มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



รายงานผลการวิจัยเบื้องต้น  บันทึกประสบการณ์ของผู้หญิงที่ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม

กนกวรรณ ธราวรรณ


เปิดประเด็น


ประเทศไทยยังขาดแคลนองค์ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ของผู้หญิง ระบบการแพทย์ในประเทศไทยมีเป้าหมายเพื่อให้การดูแลรักษามากกว่าที่จะให้ข้อมูลหรือทางเลือกแก่ผู้ใช้บริการ บุคลากรทางการแพทย์ถูกกำหนดโดยกลไกของสังคมให้เป็นผู้ตัดสินใจในการรักษา ในแง่ของการให้บริการทำแท้งเองก็จะทำให้ด้วยเหตุผลทางการแพทย์เท่านั้น ในบริการที่ได้รับก็มักจะไม่มีการให้คำปรึกษาที่ละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของผู้หญิง ไม่มีการดูแลด้านอารมณ์ความรู้สึกหรือให้การสนับสนุนทางสังคมที่ผู้หญิงต้องการอย่างแท้จริง ผู้หญิงไทยเองก็ยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องสิทธิทางเพศและสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ของตนเอง รวมทั้งยังไม่ได้รับการส่งเสริมให้ใช้สิทธิเหล่านี้ด้วย หลายครั้งที่ประเด็นเกี่ยวกับสิทธิของผู้ใช้บริการไม่ได้รับความใส่ใจ หรือเห็นคุณค่า หรือมองว่า เป็นสิ่งสำคัญแต่อย่างใด

ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา โครงการวิจัยได้ศึกษาสถานการณ์ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมในประเทศไทย และพบข้อสรุปสำคัญว่า มีข้อเท็จจริงใหม่มากมายเกิดขึ้นและยังมีความต้องการข้อมูลเพิ่มเติม การอภิปรายในวงกว้าง และการสื่อสารระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง การศึกษากฎหมายพบด้วยว่า การทำแท้งเป็นการกระทำผิดกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญาแห่งราชอาณาจักรไทย มาตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน และยังคงเป็นประเด็นที่มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงในสังคมไทยอยู่ ภายใต้กฎหมายดังกล่าว การทำแท้งอาจกระทำได้หากผ่านการวินิจฉัยตามกฎหมายแล้วว่าเป็นผลจากการถูกข่มขืน หรือผ่านการวินิจฉัยโดยแพทย์แล้วว่าท้องนั้นเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพของผู้หญิง นับได้ว่าผู้หญิงที่ตั้งท้องนั้นมีส่วนร่วมน้อยมากหรือไม่มีเลยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการตั้งท้องของตัวเอง

นอกจากนี้ ภายหลังอุบัติการณ์โรคเอดส์ได้เกิดการคาดประมาณว่า จำนวนเด็กกำพร้าอาจจะมากขึ้น และจำนวนทารกคลอดใหม่อาจมีเชื้อเอชไอวีนั้น กลุ่มบุคคลต่างๆ ในสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหาร และบุคลากรทางการแพทย์ต่างแสดงความคิดเห็นที่ไม่ส่งเสริมให้เกิดการตั้งท้องในหญิงผู้ติดเชื้อเอชไอวี และหลายครั้งแนะนำให้ทำแท้งทั้งที่การตั้งท้องเป็นที่ต้องการของหญิงเจ้าของท้อง หลายครั้งแพทย์ให้ความเห็นว่า ควรทำแท้งโดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงของทารกที่อาจติดเชื้อเอชไอวีผิดหรือไม่ครบถ้วน การระบาดของเชื้อเอชไอวีในระยะหลังนี้ ได้นำไปสู่ความขัดแย้งในเวทีการถกเถียงสาธารณะ หลายฝ่ายไม่เพียงแต่สนับสนุนให้มีการยุติการตั้งท้องในกรณีที่หญิงนั้นติดเชื้อเอชไอวีเท่านั้น แต่ยังเสนอให้มีการวางมาตรการส่งเสริมการกระทำดังกล่าวด้วย ภายใต้สาระของวิธีคิดและมาตรการที่อาจเกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ผู้หญิงไม่ได้รับสิทธิโดยสมบูรณ์เหนือเนื้อตัวร่างกายของตนเอง

จากการทบทวนเอกสารเกี่ยวกับการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมจำนวนมากพบว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่มเติมองค์ความรู้เกี่ยวกับการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมในประเทศไทย ทั้งนี้เนื่องจากข้อมูลที่มีอยู่มิได้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพระดับลึกจากทัศนคติของผู้หญิงเลย ผลการวิจัยที่สำคัญบางอย่างเป็นข้อมูลที่รับรู้เฉพาะในกลุ่มของนักวิชาการและบุคลากรทางการแพทย์บางกลุ่มเท่านั้น นอกจากนี้ยังไม่มีการกระตุ้นให้เกิดการสื่อสารที่เป็นระบบระหว่างผู้อยู่ในปัญหาจริงๆ และกับบุคคลอื่นๆ ในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารนโยบายระดับประเทศ ที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งคือ ไม่เคยมีการจดบันทึกประสบการณ์ของผู้หญิงเกี่ยวกับการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมไว้ เพื่อนำมาใช้พิจารณาแก้ไขข้อกฎหมายว่า ด้วยการทำแท้งอย่างเป็นระบบ และเพื่อนำประสบการณ์เหล่านั้น มาปรับปรุงการให้บริการวางแผนครอบครัว หรือปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเพศ เพื่อยกระดับความรู้ของคนทั่วไปเกี่ยวกับการป้องกันการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม

เป้าหมายสำคัญที่สุดของโครงการวิจัยนี้คือ การรวบรวมประสบการณ์ของผู้หญิง เกี่ยวกับการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมให้เป็นระบบ เพื่อนำประสบการณ์เหล่านี้มาผลักดันนโยบาย เกี่ยวกับสุขภาพผู้หญิงที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้หญิงในเรื่องการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม และการทำแท้งได้มากขึ้น โดยโครงการมุ่งหวังจะเผยแพร่ผลการวิจัยในกลุ่มผู้บริหารนโยบายและสาธารณชนทั่วไป เพื่อให้ข้อค้นพบสร้างความเข้าใจที่ดีและถูกต้องต่อประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม และเพื่อให้ข้อค้นพบถูกนำไปใช้ประโยชน์สูงสุดในการออกกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ เพื่อป้องกันและลดจำนวนการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมในประเทศไทย


วิธีการวิจัย


โครงการวิจัยเรื่อง "บันทึกประสบการณ์ของผู้หญิงที่ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมในประเทศไทย" เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การสัมภาษณ์ระดับลึกเป็นวิธีการหลักในการเก็บข้อมูล มีระยะเวลาโครงการ 12 เดือน ดำเนินการวิจัยโดยคณะทำงานโครงการรณรงค์เพื่อสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ ของสำนักงานสภาประชากร (The Population Council, Bangkok) โดยมีที่ปรึกษาโครงการคือ รองศาตราจารย์ ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล แห่งสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งให้คำปรึกษาแนะนำเริ่มตั้งแต่การพัฒนาโครงการ การอบรมคณะวิจัยในการเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การเขียนรายงาน และการจัดสัมมนาเพื่อเผยแพร่ผลการวิจัย

