มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



สวรรค์ของคนไม่มีลูก


คู่รักที่แต่งงานกัน เชื่อว่า ต้องการมี "สวรรค์" ในครัวเรือนด้วยกันทั้งนั้น
แน่นอนใครก็สร้างให้กันไม่ได้นอกจากตัวเราเอง ในความคิดของข้าพเจ้า
ครอบครัวที่มีความสุขส่วนใหญ่อาศัย "ของขวัญจากสวรรค์" คือ ลูก เป็นคนนำมาให้
แล้วคนที่ไม่มีลูกละ… เขาคิดกันอย่างไร อะไรทำให้เขาเหล่านั้นมีความสุขอยู่ในโลกนี้

บทความของสตรีนางหนึ่ง ซึ่งเป็นคนจีนโพ้นทะเลบนแผ่นดินอเมริกา ได้สะท้อนแนวความคิด ของครอบครัวที่ไม่มีลูกในดินแดนศิวิไลซ์ว่าหาความสุขกันได้อย่างไร เธอเล่าว่า

เธอแต่งงานมา 19 ปี แต่ไม่มีลูก มีคนถามบ่อยๆ ว่า "ทำไมถึงไม่มีลูก ?" บางคนถามด้วยความเป็นห่วง บางคนอยากรู้ความลับบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ แต่คำตอบคือว่า เธอเป็นคนรักเด็กหากมีลูกจริงๆ คงจะรักมากทีเดียว เธอคิดว่าการเลี้ยงลูกกับชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่ดูเหมือนจะไปคนละทาง จนทำให้ไม่มั่นใจในอนาคตของลูกได้ หากมีขึ้นมาจริงๆ

" ฉันรู้สึกว่า ตั้งแต่เกิดมา ท้องฟ้าก็ไม่ต้องการให้ฉันมีลูก เพราะแม่ของฉันสมัยนั้น ต้องพบกับแรงกดดันอย่างหนักหน่วงในเรื่องการมีลูกชาย แม่คลอดลูกคนแล้วคนเล่าเป็นผู้หญิง จนกระทั่งประสบความสำเร็จคลอดบุตรคนที่ 8 ได้เป็นลูกชาย จึงได้ยุติความพยายามที่จะมีลูกต่อไป ครอบครัวทางบ้านจัดงานฉลองยิ่งใหญ่มีการจุดประทัดกันอย่างเอิกเกริกเลี้ยงแขกเหรื่อมากมาย แล้วความจริง เป็นยังไง…

ตอนที่น้องชายอายุได้ 10 ขวบ ก็เป็นเด็กเกเร สูบบุหรี่ กินเหล้า เล่นการพนัน ขโมยของ โตขึ้นมาเป็นหนุ่ม ก็กลายเป็นนักเลงอันธพาล สูบกัญชายาฝิ่น เฮโรอีน และมีเรื่องชกต่อยไม่เว้นแต่ละวัน สิ่งเลวร้ายต่างๆ เขาล้วนเคยผ่านมาแล้วทั้งสิ้น เมื่อปีที่แล้วอายุเพียง 29 ปี ได้เสียชีวิต จากการถูกทำร้ายร่างกาย แม่ของฉันต้องหอบสังขารวัย 80 ปี ไปส่งศพ ดังคำโบราณที่ว่า คนผมขาวไปส่งศพคนผมดำ เพราะคนเลวนั้นมักจะอายุสั้นเสมอ ฉันรู้สึกว่า แม่อยากจะร้องไห้ แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา ไม่รู้จะโทษใครดี นี่หรือ…รางวัลที่ได้รับจากการมีลูกชาย

ฉันรู้สึกว่า ผู้หญิงสมัยก่อนถูกใช้เป็น "เครื่องมือคลอดลูก" การรับรู้สิ่งต่างๆ ในวัยเด็กทำให้ฉันไม่อยากเกิดเป็นผู้หญิงเลย ฉันมักนึกถึงสภาพของแม่เสมอ ท่านคลอดลูกถึง 8 คน จึงทำให้รูปร่างเปลี่ยนแปลงเป็นคนอ้วนมาก ช่วงที่แพ้ท้องแม่จะมีอาการรุนแรง จนฉันรู้สึกกลัวการมีลูก และดีที่สุดถ้าไม่เกิดเป็นผู้หญิง

