มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc


โลหิตเทียมสำหรับอนาคต

French Technology Press office

การเสี่ยงต่อการติดเชื้อและความยากลำบากในการจัดหาโลหิตที่มากขึ้นนำไปสู่การค้นคว้าวิจัย โลหิตเทียมขึ้นอีกครั้ง ทั้งนี้บรรดานักวิจัยและนักอุตสาหกรรมชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ปูทางการศึกษาวิจัย ในแนวทางของชีวเคมีและเทคโนโลยีชีวภาพ จากนี้ไปโลหิตเทียมมิได้เป็นเพียงความฝันอีกต่อไป

นับเป็นเวลาหลายทศวรรษที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ค้นคว้าวิจัยโลหิตเทียมที่สามารถเข้ากันได้ กับกลุ่มโลหิตของมนุษย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้ออาทิ โรคเอดส์ โรคตับอักเสบ ฯลฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโลหิตเทียมที่อาจจะนำมาใช้แทนหน้าที่ที่สำคัญของโลหิตจริงได้ นั่นก็คือ การส่งก๊าซออกซิเจนจากปอดไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย การลำเลียงก๊าซที่มีความสำคัญยิ่งนี้ ไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ เป็นหน้าที่ของเม็ดโลหิตแดงซึ่งไหลเวียนอยู่ในโลหิตอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ในเม็ดโลหิตแดงนี้การรับและการปล่อยก๊าซออกซิเจนในระบบเป็นภาระของฮีโมโกลบิน (สีของโลหิตแดง) ซึ่งประกอบด้วยโปรตีนที่ซับซ้อนระหว่างห่วงโซ่ของอัลฟาและห่วงโซ่ของเบต้า ความยาวของห่วงโซ่ของอัลฟานั้น ประกอบด้วยกรดอะมิโนเรียงต่อกัน 141 ตัว ส่วนห่วงโซ่ของเบต้ามีกรดอะมิโนเรียงต่อกัน 146 ตัว

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา คณะนักวิจัยส่วนใหญ่มักจะมุ่งทำการศึกษาค้นคว้าตามแนวทาง 2 รูปแบบ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การพัฒนาพาหะส่งก๊าซออกซิเจนเทียมขึ้นได้ นั่นก็คือ การสร้างผลิตภัณฑ์สังเคราะห์ทางเคมี และสารละลายฮีโมโกลบิน

  • ฟลูออไรด์ในเส้นโลหิต

ในชั้นแรกนั้น นักวิจัยมุ่งศึกษาค้นคว้าพาหะส่งก๊าซออกซิเจนประเภทสารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอน (Perfluorocarbon, PFC) ซึ่งมีความใกล้เคียงกับเทฟลอน (Teflon) ในปี พ.ศ.2469 มีการสังเคราะห์โมเลกุลของสารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนขึ้นเป็นครั้งแรกโดยนักวิจัยชาวฝรั่งเศสคือ คุณเลอโบ (Lebeau) และคุณดาเมียงส์ (Damiens) ซึ่งสารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนนี้ประกอบด้วย ห่วงโซ่ของอะตอมของคาร์บอนพันธะกับฟลูออไรด์ จากนั้นในราวทศวรรษที่ 40 ได้มีการพัฒนาสารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนในเชิงอุตสาหกรรมเพื่อนำมาใช้กับยูเรเนียม ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการแมนฮัตตัน

สารประกอบเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนนี้กำหนดโดยคุณลักษณะเด่น 2 ประการ ประการแรกคือ "พันธะระหว่างคาร์บอนกับฟลูโอไรด์นั้นมีความเหนียวแน่นกันอย่างเห็นได้ชัด โมเลกุลของสารประกอบนี้ ไม่ถูกสร้างและสลาย (กระบวนการเมตาโบลิซึม) นั่นก็หมายความว่า ปราศจากสารพิษทางชีวภาพ" คุณมารี-ปิแอร์ คราฟต์ (Marie-Pierre Krafft) นักวิจัยจากศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (CNRS) ประจำสถาบันชารลส์ ซาตรง (Charles Sadron) เมืองสตราส์บูร์ก เขตไรน์ตอนล่าง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านการอิมัลชัน (ผสม) สารฟลูโอโรคาร์บอนอธิบาย