กลุ่มประชากรเป้าหมาย ในการศึกษานี้คือ ผู้หญิงที่เคยมีหรือกำลังมีประสบการณ์ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม ตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องการสัมภาษณ์ระดับลึกกับผู้หญิงทั้งสิ้น 80 คน ผู้เข้าข่ายที่จะถูกสัมภาษณ์ และได้รับเชิญเข้าร่วมในงานวิจัยนี้คือ ผู้หญิงที่รับรู้ด้วยตัวเองว่าตั้งท้อง (หรือเคยตั้งท้อง) เมื่อไม่พร้อมนั่นคือ การสัมภาษณ์จะเกิดขึ้นเมื่อผู้หญิงผ่านการตัดสินใจในขั้นสุดท้ายแล้วว่าท้องนั้นเป็นท้องที่ไม่พร้อม และอยู่ในประสบการณ์การตั้งท้องที่ไม่พร้อมใน 4 รูปแบบคือ
1) กลุ่มปลอดภัยคือ ยุติการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมแล้วและไม่มีอาการแทรกซ้อน
2) กลุ่มแทรกซ้อนคือ ยุติการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมแล้วและเกิดอาการแทรกซ้อน (ในสองกลุ่มแรกนี้การยุติการตั้งท้องต้องเกิดขึ้นแล้วอย่างน้อย 1 เดือน แต่ไม่เกิน 24 เดือน ทั้งนี้เพื่อให้นักวิจัยสามารถสรุปได้ชัดเจนว่าการยุติการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมนั้นปลอดภัยดี หรือมีอาการแทรกซ้อนหรือไม่)
3) กลุ่มท้องอยู่คือ กำลังตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมอยู่ ซึ่งอาจเป็นผู้หญิงที่ยังไม่ได้ตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับท้อง หรือตัดสินใจแล้วว่าจะยุติการตั้งท้องแต่ยังไม่ได้ลงมือทำแท้ง
4) กลุ่มคลอดแล้วคือ เคยตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมและคลอดแล้ว ทั้งนี้การคลอดนั้นต้องเกิดขึ้นไม่เกิน 24 เดือนที่ผ่านมา ก่อนวันสัมภาษณ์

แนวคำถาม การบันทึกประสบการณ์ทั้ง 4 รูปแบบนี้ จะใช้แนวคำถามในประเด็นต่างๆ ดังนี้ คือข้อมูลประชากร สถานการณ์ที่นำไปสู่การตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม (รวมถึงวิธีการคุมกำเนิดที่ใช้ลักษณะของความสัมพันธ์ที่มี การอาจถูกบังคับทางเพศ และอื่นๆ) การเข้าถึงการบริการต่อเนื่องกับการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม (เช่น การทำแท้ง การยกลูกให้คนอื่นเลี้ยง และอื่นๆ) รูปแบบและคุณภาพของบริการที่ได้รับ กระบวนการแสวงหาข้อมูลเกี่ยวกับบริการต่างๆ การเข้ารับบริการ กระบวนการตัดสินใจ ตลอดจนถึงผลกระทบทางกาย ทางจิตใจ ทางสังคม และทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมและการทำแท้ง

พื้นที่ในการศึกษา การวิจัยนี้เก็บข้อมูลใน 2 จังหวัดคือ กรุงเทพมหานครและนครสวรรค์ เนื่องจากกรุงเทพมหานคร เป็นจังหวัดที่มีจำนวนสถานบริการมากที่สุดและการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพสะดวกที่สุด และทั้งสองจังหวัดเป็นจังหวัดที่มีอัตราการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมสูงมากที่สุดในประเทศไทย โดยทั้งนี้เป็นการพิจารณาจากสถิติของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคแท้ง ในสถานบริการของรัฐ การให้บริการด้านสาธารณสุขที่มีอยู่ในพื้นที่นั้น รายงานการวิจัยโดยนักวิชาการ และรายงานขององค์กรพัฒนาเอกชนต่างๆ

การเลือกผู้หญิงเข้าร่วมโครงการ ใช้วิธีประสานงานผ่านเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานราชการ และสถานพยาบาลเอกชนในจังหวัดกรุงเทพมหานครและจังหวัดนครสวรรค์ ที่ให้บริการช่วยเหลือผู้หญิงเหล่านี้ อีกวิธีหนึ่งที่พบว่าได้ผลในการวิจัยนี้คือ การบอกต่อผ่านคนรู้จัก (systematic snowball sampling) ซึ่งคณะวิจัยใช้มากในกรณีที่ผู้หญิงตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมรู้จักกันและกัน ไม่ว่าในฐานะเพื่อนหรือญาติ หรือคนที่เคยมีประสบการณ์เข้ารับกาช่วยเหลือจากบ้านพักพิงเดียวกัน ในระหว่างการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม

ข้อกำหนดเชิงจริยธรรม นักวิจัยจะสัมภาษณ์ผู้หญิงที่ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมที่เต็มใจให้สัมภาษณ์เท่านั้น ผู้หญิงที่เข้าร่วมในการวิจัยนี้จะได้รับการบอกกล่าวว่า นอกจากจะได้รับโอกาสที่จะพูดคุยในประเด็นที่เกี่ยวข้องแล้ว อาจจะไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงอื่นใดอีก แต่ข้อมูลที่ได้รับจากผู้หญิงเหล่านี้จะเป็นมีส่วนสำคัญ ในการวางนโยบายเกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์ในประเทศไทยต่อไป ผู้เข้าร#50629E่วมทุกคนต้องทำความเข้าใจ และตกลงใจที่จะให้ข้อมูลเหล่านี้โดยความสมัครใจของตน ทั้งนี้ทางโครงการได้แจ้งให้ผู้หญิงทราบว่า กระบวนการจัดเก็บข้อมูลจะช่วยสร้างโอกาสให้กับผู้หญิงในการแสดงความรู้สึก และความรู้สึกวิตกกังวลของตน เกี่ยวกับประสบการณ์ในการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมได้ทั้งนี้ผู้ให้สัมภาษณ์มีสิทธิที่จะไม่ตอบคำถาม และขอหยุดการให้สัมภาษณ์เมื่อใดก็ได้ จากนั้นนักวิจัยจะขออนุญาตบันทึกเทปการสนทนา และจะปิดเทปในบางตอนของการสนทนาถ้าผู้ให้สัมภาษณ์ต้องการข้อมูลที่ได้นี้นักวิจัยได้นำมาถอดเทป และใช้โปรแกรม Ethnograph ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล

ตารางที่ 1 จำนวนผู้หญิงที่สัมภาษณ์ได้จำแนกตามพื้นที่ที่ดำเนินการวิจัย

กลุ่มประชากรเป้าหมาย กรุงเทพฯ นครสวรรค์ รวม
1. ทำแท้งแล้วและไม่มีอาการแทรกซ้อน
9
11
20
2. ทำแท้งแล้วและมีอาการแทรกซ้อน
6
10
16
3. ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมและยังคงตั้งท้องอยู่
11
10
21
4. ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมและคลอดแล้ว
10
10
20
รวม
36
41
77


ผลการศึกษาเบื้องต้น


ในรายงานเบื้องต้นนี้ จะนำเสมอผลการศึกษาเฉพาะผลสำคัญๆ ที่ใช้เป็นพื้นฐานในการสัมมนาระดับชาติเรื่อง "ทางเลือกของผู้หญิงที่ท้องเมื่อไม่พร้อม" รวมประเด็นที่นำเสนอมี 5 เรื่องดังต่อไปนี้

หนึ่ง ภาพรวมของผู้หญิงที่เข้าร่วมโครงการ

จำนวนผู้หญิงที่เข้าร่วมโครงการวิจัยนี้มีรวม 77 คน ซึ่งต่ำกว่าจำนวนเป้าหมายที่ตั้งไว้ 80 คน จากตารางที่ 1 เห็นได้ว่าจำนวนผู้หญิงที่สามารถสัมภาษณ์ได้ต่ำกว่าเป้าหมายคือ ผู้หญิงที่ตั้งท้องและยุติการท้องแล้ว เกิดอาการแทรกซ้อน หรือในการศึกษานี้เรียกสั้นๆ ว่า กลุ่มแทรกซ้อน จากการให้ความร่วมมือประสานงานของเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขในจังหวัดนครสวรรค์ทุกระดับ คณะนักวิจัยจึงสามารถสัมภาษณ์กลุ่มแทรกซ้อนในจังหวัดนี้ได้ครบถ้วนตามเป้าหมาย แต่คณะนักวิจัยประสบปัญหาในการที่จะได้สัมภาษณ์ผู้หญิงกลุ่มนี้ในกรุงเทพมหานครอย่างยิ่ง แม้ว่าทางโครงการจะได้รับความร่วมมืออย่างดีจากโรงพยาบาลของรัฐหลายแห่งก็ตาม

