหิต อนึ่ง มีการทดสอบระบบการผลิตฮีโมโกลบินเสริม
อยู่หลายระบบ อาทิ การผลิตจากแบคทีเรีย Escherichia coli เชื้อหมัก Saccharomyces cerevisiae
หรือแม้แต่สัตว์ที่ได้รับการปรับถ่ายพันธุกรรม คณะนักวิจัยชาวฝรั่งเศสเลือกวิธีการสร้างฮีโมโกลบิน
จากแบคทีเรียเนื่องจากตัวอย่างจำลองในงานวิจัยของเขาทำจากแบคทีเรีย ซึ่งนำมาใช้สังเคราะห์
สร้างฮีโมโกลบินเสริมในมนุษย์ให้ได้ในปริมาณมาก
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีชีวภาพดังกล่าวต้องการระบบการผลิตที่มีขนาดใหญ่และมีราคาแพง
นอกจากนี้เครื่องปฏิกรณ์ซึ่งมีขนาดใหญ่ไม่ตอบสนองความต้องการของท้องตลาด ดังนั้นการใช้พืช
ที่ได้รับการปรับถ่ายพันธุกรรมอาจจะเป็นการแก้ปัญหาวิธีหนึ่ง ในกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องสร้างเครื่องปฏิกรณ์ใดๆ
เนื่องจากฮีโมโกลบินจะถูกสร้างขึ้นที่ต้นพืชโดยตรง หากต้องการสร้างฮีโมโกลบินมากขึ้น
ก็เพียงปลูกถ่ายพันธุกรรมในต้นพืชให้มากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นเวลา 4 ปีที่หน่วยวิจัยที่ 473 ของสถาบัน INSERM
ได้ทำการปรับถ่ายพันธุกรรมร่วมกับบริษัทเมริสเต็ม เธอราปูติคส์ (Meristem Therpeutics)
เมืองแกลมองต์แฟร์รองด์ เขตปุยเดอโดม ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการผลิตโปรตีนเสริมจากพืชสำหรับบำบัดโรค
คณะนักวิจัยชาวฝรั่งเศส 2 คณะนี้ประสบความสำเร็จจากการปลูกยาสูบที่ได้รับการปรับถ่ายพันธุกรรม
เพื่อนำมาสังเคราะห์สร้างฮีโมโกลบินเสริมในมนุษย์ได้ คุณมารเฟรด เตเซน (Manfred Theisen)
ผู้อำนวยการวิจัยประจำบริษัท Meristem Therapeutics กล่าวว่า "อันที่จริงแล้ว เราได้พบฮีโมโกลบินที่เมล็ด
และที่รากมากกว่าครึ่งหนึ่งของที่ต้นยาสูบ ซึ่งได้รับการปรับถ่ายพันธุกรรมเสียอีก ฮีโมโกลบินที่ถูกสังเคราะห์ขึ้น
อย่างมีโครงสร้างซับซ้อนอย่างยิ่งนี้ สามารถรับและปล่อยก็าซออกซิเจนได้"
การศึกษาถึงความเป็นไปได้ในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ฮีโมโกลบินเสริมในมนุษย์อาจจะถูกสร้างจากพืชพรรณ
ด้วยเครื่องมือในห้องปฏิบัติการทางชีววิทยาโมเลกุล อาทิ การระบุพันธุกรรมการสร้าง expression cassette
การโคลนนิ่ง และการปรับถ่ายพันธุกรรม อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องมีการปรับปรุงฮีโมโกลบินจากยาสูบ
ให้ได้ปริมาณมากขึ้นต่อไปในปัจจุบัน ปริมาณของฮีโมโกลบินที่สังเคราะห์ได้จากยาสูบมีสัดส่วนน้อยมาก
เมื่อเทียบกับปริมาณโปรตีนที่สกัดได้ทั้งหมด ขณะนี้บริษัท Meristem Therapeutics กำลังทำการศึกษาค้นคว้า
การเพิ่มปริมาณฮีโมโกลบินที่สังเคราะห์ได้และกำลังทำการทดลองการผลิตฮีโมโกลบินเสริมในมนุษย์
จากพืชอุตสาหกรรมอื่นๆ อาทิ ข้าวโพด เป็นต้น
- โลหิตเทียมพร้อมสำหรับปี พ.ศ.2543 หรือไม่ ?