ประการที่สองคือ สารประกอบดังกล่าวมีความสามารถในการดูดก๊าซในสภาพที่เป็นอยู่สูง ดังนั้นสารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนจึงเป็นตัวสารดูดก๊าซออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดีที่สุดสารหนึ่ง กล่าวคือสามารถดูดก๊าซออกซิเจนได้ถึงร้อยละ 50 ในขณะที่น้ำนั้นดูดได้เพียงร้อยละ 2

เนื่องจากสารฟลูโอโรคาร์บอนไม่ประกอบกับวัตถุอื่นในทางเคมีและไม่ละลายในพลาสมา (ส่วนน้ำของโลหิต) จึงต้องทำการอิมัลชันให้เป็นหยดเล็กๆ และจัดเก็บไว้ในสภาพที่เป็นกลางทางสรีรวิทยา เพื่อนำมาฉีดในเส้นโลหิตได้ในภายหลัง วิธีนี้แตกต่างจากฮีโมโกลบินซึ่งทำหน้าที่รับและถ่ายออกซิเจน ได้อย่างคล่องแคล่ว ก๊าซออกซิเจนจะไหลผ่านจากปอดไปยังสารฟลูโอโรคาร์บอนที่เกาะอยู่ในพลาสมาโดยตรง โดยปราศจากการผ่านเข้าสู่เม็ดโลหิตแดง อาจารย์ชอง รีส (Jean Riess) ผู้บุกเบิกการคิดค้นสารประกอบนี้ ได้กล่าวย้ำว่า "หากเปรียบเทียบปริมาณของสารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนกับฮีโมโกลบินในปริมาณที่เท่ากันแล้ว สารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนถ่ายก๊าซออกซิเจนได้มากกว่าของฮีโมโกลบินโดยมีข้อแม้ว่า ผู้ป่วยต้องได้รับก๊าซออกซิเจนอย่างเต็มที่ (โดยการให้ความช่วยเหลือทางการหายใจ)" ในปัจจุบันอาจารย์ชอง รีส อดีตหัวหน้าภาควิชาเคมีวิทยาโมเลกุลแห่งมหาวิทยาลัยนีซ เมืองโซเฟีย-อองติโบลิซ ฝรั่งเศส เป็นหนึ่งในผู้บริหารบริษัท อัลไลอันซ์ ฟาร์มาซูติคอล คอร์ปอร์เรชัน (Alliance Pharmaceutical Corporation) ของอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทผลิตโลหิตเทียม

  • สารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนประเภทต่างๆ

ในทศวรรษที่ 60 สารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนประเภทแรกที่นำมาถ่ายให้หนูทดลองแทนโลหิตจริง มีข้อด้อยที่สำคัญอยู่ประการหนึ่ง นั่นก็คือ ถูกกำจัดออกจากร่างกายได้ไม่ดี และสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อของร่างกาย จวบจนกระทั่งถึงทศวรรษที่ 80 บริษัท กรีนครอส คอร์ปอร์เรชั่น (Green Cross Corporation) เมืองโอซากา ญี่ปุ่น ได้พัฒนาการอิมัลชันสารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนขึ้นแบบใหม่ ซึ่งได้รับอนุมัติจากองค์การอาหารและยา เป็นวิธีการให้ก๊าซออกซิเจนที่กล้ามเนื้อหัวใจในระหว่างการศัลยกรรมซ่อมแต่งหลอดโลหิต แต่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นที่ใช้กันน้อยมากเพราะมีความเคลื่อนทางฟิสิกส์