สถานการณ์เป็นภาพสะท้อนชี้ว่า จำนวนผู้หญิงที่ทำแท้งและเกิดอาการแทรกซ้อนจนต้องเข้ารักษา ในโรงพยาบาลของรัฐมีจำนวนน้อยลงไปเรื่อยๆซึ่งเป็นภาพสะท้อนกลับว่าการให้บริการทำแท้ง ตามสถานบริการเอกชน ในปัจจุบันมีความปลอดภัยมากขึ้นกว่าสมัยก่อนมากและมีนัยว่า ผู้หญิงที่ทำแท้งในสถานบริการของเอกชนในเมืองใหญ่มีแนวโน้มว่าอาจได้รับบริการที่สะอาดและปลอดภัย มากกว่าสถานบริการเอกชนในเมืองเล็ก

เมื่อพิจารณาอายุของผู้หญิงที่เข้าร่วมโครงการพบว่า มีอายุต่ำสุด 14 ปี และสูงสุด 45 ปี จำนวนผู้อายุเกิน 40 ปี มี 2 คน มากกว่าครึ่งหนึ่งมีอายุในช่วง 20-29 ปี และมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 25 ปี โดยประมาณหนึ่งในสามเป็นผู้หญิงโสด คือในขณะที่ทำการสัมภาษณ์ไม่มีคนรัก ผู้ที่เป็นโสดแต่มีคนรักไม่ได้อยู่ด้วยกันมีร้อยละ 19 และที่มีคู่อยู่กินด้วยกันมีร้อยละ 30 ที่เหลือเป็นกลุ่มแต่งงานและเคยแต่งงานที่อยู่ร้อยละ 16 สำหรับการศึกษา ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 41) มีการศึกษาในระดับประถมศึกษาหรือน้อยกว่า โดยในกลุ่มนี้มีผู้ไม่ได้เรียนหนังสือเลย 2 คน ในกลุ่มผู้มีการศึกษาระดับปริญญามีอยู่ร้อยละ 16 แม้ในการศึกษานี้ การเลือกผู้ถูกสัมภาษณ์ไม่ได้ใช้การสุ่มตัวอย่าง แต่ใช้วิธีการแนะนำ บอกผ่าน หรือบอกต่อกันก็พบว่าผู้หญิงที่ประสบปัญหาท้องเมื่อไม่พร้อม มีอยู่ในทุกระดับการศึกษาโดยผู้มีการศึกษาสูงสุดอยู่ในระดับปริญญาโท ซึ่งมีหนึ่งคน

อาชีพของผู้หญิงที่ถูกสัมภาษณ์ก็ค่อนข้างกระจายคือ ประมาณหนึ่งในสาม เป็นแม่บ้านหรือผู้ที่ไม่ได้ทำงาน รองลงมาคือร้อยละ 18 เป็นผู้หญิงในวัยเล่าเรียน ในกลุ่มผู้ที่มีงานทำมีทั้งข้าราชการ ลูกจ้างเอกชน รับจ้างรายวัน ค้าขาย และเป็นเกษตรกร ที่น่าสนใจคือประสบการณ์ในการทำแท้งที่สำเร็จก่อนการสัมภาษณ์พบว่า หนึ่งในสามหรือร้อยละ 36 ยังไม่เคยมีประสบการณ์ทำแท้งเลย ซึ่งเป็นผลมาจากวิธีวิจัยที่แบ่งกลุ่มผู้เข้าร่วมศึกษา รวมถึงผู้หญิงที่กำลังท้องอยู่ และผู้ที่ท้องไม่พร้อมแต่ก็ตั้งครรภ์จนครบกำหนดคลอดแล้ว ในกลุ่มปลอดภัยและแทรกซ้อนจะมีประสบการณ์การทำแท้งมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่ากลุ่มใหญ่ที่สุดเป็นกลุ่มที่เพิ่งมีประสบการณ์นี้เป็นครั้งแรกในชีวิตก็ตาม จำนวนผู้ที่เคยทำแท้งมากกว่า 2 ครั้งขึ้นไปมีอยู่ 12 คน จากจำนวนของผู้หญิงที่สัมภาษณ์ได้รวม 77 คน โดยจำนวนการทำแท้งสูงสุดคือ 6 ครั้งมีอยู่ 2 คน รายละเอียดของผู้ที่ทำแท้งตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป ได้สรุปไว้ในภาคผนวกของรายงานนี้แล้ว

ตารางที่ 2 คุณลักษณะทางประชากรและสังคมของผู้หญิงที่เข้าร่วมโครงการ

คุณลักษณะ ปลอดภัย แทรกซ้อน ท้องอยู่ คลอดแล้ว รวม
จำนวน
จำนวน
จำนวน
จำนวน
จำนวน
ร้อยละ
อายุ (ปี)
0-19
20-29
30-45
รวม
อายุต่ำสุด-สูงสุด (ปี)
อายุเฉลี่ย (ปี)

5
10
5
20
16-44
26.7

4
10
2
16
18-45
24.9

6
12
3
21
14-32
22.7

4
11
5
20
15-39
25.8

19
43
15
77
14-45
25.0

25%
56%
19%
100%


การศึกษา
ไม่จบชั้นประถม
ประถมศึกษา
มัธยมต้น
มัธยมปลาย/ปวช.
อนุปริญญาและสูงกว่า
รวม

5
2
6
2
5
20

2
2
4
6
2
16

4
6
3
6
2
21

3
8
3
3
3
20

14
18
16
17
12
77

18%
23%
21%
22%
16%
100%
อาชีพของผู้หญิง
ว่างงาน/แม่บ้าน
นักเรียน/นักศึกษา
ข้าราชการ
ลูกจ้างเอกชน
รับจ้างรายวัน/ค้าขาย
เกษตรกร
รวม

1
7
-
5
5
2
20

5
4
-
4
2
1
16

9
3
-
5
2
2
21

11
-
2
3
3
1
20

26
14
2
17
12
6
77

34%
18%
3%
22%
15%
8%
100%
สถานภาพสมรส
ม่ายหรือหย่า
แต่งงาน
โสดมีคู่ อยู่กินด้วยกัน
โสดมีคู่ ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
โสด ไม่มีคู่
รวม

0
2
8
4
6
20

0
0
8
6
2
16

1
3
4
5
8
21

1
5
3
-
11
20

2
10
23
15
27
77

3%
13%
30%
19%
35%
100%
จำนวนบุตรโดยเฉลี่ย
0.9
0.5
0.48
1.40
0.83

จำนวนครั้งที่ทำแท้ง
0 ครั้ง
1 ครั้ง
2 ครั้ง
3 ครั้ง
4 ครั้ง
5 ครั้ง
6 ครั้ง
รวม
จำนวนครั้งการทำแท้งโดยเฉลี่ย

0
13
2
2
1
0
2
20
1.95

0
12
2
0
1
1
0
16
1.56

18
2
1
0
0
0
0
21
0.19

18
1
1
0
0
0
0
20
0.15

36
28
5
2
2
1
2
77
0.92


สอง การคุมกำเนิดกับการท้องที่ไม่พร้อม

ในจำนวนคำถามหลักๆ ที่เกี่ยวกับการทำแท้ง คำถามถึงการใช้ยาคุมกำเนิดดูจะเป็นคำถามในเชิงสงสัย สำหรับบุคคลทั่วไปมากว่า ทำไมจึงไม่ใช้วิธีการป้องกันการท้องก่อนจะมีเพศสัมพันธ์ ทั้งๆ ที่สถานให้บริการวางแผนครอบครัว และร้านขายยานั้นมีมากมายและเขาถึงได้ค่อนข้างง่ายในสังคมบ้านเรา โดยเฉพาะในคู่ที่แต่งงานและอยู่กินด้วยกัน จึงทำให้คนทั่วๆ ไป สื่อมวลชน และบุคลากรทางการแพทย์ไม่เข้าใจว่า ทำไมคู่แต่งงานจึงปล่อยให้เกิดการท้องที่ไม่พร้อมขึ้นได้คำถามสำหรับในกลุ่มที่ยังไม่แต่งงาน ก็จะออกไปทางโทษผู้หญิงว่า ใจแตก ไม่รักนวลสงวนตัว และถ้ารักสนุกทำไมจึงไม่รู้จักหาทางป้องกัน

คำถาม ทัศนคติ และการรับรู้ที่กล่าวมานี้ เป็นข้อเท็จจริง หรือเป็นมายาคติ ?