ในปี พ.ศ.2542 การพัฒนาการผลิตโลหิตเทียมยังคงประสบกับข้อจำกัดทางเทคโนโลยีบางอย่าง
ในปัจจุบันคณะนักวิจัยต่างๆ กำลังทุ่มเทความพยายามในการคิดค้นใน 3 ประเด็น นั่นก็คือ
1. แก้ไขการตกค้างของสารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนในหลอดโลหิตในร่างกาย
2. สร้างฮีโมโกลบินที่สังเคราะห์ได้จากพืชที่ได้รับการปรับถ่ายพันธุกรรมในปริมาณมากขึ้น
3. ควบคุมการเสื่อมสภาพของสารละลายฮีโมโกลบินบริสุทธิ์ที่แยกจากเม็ดโลหิตแดง
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมามีความก้าวหน้า ในการคิดค้นวิจัยดังกล่าวอย่างมหาศาล
สมาคมวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมต่างยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่า โลหิตเทียมกลายเป็นความจริงแล้ว
จากนี้ไปอีกเพียง 2 ถึง 3 ปี อาจจะมีการจำหน่ายโลหิตเทียมในท้องตลาด หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า
"ในวันพรุ่งนี้เลย"
แทรก 1
ตัวเลขแสดงการถ่ายโลหิต
- มีการถ่ายโลหิตทั่วโลกถึง 30 ล้านหน่วย ในประเทศอุตสาหกรรมการถ่ายโลหิตแต่ละครั้ง
เกิดขึ้นทุกวินาที และร้อยละ 60 ของการถ่ายโลหิจนี้เกิดขึ้นในระหว่างการศัลยกรรม
- ผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 65 ปีมีแนวโน้มที่จะได้รับการถ่ายโลหิตมากกว่าผู้ป่วย
ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปีถึง 20 เท่า
- ความต้องการโลหิตสำรองในแต่ละปีทั่วโลกมีปริมาณ 7.5 ล้านลิตร
- ในอีก 30 ปีข้างหน้า คาดว่าจะมีการขาดโลหิตในปริมาณ 4 ล้านหน่วยต่อปี
- ในหมู่ประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก มีการจำหน่ายโลหิตเป็นเงิน 13.5 พันล้านเหรีญสหรัฐฯ
และคาดว่าจะมีการจำหน่ายโลหิตเทียมในท้องตลาดในราว 2-4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี
|
แทรก 2
อัตราส่วนและปริมาณของโลหิต
โลหิตของมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์หลายชนิดที่กระจัดกระจายอยู่ในรูปของเกลืออนินทรีย์
และโมเลกุลที่ชื่อว่า "พลาสมา" เซลล์โลหิตคิดเป็นร้อยละ 45 ของปริมาณโลหิตทั้งหมด
เซลล์โลหิตแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
- เม็ดเลือดขาว (Leukocyte) ทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อในร่างกาย มีปริมาณ 4,000-10,000
เซลล์ต่อโลหิตขนาด 1 พันตารางเมตร
- เพลตเลต (Platelet) ทำหน้าที่จับโลหิตเป็นลิ่ม และมีลักษณะแข็งเป็นตัวปิดปากแผล
มีปริมาณ 150,000-450,000 เซลล์ต่อโลหิตขนาด 1 พันล้านตารางเมตร
- เม็ดโลหิตแดง (erythrocyte) ประกอบด้วยฮีโมโกลบิน มีหน้าที่ไหลเวียนก๊าซออกซิเจน
เม็ดโลหิตแดงนี้มีปริมาณ 4-6 ล้านเซลล์ต่อโลหิตขนาด 1 พันตารางเมตร โดยเม็ดโลหิตแดง
ประกอบด้วยโมเลกุลของฮีโมโกลบินจำนวน 280 ล้านโมเลกุล ซึ่งเป็นพาหะไหลเวียนก๊าซออกซิเจน
มากกว่าพันล้านอะตอมจากปอดไปสู่เนื้อเยื่อ
|
แทรก 3
แนวทางใหม่ : การสกัดฮีโมโกลบิน
การสร้างโลหิตเทียมตามแบบของจริงเป็นสิ่งที่ยากลำบากยิ่ง ดังนั้นคณะนักวิจัยและนักเภสัชกรรม
ได้เลือกวิธีการสกัดฮีโมโกลบินจากตัวอย่างของโลหิตมนุษย์ที่หมดสภาพแล้ว หรือของสัตว์ อาทิ วัว เป็นต้น
คุณมิแชลมาร์แดน และคุณโจเซ่ ปาญเยร์ ผู้อำนวยการวิจัยที่หน่วย 473 (หน่วยสร้างโลหิตเทียม
และพยาธิวิทยาเชิงโมเลกุลของเม็ดโลหิตแดง) แห่งสถาบัน INSERM ได้อธิบายว่า "คณะวิจัยดังกล่าว
ได้ปรับแต่งโมเลกุลของฮีโมโกลบินในมนุษย์หรือในสัตว์ในทางเคมี เพื่อสังเคราะห์สร้างสารละลาย
ฮีโมโกลบินเสริมสำหรับนำมาใช้ไหลเวียนก๊าซออกซิเจนในร่างกายคนได้" นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองท่านนี้
ย้อนให้ฟังว่า โลหิตจริงหรือโลหิตเทียมนั้นก่อให้เกิดความเสี่ยงหรืออย่างน้อยก็เกิดผลข้างเคียงบางอย่าง
เช่นเดียวกับยารักษาโรคอื่นๆ
ข้อด้อยที่สำคัญ 2 ประการ การจัดหาโลหิตของมนุษย์ที่หมดสภาพแล้วเป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่ง
และอาจจะไม่เป็นที่ต้องการของท้องตลาดมากนัก เหนือสิ่งอื่นใดฮีโมโกลบินที่ถูกทำให้บริสุทธิ์
จากโลหิตของมนุษย์หรือของสัตว์ก็ยังก่อให้เกิดการเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ แต่ควรจำไว้ว่า
โลหิตเทียมจากวัวไม่โอนถ่ายโรคบางอย่าง อาทิ โรควัวบ้า หรือโรคอื่นๆ ที่ยังไม่พบสาเหตุ
|
|