ดูเหมือนว่า บริษัท Alliance Pharmaceutical Corporation เมืองซานดิเอโก สหรัฐอเมริกา ได้ฝ่าฟันอุปสรรคดังกล่าวเป็นผลสำเร็จโดยทำการคิดค้นผลิตภัณฑ์ Oxygent (R) ขึ้น อาจารย์ชอง รีส ได้กล่าวเสริมว่า "เราได้เลือกอิมัลชันฟอสโฟลิปิด และโบรโม-เพอร์ฟลูโอโรออคเทนในรูปของเหลว สารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนจึงถูกขับออกจากปอดอย่างรวดเร็ว" สารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนนี้ผลิตขึ้น โดยบริษัทอาโตเชม (Atochem) เมืองปิแอร์เบนิต เขตโรนห์ ฝรั่งเศส เมื่อทศวรรษที่ 90 บริษัท Alliance ได้ทำการวิจัยปรับปรุงโลหิตเทียมที่สามารถผลิตได้ในปริมาณมาก และเก็บไว้ได้ที่อุณหภูมิ 5 องศา เป็นเวลา 2 ปี และที่อุณหภูมิ 30 องศา เป็นเวลากว่า 4 เดือน (ซึ่งโลหิตจริงนั้นเก็บได้ที่อุณหภูมิ 4 องศา เป็นเวลาเพียง 40 วัน) ผลิตภัณฑ์ Oxygent (R) อาจจะนำมาใช้ได้ในระหว่างการศัลยกรรม ตามโปรตคอลของการเจือจางโลหิตปกติ สิ่งบ่งชี้ที่มีความสำคัญประการหนึ่ง คือร้อยละ 60 ของการถ่ายโลหิตจำนวน 30 ล้านครั้งต่อปี ทั่วโลกเกิดขึ้นในระหว่างการทำศัลยกรรม ในปัจจุบันกำลังมีการวิจัยคิดค้นโลหิตเทียมในทางคลินิกขึ้น

ในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา มีผู้เข้ารับการทดสอบมากกว่า 540 คน ที่เข้าร่วมการทดสอบทางคลินิก หลายครั้งในขั้นตอนที่ 1 และ 2 การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ชี้ให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า โลหิตเทียมนี้ไม่ก่อให้เกิด การเสี่ยงต่ออันตรายต่อปริมาณยาที่ใช้ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาการทดสอบในขั้นตอนที่ 3 ได้ดำเนินขึ้น ในหลายประเทศในยุโรป วัตถุประสงค์ก็เพื่อประเมินหาความต้องการที่ลดลงในการถ่ายโลหิตสำหรับผู้ป่วย ซึ่งได้รับโลหิตเทียมในระหว่างการศัลยกรรม อนึ่ง การพัฒนาสารฟลูโอโรคาร์บอนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น อาทิ โรคโลหิตจาง ได้ประสบกับข้อจำกัดบางอย่าง อันที่จริงแล้วสารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนนี้ ทำหน้าที่เสมือนโลหิตจริงได้เพียง 6 ชั่วโมง หรือครึ่งชีวิต หรือยังค้างอยู่ในหลอดโลหิต ซึ่งมีประสิทธิภาพต่างกับการถ่ายเม็ดโลหิตแดงซึ่งมีอายุนานถึง 2 หรือ 3 สัปดาห์