ฉันเองไม่เคยใส่ใจในความคิดของคนจีนที่จำเป็นต้องมีลูกชายว่าสำคัญเลย โลกนี้มีผู้คนมากมายเต็มไปหมด ทุกคนจะต้องแข่งขันต่อสู้แย่งชิงกัน จึงจะอยู่รอดได้ การปล้นจี้ ลักขโมยเกิดขึ้นเกือบทุกท้องที่ ถ้าคนในโลกนี้ลดลงไปครึ่งหนึ่ง สังคมคงจะดี และน่าอยู่กว่านี้มาก ปัจจุบันได้ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีมาแทนกำลังคนมากขึ้น ทำให้แรงงานล้นและคนตกงาน จนหลายคนต้องกลายเป็น "ขยะสังคม" การไม่มีลูกจึงมีประโยชน์ ต่อสังคมโลกด้วยประการหนึ่ง

มีบางคนรักลูกจริงๆ เขารู้สึกว่า การไม่มีลูกเหมือนกับครอบครัวที่ไม่เป็นครอบครัว เขายอมเสียสละตัวเองเพื่อลูก ฉันยกย่องคนอย่างนี้ เขาเลี้ยงลูกไม่ใช่เพื่อต้องการให้ลูกมาตอบแทน เขาจะมีความสุขมากในเวลาที่เลี้ยงลูก แต่คนอย่างนั้นจริงๆ จะมีสักกี่คน

ฉันเคยเจอพ่อแม่หลายคู่ ยังไม่ทันจ่ายสักเท่าไรก็อยากจะขอคืนกำไรเสียแล้ว เขาอยากจะให้ลูกโตแล้วหาเงินเยอะๆ มาให้ พวกนี้คิดว่า การเลี้ยงลูกเป็นการลงทุน

พ่อแม่บางคนเกิดมามีปมด้อย ไม่มีพรสวรรค์ ทำอะไรไม่ค่อยได้ดี แต่จะบังคับลูกให้ทำในสิ่งที่ตัวเอง ไม่เคยทำได้ เช่น เล่นเปียโน พ่อแม่เล่นไม่เป็น แต่บังคับให้ลูกเรียน โดยไม่สนใจว่า ลูกจะมีความสามารถในเรื่องนี้หรือไม่ เมื่อลูกทำไม่ได้ ก็จะโกรธและหาว่า ลูกโง่ ครอบครัวแบบนี้ย่อมไม่มีความสุข

พ่อแม่บางคน รักลูกเกิน และเลี้ยงลูกแบบตามใจในลักษณะพระราชาเมื่ออยู่บ้าน เมื่อออกนอกบ้าน ลูกจึงทำตัวเป็นนักเลงอันธพาล พ่อแม่อย่างนี้เป็นพวกทำลายสังคม

ฉันเจอมาอย่างนี้ ทำให้ฉันมีความกลัว กลัวว่าพ่อแม่บางคู่นั้นจะมีคู่ของฉันรวมอยู่ด้วย ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งใหม่ล่าสุดเกี่ยวกับความสุขของคนอเมริกัน ซึ่งผลการวิเคราะห์ออกมาว่า

คนที่มีความสุขมากที่สุด คือ คนที่แต่งงานแล้ว มีงานทำเป็นหลักเป็นฐานทั้งสามีภรรยาและไม่มีลูก รองลงมาคือคนโสด สุดท้ายคือคนที่แต่งงานแล้วมีลูก จะมีความสุขน้อยที่สุด ฉันเห็นด้วยกับบทวิเคราะห์นี้เป็นอย่างยิ่ง

แน่นอน บางทีฉันมีความเสียใจอยู่บ้าง ฉันคิด "ถ้าฉันมีลูก ลูกจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร" แต่ว่า ความคิดนั้นคงเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว เพราะ
หนึ่ง ฉันเป็นคนมีลูกยาก
สอง เมื่อย้ายมาอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ทำงานสร้างความกดดันให้ฉันมาก โชคดีที่ฉันแต่งงานแล้ว ไม่มีลูก ฉันจึงมีชีวิตอยู่อย่างอิสระและมีความสุข