ในที่นี้ เราจะติดตามดูเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประเด็นนี้จากคู่ที่อยู่กินด้วยกัน หรือแต่งงานก่อนแล้ว จึงเข้าไปดูเรื่องราวของหนุ่มสาวที่มีเพศสัมพันธ์โดยยังไม่ผูกมัดกันด้วยการแต่งงาน และเรื่องราวสุดท้ายที่เราจะเสนอก็คือ เมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ได้มีการใช้วิธีคุมกำเนิดหรือไม่ เพราะเหตุไร บันทึกประสบการณ์จากปากคำของผู้หญิง ที่เข้าร่วมในโครงการวิจัยนี้ บอกเราโดยถ้อยคำของผู้มีปัญหาเองว่า "ที่เข้าใจกันว่าสาเหตุที่เกิดการท้องที่ไม่พร้อมหรือไม่ตั้งใจ เพราะไม่ใช้วิธีคุมกำเนิด" นั้นเป็นความจริงน้อยมาก

ในกลุ่มผู้แต่งงาน

จากสถิติของการวางแผนครอบครัวชี้ชัดว่า คู่แต่งงานและยังอยู่กินด้วยกันในสังคมไทยเกือบ 4 ใน 5 กำลังใช้วิธีคุมกำเนิดชนิดใดชนิดหนึ่งอยู่ สำหรับกลุ่มผู้หญิงแต่งงานแล้ว และยังประสบปัญหาท้องที่ไม่พร้อมในการศึกษานี้ก็เช่นกัน เกือบทั้งหมดเคยและหรือกำลังใช้วิธีคุมกำเนิดอยู่ แต่ต่อมาเลิกใช้หรือใช้อย่างไม่ต่อเนื่อง เพราะมีสาเหตุหลักๆ มาจากผลข้างเคียงของการใช้วิธีคุมกำเนิด โดยเฉพาะจากการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดและหรือยาฉีด ดังประสบการณ์ของผู้หญิงหลายคนต่อไปนี้

…กินยาคุมมันเวียนหน้าก็หยุดกิน ก็เปลี่ยนมาฉีดก็ไม่สบายมันจะผอมมาก ตัวเหลืองอ๋อย มันเป็นประจำเดือนไม่หาย มันไม่หายมันมาตลอด ทุกวันๆ ต้องไปฉีดยาถอนอีก

มันกินไม่ได้ มันปวดหัว เขาก็ถามว่ากินยาคุมกหรือเปล่า ก็กินแต่ว่ามันกินไม่ตลอดไง กินแล้วร่างกายเราทนไม่ไหว คือเราไม่ถูกกับยาคุม เคยเปลี่ยนตั้งหลายยี่ห้อแต่ละยี่ห้อก็ไม่เคยหมดแผงซะที มันจะปวดหัว มันจะหงุดหงิด ช่วงที่กินยาคุมจะผอม รู้สึกว่าเราคงไม่ไหวแล้วมันไม่ถูกกันเลย เคยกินทั้ง 21 เม็ด และ 28 แหละก็ยังไม่ถูกกันทั้งนั้น

แฟนก็บกว่า เราจะคุมกำเนิดโดยวิธีอะไรดีล่ะ เพราะว่าผู้ชายคุมไม่ได้นอกจากไปทำหมัน แล้วก็กลัวว่าเกิดอีกหน่อยจะมีลูกไม่ได้ เค้าก็กลัวเหมือนกัน เค้าก็เลยบอกว่าให้เราหัดกินยา แต่เราเป็นคนขี้ลืมไง ผลสุดท้ายก็เลยตัดสินใจว่าฉีดยาดีกว่า แต่มันก็มีผลข้างเคียงจากการฉีดยาดอีก เราแพ้ยา ก็คือมีเมนส์กะปริบกะปรอยขึ้นมา จนนอนด้วยกันไม่ได้

ที่ไม่ใช้ยาคุมกำเนิดเพราะว่าตัวเองร่างกายไม่แข็งแรง จะไม่สบายบ่อยแล้วก็กลัวผลข้างเคียงที่จะตามมาด้วย แล้วก็ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ทุกวัน ก็เคยใช้อย่างถุงยาง แต่พอใช้แล้วตัวเราเองรู้สึกคันที่ช่องคลอดก็เลยบอกแฟนให้เลิกใช้

ผู้หญิงที่แพ้ทั้งยากินและยาฉีดบางคนพยายามแก้ไขปัญหา โดยการขอให้สามีใช้ถุงยางอนามัย แต่ก็มีปัญหามากในชีวิตคู่ โดยเฉพาะในเรื่องเพศสัมพันธ์ ดังข้อเท็จจริงของรายต่อไปนี้

ซื้อเอง…ก็ลองกิน กินไม่ได้ เราก็เลือกเอาวิธีฉีดยา แต่พอฉีดแล้วเราก็ผอมลง เหลืองลง ทำงานไม่ค่อยจะได้ เหนื่อย คนก็ทักว่าเหลืองมากนะ…เคยฉีดอยู่ 2-3 ครั้ง แล้วไม่ไหวจริงๆ ทำงานไม่ได้เลยเลิกฉีดไป เราก็ไม่รู้จะหาวิธียังไง แบบไม่ให้มันท้อง… เราก็ให้แฟนสวมถุงยาง อันนี้ต้องบังคับเขาน่ะ เขาจะไม่ยอม เขาบอกว่ามันไม่เหมือนธรรมชาติ เราก็ไม่เข้าใจนะว่ามันเป็นยังไง มันไม่เหมือนปกติ เราก็บอกมันไม่มีทางเลือกนะ ถ้าไม่สวมก็ไม่ต้องยุ่งกันเลยเพราะว่าเราก็เหนื่อย ตอนนี้เราก็เหนื่อยเหมือนเธอและถ้าท้องต้องนั่งเลี้ยงลูก เราไม่ไหว ถ้าเราไปฉีดยาเราก็ไม่ไหว ยาเรากินไม่ได้ เขาก็ยอมเป็นบางครั้ง คล้ายๆ กับว่าถ้าเขาต้องการมากๆ เขาก็ยอม ถ้าเกิดเขาไม่ต้องการอะไรมากมายเขาก็จะเฉยไปไม่ยุ่งกับเรา ถ้าบ่อยๆ ครั้งเข้าติดๆ กัน เขาก็จะมีอาการพูดเสียดสีเรา คำพูดของเขามันฆ่าเราให้ตายได้ แบบ…ของเขาไม่ใหญ่ ไม่ถึงใจ ไม่สะใจ ไม่เหมือนผัวเก่า เขาพูดไปทั้งๆ ที่เราไม่เคยมีประวัติว่าไปพบใครเลย คำไหนที่มันรุนแรงเขาจะขุดคุ้ยมาว่าเรา …แม้กระทั่งทุวันนี้ก็ยังพูด