  • การสร้างฮีโมโกลบินจากพืชที่ได้รับการปรับถ่ายทางพันธุกรรม

วิธีการศึกษาวิจัยการพัฒนาโลหิตเทียมอีกแนวทางหนึ่งคือ เทคโนโลยีชีวภาพ การพัฒนาพันธุวิศวกรรม ได้ส่งเสริมการศึกษาวิจัยครั้งใหม่ที่มุ่งไปสู่ชีวสังเคราะห์เกี่ยวกับฮีโมโกลบินเสริมในมนุษย์ ซึ่งฉีดเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วยได้ในรูปของสารละลายฮีโมโกลบิน คุณโจเซ่ ปาญเยร์ (Josee Pagnier) และคุณมิแชล มาร์แดน (Michel Marden) ผู้อำนวยการวิจัยที่สถาบันสุขภาพและการวิจัยทางแพทย์แห่งชาติ (Institut national de la sante et de la recherche medicale, INSERM) หน่วยที่ 473 ตั้งอยู่ที่โรงพยาบาลบิแซตร์ (Bicetre) เขตวัลเดอมาร์น อธิบายว่า "การชีวสังเคราะห์ของเราเกิดจากการปรับถ่ายพันธุกรรม (ยีน) ที่มีรหัสของฮีโมโกลบินไว้ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต" นับเป็นเวลา 12 ปีที่นักวิจัยในหน่วย 473 ซึ่งเชี่ยวชาญด้านฮีโมโกลบินได้ทุ่มเทความพยายามของเขาส่วนหนึ่ง ในการพัฒนาฮีโมโกลบินเสริมเพื่อใช้สำหรับการถ่ายโลหิต อนึ่ง มีการทดสอบระบบการผลิตฮีโมโกลบินเสริม อยู่หลายระบบ อาทิ การผลิตจากแบคทีเรีย Escherichia coli เชื้อหมัก Saccharomyces cerevisiae หรือแม้แต่สัตว์ที่ได้รับการปรับถ่ายพันธุกรรม คณะนักวิจัยชาวฝรั่งเศสเลือกวิธีการสร้างฮีโมโกลบิน จากแบคทีเรียเนื่องจากตัวอย่างจำลองในงานวิจัยของเขาทำจากแบคทีเรีย ซึ่งนำมาใช้สังเคราะห์ สร้างฮีโมโกลบินเสริมในมนุษย์ให้ได้ในปริมาณมาก

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีชีวภาพดังกล่าวต้องการระบบการผลิตที่มีขนาดใหญ่และมีราคาแพง นอกจากนี้เครื่องปฏิกรณ์ซึ่งมีขนาดใหญ่ไม่ตอบสนองความต้องการของท้องตลาด ดังนั้นการใช้พืช ที่ได้รับการปรับถ่ายพันธุกรรมอาจจะเป็นการแก้ปัญหาวิธีหนึ่ง ในกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องสร้างเครื่องปฏิกรณ์ใดๆ เนื่องจากฮีโมโกลบินจะถูกสร้างขึ้นที่ต้นพืชโดยตรง หากต้องการสร้างฮีโมโกลบินมากขึ้น ก็เพียงปลูกถ่ายพันธุกรรมในต้นพืชให้มากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นเวลา 4 ปีที่หน่วยวิจัยที่ 473 ของสถาบัน INSERM ได้ทำการปรับถ่ายพันธุกรรมร่วมกับบริษัทเมริสเต็ม เธอราปูติคส์ (Meristem Therpeutics) เมืองแกลมองต์แฟร์รองด์ เขตปุยเดอโดม ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการผลิตโปรตีนเสริมจากพืชสำหรับบำบัดโรค คณะนักวิจัยชาวฝรั่งเศส 2 คณะนี้ประสบความสำเร็จจากการปลูกยาสูบที่ได้รับการปรับถ่ายพันธุกรรม เพื่อนำมาสังเคราะห์สร้างฮีโมโกลบินเสริมในมนุษย์ได้ คุณมารเฟรด เตเซน (Manfred Theisen) ผู้อำนวยการวิจัยประจำบริษัท Meristem Therapeutics กล่าวว่า "อันที่จริงแล้ว เราได้พบฮีโมโกลบินที่เมล็ด และที่รากมากกว่าครึ่งหนึ่งของที่ต้นยาสูบ ซึ่งได้รับการปรับถ่ายพันธุกรรมเสียอีก ฮีโมโกลบินที่ถูกสังเคราะห์ขึ้น อย่างมีโครงสร้างซับซ้อนอย่างยิ่งนี้ สามารถรับและปล่อยก็าซออกซิเจนได้"