บางที ฉันเห็นลูกของคนอื่น น่ารักมาก หน้าตาจิ้มลิ้ม ยิ้มหวาน แก้มแดง และมีกลิ่นนมหอมฟุ้งทั้งตัว "หากมีลูกสักคน คงไม่เลวนะ" ฉันเคยคิดว่า จะไปขอลูกคนอื่นมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ฉันเกษียณก่อนครบกำหนดจากงานคอมพิวเตอร์ และตั้งใจจะทำในสิ่งที่ฉันใฝ่ฝัน คือ เขียนหนังสือ และท่องเที่ยวรอบโลก ตอนนั้นฉันรู้สึกสบายและมีเวลาพอสมควร ฉันกับสามีได้ไปทำหนังสือสัญญาขอรับเด็กชาวจีนแดงมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เสียเงินไปหลายพันเหรียญ แต่สุดท้าย ได้ตัดสินใจฉีกหนังสือสัญญาฉบับนั้นทิ้ง เพราะฉันเป็นโรคนอนไม่หลับ บ่อยครั้งที่ต้องพึ่งยานอนหลับ แล้วฉันจะมีปัญญาลุกขึ้นมาชงนมคืนละหลายๆ ครั้งหรือ ? …ฉันชินกับการทำอะไรปุ๊บปั๊บ เช่น วันนี้คิดอยากจะเที่ยว พรุ่งนี้จะเก็บกระเป๋าไปเที่ยวเลยโดยไม่ต้องห่วงอะไรซึ่งจะเป็นไปได้หรือที่จะมาดูแลลูก

ฉันเขียนหนังสือและส่งไปตามสำนักพิมพ์ต่างๆ มีรายได้จากงานเขียนน้อยมาก ไม่พอกับค่านมของเด็กหรอก จะไปจ้างพี่เลี้ยงเด็กคงจะไม่ไหว หากเลี้ยงเองคงไม่มีเวลาเขียนหนังสือ และท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งออกไปข้างนอกนานๆ

สามีของดิฉัน คิดว่า ขณะนี้อายุใกล้ถึง 50 ปี พออายุ 55 ปี จะเกษียณตัวเองทันทีหากต้องเลี้ยงลูก เขาคงต้องทำงานจนถึงอายุ 70 ปี เดี๋ยวนี้มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการ กลับมาบ้านรู้สึกเขาเหนื่อยมากและอยากพักผ่อน เขาวางโครงการไว้ว่า เมื่อเกษียณแล้วจะไปสอนหนังสือในชนบท เขาเองก็ไม่อยากให้การมีลูกสักคนหนึ่ง แล้วทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปทั้งหมด

สำคัญที่สุด นอกจากที่ไม่มีลูก ชีวิตครอบครัวของเรามีความสุขมาก เรารักกันมาก มีลูกแล้วเราจะมีห่วง เรากลัวว่า จะทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันด้วย "ชีวิต" ไม่มีอะไรสมบูรณ์ ต้องรู้จักพอจึงจะมีความสุข ทั้งหมดนี้เป็นเหตุให้เราตัดสินใจฉีกสัญญาการขอบุตรบุญธรรมทิ้งไป

เราตั้งใจว่า จะดูแลตัวเอง หาเพื่อนเยอะๆ หาความสุขมากๆ เลี้ยงดูลูกของญาติพี่น้อง เมื่อเราแก่ เราจะไปอยู่บ้านพักคนชรา อยู่ด้วยกันจนวันตาย ลูกนั้นแต่เดิมมาก็คือนักเดินทางที่เดินทางผ่านตัวเราไป ไม่ใช่ที่พักริมทาง หรือบ้านพักของเรา จริงๆ แล้ว บ้านพักของเราอยู่ที่ใจต่างหาก ฉันตั้งใจแล้วว่า เมื่ออยู่ในบ้านพักคนชรา ฉันจะไม่กลุ้มใจเลยว่าลูกหลานไม่มาเยี่ยมเรา…"

คนไม่มีลูก ใช่ว่า จะหาความสุขในครอบครัวไม่ได้ "ความคิด" ต่างหากที่ทำให้ใจเราสุขหรือทุกข์ อย่าเอาความสุขทั้งหมดไปแขวนไว้กับการมีลูก เพราะยังไง ยังไงชีวิตของเราต้องดำเนินต่อไป ไม่ว่าจะมีลูกหรือไม่ หนทางข้างหน้ายังอีกไกล เกี่ยวก้อยคนรักไว้และทอดอารมณ์หาความสุขจะไม่ดีกว่าหรือ

บางทีเมื่อเราเดินไปจนถึงสุดสายปลายทางแล้ว เราอาจดีใจที่ไม่ได้ให้กำเนิดใครสักคน มาลำบากลำบนในโลกใบนี้ ดูพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างซิ พระพุทธองค์ท่านมิใช่หรือที่แสวงหา "การไม่เกิด" อีก…

นพ.เสรี ธีรพงษ์

(update 19 ตุลาคม 2000)


[ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอปีที่ 24 ฉบับที่ 2 กุมภาพันธ์ 2543]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600