การคุมกำเนิดแต่พลาด เป็นสาเหนุอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดการท้องที่ไม่พร้อมและหรือไม่ตั้งใจขึ้น ดังเช่นรายต่อไปนี้
นักวิจัย : ก็มีใช้ถึงยางอนามัย และมีการใช้ยาคุมกำเนิดแบบ…เค้าเรียกแบบอะไร
ผู้หญิง : เออแบบฉุกเฉิน…บ้าง ก็เป็นยาคุมกำเนิด ไว้ทานทีหลัง อ๋อ อีกวิธีหนึ่งคือการนับวันซึ่งมันเป็นปัญหาสำหรับฉัน สำหรับ case นี้แหละ ที่ทำให้ต้องไปทำแท้งเนี่ยแหละ
นักวิจัย : เพราะนับวันผิด
ผู้หญิง : เออ นับวันฉันนับไม่ผิดหรอก แต่ว่ามันไม่ใช่ระยะปลอดภัยจริงๆ
อีกรายหนึ่งซื้อยาเม็ดคุมกำเนิดกิน แล้วเกิดผลข้างเคียง ก็เปลี่ยนยี่ห้อยามาเรื่อยๆ จนในที่สุดกินยายี่ห้อหนึ่งอยู่แต่ก็ยังท้อง ซึ่งแพทย์สันนิษฐานว่า อาจเป็นยาปลอม หรือยาหมดอายุ ดังคำบอกเล่าของเจ้าตัวเองดังนี้
ผู้หญิง : ค่ะ เวียนหัวมาก ง่วงนอนมาก กินแล้วหลับทันทีเลย ก็เปลี่ยนเป็นดีม หรืออะไรสักอย่าง ก็เปลี่ยนมาแล้ว ไม่ถูกใจก็เปลี่ยนอีก เปลี่ยนเป็นมามิลอน ก็แผงสุดท้ายนี่แหละ ก็กินไปจนหมด พอขึ้นแผงที่ 4 ทำไมเมนส์ไม่มา
นักวิจัย : แล้วคิดว่าทำไมเราถึงท้อง ทั้งที่กินยาคุมทุกวัน
ผู้หญิง : ใช่ ก็คิดตรงนี้ ทุกวันนี้ก็ยังคิดอยู่ทำไมถึงท้อง ก็ถามหมอ หมอบอกว่าอาจจะเป็นยาคุมปลอม หรือไม่ก็หมดอายุ
สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งมาจากความล้มเหลวของการคุมกำเนิด เช่น ใส่ห่วงแล้วห่วงหลุด ซึ่งมีอยู่หลายราย แต่กรณีหลังของ "ลำดวน" เป็นสาเหตุมาจากทำหมันแต่หมันหลุด เรื่องลำดวนนี้น่าสนใจมาก ลำดวนเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี และมีฐานะยากจน เคยได้รับการผ่าตัดทำหมันในโรงพยาบาลของรัฐหลังจากคลอดลูก วันหนึ่งลำดวนไปหาเพื่อนเพื่อจะขอยืมเงิน เพื่อนไม่อยู่ พบแต่สามีของเพื่อนและถูกสามีของเพื่อนข่มขืน ปรากฏว่าลำดวนท้อง ลำดวนพยายามทุกหนทางที่จะทำแท้งด้วยตนเอง แต่ไม่มีเงินพอที่จะไปสถานบริการเอกชน จึงต้องกลับไปที่โรงพยาบาลรัฐแห่งนั้นเพื่อขอความช่วยเหลือให้ทำแท้งให้ แต่ทางโรงพยาบาลปฏิเสธ โดยอ้างว่าท้องหลายเดือนแล้ว (ประมาณสามเดือนเศษ) ลำดวนพยายามต่อรองว่า ทางโรงพยาบาลต้องรับผิดชอบเพราะเคยเป็นคนไข้ที่แพทย์ในโรงพยาบาลทำหมันให้ แต่มีปัญหาในการค้นประวัติคนไข้ ลำดวนต้องเทียวไปเทียวมาโรงพยาบาลหลายครั้งกว่าจะพิสูจน์ได้ว่า เป็นคนไข้ที่โรงพยาบาลเคยทำหมันให้จริงๆ ในที่สุดทางโรงพยาบาลจึงยอมทำแท้งให้ ซึ่งในขณะนั้นลำดวนท้องได้เกือบห้าเดือนแล้ว

ในกลุ่มที่แต่งงานนี้ บางคู่ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันประจำ เพราะต้องแยกกันอยู่เพราะงาน จึงเลือกใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ที่มักเรียกกันว่า "ยาคุมหลังร่วมเพศ" และหรือใช้วิธีที่มีโอกาสผิดพลาดสูงประกอบกันไปด้วย ได้แก่ การหลั่งนอกช่องคลอด หรือการนับระยะปลอดภัย ดังประสบการณ์จริงของผู้หญิงแต่งงานแล้วคนหนึ่งที่ว่า
ไม่ได้กินเพราะว่าไม่น่าจะท้องเพราะไม่ได้อยู่ด้วยกันประจำ แค่ไปหากแกเดือนละอาทิตย์คือ ไปมาอยู่อย่างนี้ 5 เดือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เลยคิดว่ามันคงไม่น่าจะท้อง เราก็ (ใช้วิธี) นับวันเหมือนกัน (แต่) บางทีก็ลืมๆ บางทีก็ลืมไปเลย
ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในการมีเพศสัมพันธ์ ดูจะเป็นสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่เป็นข้อค้นพบจากปากคำของผู้หญิงที่มีปัญหา ดังตัวอย่างเรื่องจริงของ "แดง" แดงอายุ 36 ปีมีลูก 2 คน ด้วยสาเหตุที่สามีไม่ยอมทำหมันเพราะกลัวว่าจะไม่มีแรงทำงาน แต่ก็ไม่ยอมให้แดงทำหมัน แดงเล่าว่าสามีกลัว "เมียจะร่าน" สามีแดงเป็นคนที่มีความต้องการทางเพศสูงมาก มีเพศสัมพันธ์กับแดงเกือบทุกคืน ไม่เว้นแม้คนที่แดงไม่สบาย แดงเล่าว่าตัวเองมีอาการ "เลือดไม่มา" สามครั้ง สองครั้งแรกใช้วิธีกินยาขับเลือดและบีบท้อง แต่ครั้งที่สามไม่สำเร็จจึงไปทำแท้งที่คลินิกในเมือง

อาจมีผู้สงสัยว่า มีหรือไม่ในกลุ่มแต่งงานที่เกิดปัญหาท้องเมื่อไม่พร้อม เพราะไม่ได้ใช้วิธีคุมกำเนิดแบบใดๆ เลย ตอบได้ว่ามี แต่ที่ไม่ใช้มิใช่ว่าเพราะไม่รู้ หรือไม่อยากใช้ แต่เป็นเพราะเหตุผลทางสุขภาพ โดยผู้หญิงให้คำอธิบายว่าไม่คิดว่าจะท้อง ในบางรายเพราะสามีสุขภาพไม่ดี อ่อนแอและบางรายก็เพราะคิดว่าตนเองสุขภาพไม่สมบูรณ์ คงจะไม่ติดลูก

ในกลุ่มไม่แต่งงานหรือไม่มีคู่อยู่กินด้วยกัน

ซึ่งโดยเปรียบเทียบกับกลุ่มแต่งงานแล้วจะใช้วิธีคุมกำเนิดน้อยกว่า และมีอายุน้อยกว่า ประสบการณ์ของกลุ่มนี้เกี่ยวกับการใช้การคุมกำเนิดมีความแตกต่างไปจากกลุ่มแรกมาก ในมิติของการใช้หรือไม่ใช้การคุมกำเนิด มีส่วนเกี่ยวข้องมากกับความรู้หรือไม่รู้ ความสามารถในการเข้าถึงบริการ ในด้านการวางแผนครอบครัว และบรรทัดฐานทางสังคมที่มีต่อผู้หญิงโสด จากปากคำบอกเล่าของผู้หญิงกลุ่มนี้ เราสามารถจำแนกสาเหตุและเรื่องราวได้ดังต่อไปนี้

ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน และมีเพศสัมพันธ์กับคนรัก มีแนวโน้มที่จะใช้วิธีคุมกำเนิดประเภทครั้งคราว คือ การใช้ถุงยาง และการใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และหรือใช้วิธีที่มีประสิทธิภาพต่ำคือ การนับวันและการหลั่งนอกช่องคลอด ซึ่งเป็นทางเลือกที่คล้ายคลึงกับกลุ่มแต่งงานแล้วแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันประจำ ดังนี้
ไม่เคยใช้ถุงยาง ไม่เคยใช้ยาคุมอะไร เคยได้ยินเรื่องยาคุมชั่วคราวแต่อายไม่กล้าเข้าไปซื้อ ไม่มีใครกล้าเข้าไปซื้อ …ตอนนั้นไม่คิดเรื่องนี้ ไม่กล้าซื้อยาคุม ไม่รู้ยาคุมเป็นยังไง …ตอนนั้นก็คือยังไม่ ยังไม่ฉีดหรือว่าไปทำอะไรทั้งนั้น แต่แฟนพยายามจะให้กินยาโพสตินอร์หรืออะไรน่ะ เค้าซื้อมาให้กินว่าเป็นยาคุมชั่วคราว … เวลาจะไปนอนโรงแรมกันทีก็จะแบบเนี้ย เค้าบอกว่า cover ประมาณสามชั่วโมง …เค้าซื้อมาให้ทีก็ประมาณสี่เม็ด แต่บางครั้งที่นอนโรงแรมด้วยกันแล้วก็ซื้อยาไม่ทัน อาจจะดึกไป อาจจะไปกินเหล้ากับเพื่อนมาแล้วกลับดึกแล้ว ไปนอนโรงแรมด้วยกัน ก็จะแบบไม่ได้กิน ไม่ได้ซื้อ เราไม่ได้ซื้อติดตัวไว้ตลอดเวลาอยู่แล้ว
และรายที่เจอคนรักประมาณเดือนละหนึ่งสัปดาห์เล่าว่า
ช่วงแรกตอนนั้นไม่ได้คุม เพราะว่ามันไม่ได้บ่อยใช่มั้ย ก็เลยกินยาแบบว่ายาชั่วคราว …แฟนเป็นคนซื้อให้หลังจากมีอะไรกันแล้ว คิดว่าไม่น่าจะท้องเพราะว่าเรานับวันของเราได้จากหน้า 7 หลัง 7 น่ะก็ไม่ได้ท้อง ก็คิดว่าไม่ต้องกินยาคุมเพราะกินยาคุมมันเหมือนภาระอย่างนึงเลย ต้องกินประจำ ก็ป้องกันเอาเองละกัน ก็คือใช้วิธีป้องกันองคือหน้า 7 หลัง 7 …ช่วงหลังมาแฟนคงกลัว …ก็ไปซื้อถุงยาง หนูกลัวคน ยังไงละมันไม่ใช่บ้านเราด้วย …ถ้าเขาไปซื้อเพื่อนเขาก็ต้องรู้ หรือที่ร้ายขายของก็ต้องรู้ เขาต้องคิด มันยังไงไม่รู้ หนูบอกไม่ต้องหรอก ค่อยกินยาเอาก็แล้วกัน เดี๋ยวน้องๆ ผู้ชายมาเจอกล่องถุงยาง ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น แกก็ถามว่าแล้วถ้าท้องขึ้นมาละ ก็บอกว่าไม่ท้องหรอก เดี๋ยวก็กินยา แกคิดว่าคงคุมแล้วเพราะเคยพูดกัน ตั้งแต่คบกันใหม่ๆ ว่า ถ้าไม่คุมน่ะเดี๋ยวจะท้องนะ ตอนนี้ยังไม่พร้อม
คำบอกเล่าข้างต้นนี้ชี้ให้เห็นเหตุผลแฝงที่สำคัญอีกหลายประการหนึ่งของทางเลือกนี้ก็คือ วิธีคุมกำเนิดที่เลือกใช้ต้องไม่เป็นที่สังเกตทำให้คนรอบข้างรู้ว่ามีเพศสัมพันธ์แล้วกับแฟน จึงไม่น่าแปลกใจที่วัยรุ่นหนุ่มสาวที่มีเพศสัมพันธ์กัน ถ้าใช้ยาคุมฉุกเฉิน ส่วนใหญ่ผู้ชายเป็นฝ่ายซื้อให้ผู้หญิงใช้ และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้เองทำให้ผู้หญิงโสดที่มีเพศสัมพันธ์กับคนรักแล้ว จำนวนหนึ่งไม่กล้าใช้วิธีคุมกำเนิด ประเภทยาเม็ดและยาฉีด หรือแม้แต่ถุงยาง เพราะกลัวคนรอบข้างรู้ ดังรายต่อไปนี้

โดยปกติ ผู้หญิงคงไม่พกหรอกนะถุงยาง ถ้าเราพกไป เค้าก็ตายแล้วคนนี้สงสัยคนนี้ ประจำ

ไม่เคยคิดเนื่องจากว่า กินยาคุมเนี่ยมันมีปัญหานิดนึงคือเราต้องเก็บแผงไว้ ต้องคอยดูที่นี้ที่บ้านน้องรับไม่ไดแน่นอน แต่โอเค เค้ารู้เรามีอะไรกับแฟน แต่เค้าไม่รู้เราถึงเป็นชีวิตจิตใจว่า เราต้องพกขนาดนี้ ถ้าเกิดเค้ามาเจอเราก็มีปัญหา เรื่องการฉีดยาน้องก็ไม่กล้า กลัวเข็ม ไม่อยากฉีด

ไม่เคยคิดจะซื้อยากิน กลัวแม่กับพ่อจับได้ ถ้าพกแล้วเดี๋ยวเค้าถาม ขนาดจะฉีดยาคุมไปเกริ่นๆ กับเค้าว่า แม่ฉีดยาคุมดีนะไม่ต้องใช้ผ้าอนามัยด้วย เค้าก็บอกว่าฉีดทำไมเดี๋ยวเลือดแห้ง ไม่ดีกับสุขภาพ เค้าก็เริ่มสงสัยละ แม่ทำงานกระทรวง สาธารณสุขไงคะ เหมือนเค้ารู้ล่ะ แต่เค้าไม่ใช่ว่าตามใจลูก แต่คือทำไงได้ล่ะ ลูกมันพลาดไปแล้ว เค้ารู้แหละว่าลูกพลาดไปแล้ว …เออ แต่เค้าไม่รู้ว่าเราทำอะไรมาด้วย ทำถึงขนาดไหน แล้วเค้าก็เลยเอาถุงยาง ที่กระทรวงสาธารณสุขมาให้ …เค้ามีความรู้สึกว่า เค้ากลัวถูกท้อง

สำหรับผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานและไม่ใช้วิธีคุมกำเนิด ส่วนหนึ่งมาจากความเข้าใจว่า การคุมกำเนิดเป็นเรื่องของคนที่แต่งงานแล้ว ดังความเห็นที่ว่า "ใช่ ตอนนั้นคิดว่าการคุมกำเนิดเป็นของคนที่แต่งงานแล้วก็เลยไม่ได้คุม …แบบเรายังไม่แต่งไงคือก็ไม่กล้าคุม แบบไม่กล้าไปหาหมออย่างนี้พี่ ไม่กล้าเลย" ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งไม่ใช้เพราะมีความรู้เรื่องการคุมกำเนิดน้อย หรือไม่ได้ใส่ใจเลยดังน้องคนหนึ่งที่ยังอยู่ในวัยเรียนหนังสือตอบคำถามเรื่องนี้ว่า
นักวิจัย : แล้วน้องรู้จักวิธีคุมกำเนิดอะไรบ้าง
ผู้หญิง : ไม่รู้จักเลย
นักวิจัย : ที่โรงเรียนมีไหมคะ มีสอนไหม
ผู้หญิง : ที่โรงเรียนมีรู้จักแค่การใช้ถุงยางอนามัย เขาจะสอนแค่ผู้ชายอย่างนี้ ผู้หญิงเขาไม่ค่อยได้สอนหรอก
นักวิจัย : มันไม่มีวิชาเรียนที่เป็นวิชาที่สอนเรื่องเพศศึกษาเหรอ หรือว่าสุขศึกษา
ผู้หญิง : ก็สอนน่ะ แต่แบบพูดตรงๆ ไม่ได้ค่อยใส่ใจมากเท่าไหร่ ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ เพราะไม่คิดว่ามันจะเกิดกับเราน่ะ
อีกคนหนึ่งอธิบายว่าทำไมรู้เฉพาะเรื่องถุงยาง ได้ดีกว่าคนแรกดังนี้
นักวิจัย : น้องรู้จักวิธีคุมกำเนิดอะไรบ้าง
ผู้หญิง : ก็คือแค่ใส่ถุงยางค่ะ แต่ไม่ใช่คุมกำเนิด เป็นการป้องกันโรคเอดส์จากที่เคยเรียนมามากกว่า ส่วนมากจะเรียนเรื่องเพศสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับโรคทางเพศสัมพันธ์ เรื่องสุขศึกษาและก็โรคเอดส์ ป้องกันโรคเอดส์อะไรประมาณนี้ ไม่ได้มีแบบคุณพร้อมมีบุตรหรือยัง คุณต้องทำอย่างนี้นะอะไรอย่างนี้
อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงอายุน้อยและอยู่ในวัยเรียนทุกคน จะซื่อบริสุทธิ์ไม่รู้เรื่องการคุมกำเนิดเลย บางคนเรียนรู้เรื่องยาเม็ดคุมกำเนิดและรู้จักที่จะนำมาใช้ เมื่อมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนรักตั้งแต่ครั้งแรกเลย ดังประสบการณ์ต่อไปนี้
นักวิจัย : กินยาเม็ดแรกตั้งแต่เมื่อไหร่
ผู้หญิง : ตั้งแต่ครั้งแรกเลย
นักวิจัย : ตั้งแต่มีอะไรกันครั้งแรกเลยนะ มีแล้วค่อยกินหรือว่ายังไง
ผู้หญิง : กินก่อน
นักวิจัย : แสดงว่าเรารู้ว่าจะมีอะไรกัน เรารู้จักยานี้ได้ยังไง
ผู้หญิง : ก็เคยดูหนังเรื่อง "เสียดาย" ครูพาเด็กชั้นประถมไปดู หนูก็เอามาใช้
สำหรับผู้หญิงโสดหลายคนที่ไม่ใช้วิธีคุมกำเนิดและนำไปสู่การท้องที่ไม่พร้อมนี้ เป็นเพราะความสัมพันธ์ทางเพศนั้นเป็นครั้งแรก ซึ่งมีแนวโน้มว่าผู้หญิงโสดส่วนใหญ่ ไม่ได้ตั้งใจที่จะมีความสัมพันธ์ทางเพศ บางคนถูกขืนใจ หรือบังคับข่มขืน ดังตัวอย่างหลายตัวอย่างดังนี้
ผู้หญิง : ก็ไปเที่ยวกัน แบบเด็กๆ ไม่ได้คิดล่วงหน้าว่าจะมีอะไรกัน ก็คิดว่าเขารักเรา เรารักเขา ประสาเด็กๆ ก็เลยเออ…มีอะไรกันเลยเถิดไปไม่ได้คิดอะไร
นักวิจัย : ตอนนั้นได้คุมไหมคะ
ผู้หญิง : ไม่รู้เรื่องๆ นี้เลยค่ะ เรื่องคุมกำเนิดก็ไม่รู้เรื่อง

ผู้หญิง : แฟนคนแรก 16 ปี ยังไม่รู้จักยาคุมกำเนิด ไปทานอาหารกับเพื่อน และก็แฟนคนแรกเขาก็เป็นทหารเกณฑ์เหมือนกัน ไปเจอกัน นัดทานข้าวอะไรกัน พี่บอกเข้าห้องน้ำก่อนนะ พี่ก็สั่งน้ำส้ม เสร็จแล้วพี่ก็เข้ามาน้ำส้มมาถึงแล้ว แต่ไม่ได้เอะใจว่าในน้ำส้มมีอะไร เสร็จแล้วก็เช็คบิลสรรพเสร็จ ง่วง ขึ้นรถสามล้อแล้วรู้สึกง่วงเพราะวูบ …มารู้อีกทีหนึ่ง ก็รู้ว่าเราอยู่โรงพยาบาลเลย
นักวิจัย : อยู่โรงพยาบาล ทำไมอยู่โรงพยาบาลละคะ
ผู้หญิง : โดนยาเขา เขาข่มขืนเรา ก็ถามว่านี่เธอทำอะไรฉัน เขาบอกเธอกินน้ำและเธอก็หลับ ฉันพาเธอไปนอนที่โรงแรม และบอกทำไมฉันมาอยู่โรงพยาบาล เขาบอกเธอยังเด็ก เขาไม่พูดเปิดเผยให้เรา เขากลัวเราอาย เราก็อายด้วยใช่ไหม ยังเด็กเพราะว่าช่องคลอดเราอาจจะฉีกหรือว่าอะไรเราก็ไม่รู้ เพราะเราไม่รู้ตัว ตื่นขึ้นมาก็มีสายน้ำเกลือ และก็มีแม่ผู้ชายนั่งอยู่ เลือดเราก็ยังไหลและก็เป็นไข้มาด้วย

ก็มาอยู่กับเพื่อนน่ะค่ะ เพื่อนก็พาไปฝากงานที่ร้านอาหาร เขาบอกว่าเขารู้จักเจ้าของร้านก็ไปทำงาน ตอนแรกไปทำก็ไม่รู้ว่าเขาแบบ มีอ๊อฟดริ๊งค์อะไรอย่างนี้ หนูก็ไปทำหน้าที่เสริ์ฟและก็ชงเหล้าก็ราบรื่นดีค่ะ พอวันที่ 5 มีแขกอยู่คนนึ่งเขาจะเอาหนูไปนอนด้วย หนูก็ไม่ได้ เจ้าของร้านเขาก็ไม่พอใจ วันที่ 2 อีกแขกคนนั้นก็มาอีก เขาจะมาเอาเราไปนอนให้ได้ แต่หนูก็ไม่ไป เจ้าของร้านเขาบอกว่าจะไล่ออก เขาบอกว่าให้ไปนั่งคุยกับเขาที่โต๊ะ หนูก็ไปนั่งคุย เขาก็บอกว่า ถ้าเกิดเขาออกไปแล้วเนี่ย เขาจะไม่ให้ค่าอะไรเลย ที่มาทำงานหนูจะไม่ได้อะไรเลย หนูก็ว่าหนูออกก็ได้จะไปหาญาติๆ มีที่สมุทรปราการ เขาก็เลยบอกว่าใจเย็นๆ ให้นั่งคุยกันก่อน เขาก็ให้ลูกน้องเขานี่ค่ะไปเอาเบียร์มาให้ดื่ม หนูก็จิบไปเรื่อยๆ จนเรารู้สึกหัวมันเริ่มหนักอะไรอย่างนี้ค่ะ …เขาก็บอกว่าเขาพาไปส่งที่ห้องนะ …และเขาก็พาไป คือสติหนูนี้ยังรู้ตัวเองอยู่นะคะ แต่ว่าร่างกายมันช่วยตัวเองไม่ได้ ความรู้สึกคือตอนนั้นเขาเอาบุหรี่มาจี้ตัว เอาบุหรี่จี้ๆ และก็เอาเบียร์ราด อะไรอย่างนี้ …เขาบอกว่า เขาจะรับผิดชอบเพราะว่าหนูยังไม่เคย ยังบริสุทธิ์อย่างนี้คะ เขาจะให้อยู่ด้วย เขาจะเลี้ยงดู บอกว่าให้รอเขาก่อน เขาจะออกไปข้างนอกเอาเงินแล้วจะกลับมา ทีนี้หนูไม่รอ ออกมาเจอมอเตอร์ไซค์รับจ้างใจดี ก็บอกว่าให้เขาไปส่งขึ้นรถที่ปากทาง ก็โทร.ไปหาญาติบอกว่าอยู่แถวบางพลัดจะนั่งรถสายไหนไปหาได้บ้าง ญาติเขาก็บอก หนูก็ขึ้นรถไป ไปอยู่กับญาติๆ ก็บอกว่า ออกจากบ้านไม่ไดบอกพ่อ บอกแม่ เขาโกรธใช่ไหมคะ ให้กลับบ้าน หนูก็เลยกลับไป ก็ไปเรียนใหม่