การศึกษาถึงความเป็นไปได้ในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ฮีโมโกลบินเสริมในมนุษย์อาจจะถูกสร้างจากพืชพรรณ ด้วยเครื่องมือในห้องปฏิบัติการทางชีววิทยาโมเลกุล อาทิ การระบุพันธุกรรมการสร้าง expression cassette การโคลนนิ่ง และการปรับถ่ายพันธุกรรม อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องมีการปรับปรุงฮีโมโกลบินจากยาสูบ ให้ได้ปริมาณมากขึ้นต่อไปในปัจจุบัน ปริมาณของฮีโมโกลบินที่สังเคราะห์ได้จากยาสูบมีสัดส่วนน้อยมาก เมื่อเทียบกับปริมาณโปรตีนที่สกัดได้ทั้งหมด ขณะนี้บริษัท Meristem Therapeutics กำลังทำการศึกษาค้นคว้า การเพิ่มปริมาณฮีโมโกลบินที่สังเคราะห์ได้และกำลังทำการทดลองการผลิตฮีโมโกลบินเสริมในมนุษย์ จากพืชอุตสาหกรรมอื่นๆ อาทิ ข้าวโพด เป็นต้น

  • โลหิตเทียมพร้อมสำหรับปี พ.ศ.2543 หรือไม่ ?

ในปี พ.ศ.2542 การพัฒนาการผลิตโลหิตเทียมยังคงประสบกับข้อจำกัดทางเทคโนโลยีบางอย่าง ในปัจจุบันคณะนักวิจัยต่างๆ กำลังทุ่มเทความพยายามในการคิดค้นใน 3 ประเด็น นั่นก็คือ
1. แก้ไขการตกค้างของสารเพอร์ฟลูโอโรคาร์บอนในหลอดโลหิตในร่างกาย
2. สร้างฮีโมโกลบินที่สังเคราะห์ได้จากพืชที่ได้รับการปรับถ่ายพันธุกรรมในปริมาณมากขึ้น
3. ควบคุมการเสื่อมสภาพของสารละลายฮีโมโกลบินบริสุทธิ์ที่แยกจากเม็ดโลหิตแดง
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมามีความก้าวหน้า ในการคิดค้นวิจัยดังกล่าวอย่างมหาศาล สมาคมวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมต่างยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่า โลหิตเทียมกลายเป็นความจริงแล้ว จากนี้ไปอีกเพียง 2 ถึง 3 ปี อาจจะมีการจำหน่ายโลหิตเทียมในท้องตลาด หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า "ในวันพรุ่งนี้เลย"


แทรก 1

ตัวเลขแสดงการถ่ายโลหิต
  • มีการถ่ายโลหิตทั่วโลกถึง 30 ล้านหน่วย ในประเทศอุตสาหกรรมการถ่ายโลหิตแต่ละครั้ง เกิดขึ้นทุกวินาที และร้อยละ 60 ของการถ่ายโลหิจนี้เกิดขึ้นในระหว่างการศัลยกรรม
  • ผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 65 ปีมีแนวโน้มที่จะได้รับการถ่ายโลหิตมากกว่าผู้ป่วย ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปีถึง 20 เท่า
  • ความต้องการโลหิตสำรองในแต่ละปีทั่วโลกมีปริมาณ 7.5 ล้านลิตร
  • ในอีก 30 ปีข้างหน้า คาดว่าจะมีการขาดโลหิตในปริมาณ 4 ล้านหน่วยต่อปี
  • ในหมู่ประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก มีการจำหน่ายโลหิตเป็นเงิน 13.5 พันล้านเหรีญสหรัฐฯ และคาดว่าจะมีการจำหน่ายโลหิตเทียมในท้องตลาดในราว 2-4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี


แทรก 2

อัตราส่วนและปริมาณของโลหิต

โลหิตของมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์หลายชนิดที่กระจัดกระจายอยู่ในรูปของเกลืออนินทรีย์ และโมเลกุลที่ชื่อว่า "พลาสมา" เซลล์โลหิตคิดเป็นร้อยละ 45 ของปริมาณโลหิตทั้งหมด เซลล์โลหิตแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
  • เม็ดเลือดขาว (Leukocyte) ทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อในร่างกาย มีปริมาณ 4,000-10,000 เซลล์ต่อโลหิตขนาด 1 พันตารางเมตร
  • เพลตเลต (Platelet) ทำหน้าที่จับโลหิตเป็นลิ่ม และมีลักษณะแข็งเป็นตัวปิดปากแผล มีปริมาณ 150,000-450,000 เซลล์ต่อโลหิตขนาด 1 พันล้านตารางเมตร
  • เม็ดโลหิตแดง (erythrocyte) ประกอบด้วยฮีโมโกลบิน มีหน้าที่ไหลเวียนก๊าซออกซิเจน เม็ดโลหิตแดงนี้มีปริมาณ 4-6 ล้านเซลล์ต่อโลหิตขนาด 1 พันตารางเมตร โดยเม็ดโลหิตแดง ประกอบด้วยโมเลกุลของฮีโมโกลบินจำนวน 280 ล้านโมเลกุล ซึ่งเป็นพาหะไหลเวียนก๊าซออกซิเจน มากกว่าพันล้านอะตอมจากปอดไปสู่เนื้อเยื่อ


แทรก 3

แนวทางใหม่ : การสกัดฮีโมโกลบิน

การสร้างโลหิตเทียมตามแบบของจริงเป็นสิ่งที่ยากลำบากยิ่ง ดังนั้นคณะนักวิจัยและนักเภสัชกรรม ได้เลือกวิธีการสกัดฮีโมโกลบินจากตัวอย่างของโลหิตมนุษย์ที่หมดสภาพแล้ว หรือของสัตว์ อาทิ วัว เป็นต้น คุณมิแชลมาร์แดน และคุณโจเซ่ ปาญเยร์ ผู้อำนวยการวิจัยที่หน่วย 473 (หน่วยสร้างโลหิตเทียม และพยาธิวิทยาเชิงโมเลกุลของเม็ดโลหิตแดง) แห่งสถาบัน INSERM ได้อธิบายว่า "คณะวิจัยดังกล่าว ได้ปรับแต่งโมเลกุลของฮีโมโกลบินในมนุษย์หรือในสัตว์ในทางเคมี เพื่อสังเคราะห์สร้างสารละลาย ฮีโมโกลบินเสริมสำหรับนำมาใช้ไหลเวียนก๊าซออกซิเจนในร่างกายคนได้" นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองท่านนี้ ย้อนให้ฟังว่า โลหิตจริงหรือโลหิตเทียมนั้นก่อให้เกิดความเสี่ยงหรืออย่างน้อยก็เกิดผลข้างเคียงบางอย่าง เช่นเดียวกับยารักษาโรคอื่นๆ

ข้อด้อยที่สำคัญ 2 ประการ การจัดหาโลหิตของมนุษย์ที่หมดสภาพแล้วเป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่ง และอาจจะไม่เป็นที่ต้องการของท้องตลาดมากนัก เหนือสิ่งอื่นใดฮีโมโกลบินที่ถูกทำให้บริสุทธิ์ จากโลหิตของมนุษย์หรือของสัตว์ก็ยังก่อให้เกิดการเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ แต่ควรจำไว้ว่า โลหิตเทียมจากวัวไม่โอนถ่ายโรคบางอย่าง อาทิ โรควัวบ้า หรือโรคอื่นๆ ที่ยังไม่พบสาเหตุ

(update 21 พฤศจิกายน 2000)


[ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอปีที่ 24 ฉบับที่ 2 กุมภาพันธ์ 2543]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600