ประการสุดท้ายมาจากเรื่อง ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในเพศสัมพันธ์ระหว่างคู่รัก ซึ่งมีลักษณะทั้งคล้ายคลึงและแตกต่างออกไปจากกลุ่มที่แต่งงานแล้วผู้หญิงบางคนไม่ต้องการ มีเพศสัมพันธ์กับคนรักแต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ผู้ชายบางคนไม่ยอมเป็นฝ่ายซื้อยาคุมให้ผู้หญิง หรือไม่ให้ผู้หญิงใช้ยาคุมเพราะกลัวจะอ้วนและผู้ชายหลายคนพยายามใช้ลูกเล่นต่างๆ นานา เพื่อให้ผู้หญิงยอมมีเพศสัมพันธ์ด้วย ดังสถานการณ์จริงต่อไปนี้

หนูก็บอกอย่านอนเลยนะ เค้าก็…นำเอาออกข้างนอก หนูก็บอกไม่ แล้วก็จะกลายเป็นปัญหาทะเลาะกันด้วย นี่คือที่หนูฝังใจมาหลายๆ ครั้ง …ในบางครั้งที่หนูปฏิเสธเค้าก็น่าจะฟังหนูบ้าง เค้าไม่ฟัง (ร้องไห้) นี่แหละคือข้อนี้ที่หนูเกลียดเค้า …อะไรก็จะต้องนอนให้ได้ บางทีก็ไม่ได้นอนล่ะก็หงุดหงิด

อยู่กับเขา 2 คน เขาก็ขอหลายครั้งแล้วค่ะ หนูรำคาญตอนนั้นหนูกลัวแบบมีปัญหา กลัวท้อง ก็เลยไม่ยอมจนมาถึงเดือนมกราหนูพูดประชดว่า อยากนี่ก็ซื้อยาคุมมาซิ จะได้ไม่ท้องก็พูดอย่างนี้ ไม่คิดว่าเขาจะซื้อจริงๆ เขาก็ซื้อมาให้จริงๆ น่ะ หนูจำได้วันแรกเลย 22 มกรา วันนั้นหนูบอกถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมารับผิดชอบไหมล่ะ เขาบอกว่า ยังไงเขาก็รับ ตัวเขารับ หลังจากนั้นมีปัญหาด้วย แม่เขาไปพูดที่โรงเรียนว่า หนูทำให้ลูกเขาเสีย เขาบอกยังไม่เลิกกันซักที เขาก็ไปพูดร้องไห้ร้องห่ม ให้อาจารย์ประจำชั้นหนูน่ะ อาจารย์เขาก็เห็นใจหนูแต่ไม่รู้จะว่ายังไง หนูออกจากโรงเรียนเดือนมีนา ไม่ได้ไปเรียนเลยค่ะ

เค้าโกหกหนูว่า เป็นหมัน หนูจะกินยา เค้าก็บอกว่าไม่ต้องกินหรอก เป็นหมัน ไม่ต้องกินเค้าบอก…พอหลังๆ มา เค้าถึงมาบอกว่าไม่ได้เป็น

ผู้หญิง : เดือนหน้าว่าจะแอบกิน ไม่ไหว กลัวต้องมานั่งเครียดทุกเดือนเลย คบมานี่ เครียดทุกเดือน แล้วเวลาเมนส์ไม่มาเนี่ยจะทะเลาะกันทุกครั้งเลยนะ
นักวิจัย : ทำไมหนูไม่คุยกับเค้าล่ะคะ
ผู้หญิง : ก็บอกเค้าแล้ว เค้าก็บอกตามใจสิ หนูเคยทะเลาะกันเรื่องไปซื้อยาเนี่ย เขาว่าจะบ้าเหรอ ผู้ชายซื้อได้ไง ผู้ชายมีที่ไหนเค้ากินกัน ไม่เอาน่าเกลียด เพื่อนหนูยังด่าเลย อะไรวะหน้าเกลียด …ผู้ชายซื้อมันจะไปว่าอะไร เหมือนกับซื้อให้แม่ ให้ญาติโกโหติกาใครก็ได้ นี่ผู้หญิงเข้าไปซื้อเองเลยนะเพื่อนมันก็ด่า หลังจากนั้นแฟนหนูก็เริ่มคิดได้ว่า เค้าซื้อเองดีกว่า อย่างน้อยถุงยางอะไรอย่างเนี้ย

สาม ผู้หญิงคิดอะไร และทำอะไรบ้าง เมื่อรู้ว่าท้องเมื่อไม่พร้อม

เมื่อผู้หญิงรู้ตัวว่าท้องและไม่ได้ต้องการท้องนั้น ปฏิกิริยาแรกของผู้หญิงทุกคนคือ ความหนักใจ ไม่สบายใจ เกือบทั้งหมดเริ่มจากความตกใจ กังวลใจ และกลัว หลายรายร้องไห้ บางรายอยากฆ่าตัวตาย อย่างไรก็ตามความหนักใจกังวลใจก็มีระดับที่แตกต่างกัน ซึ่งมาจากสถานการณ์ในขณะนั้นที่ผู้หญิงเผชิญอยู่ว่า เป็นผู้หญิงในวัยใด แต่งงานมีคู่ หรือยังโสด กำลังทำงาน หรือกำลังเรียนหนังสือ มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องข้อมูลในการทำแท้ง มากน้อยแค่ไหน ผู้ชายที่มีส่วนร่วมให้เกิดการท้องนี้เป็นใคร รับผิดชอบแค่ไหน ที่สำคัญคือ บุคคลรอบข้างมองและเข้าใจเรื่องนี้อย่างไร และฐานะทางการเงินที่สามารถจะเลี้ยงดูอีกชีวิตหนึ่งได้หรือไม่

สภาพที่ว่ามาทั้งหมดนี้ มีส่วนอย่างยิ่งที่จะทำให้ผู้หญิงตัดสินใจที่จะยุติการตั้งท้อง หรือจะรักษาท้องไว้ต่อไป ในกระบวนการการตัดสินใจเองก็มีขั้นตอนต่างๆ มาเกี่ยวข้อง และจำนวนมากต้องเปลี่ยนการตัดสินใจครั้งแล้วครั้งเล่า บันทึกประสบการณ์ในตอนนี้ของผู้หญิงเมื่อท้องไม่พร้อม เราจะวิเคราะห์ความรู้สึกของผู้หญิงว่า พวกเธอคิดอะไรบ้างเมื่อรู้ว่าท้อง และเพราะเหตุใดจึงคิดว่าท้องต่อไปไม่ได้ และทำไมในหลายรายที่ไม่ต้องการท้องนั้น แต่ในที่สุดก็ท้องต่อไปจนครบกำหนดคลอด

(1) ไม่มีข้อมูล ผู้หญิงเกือบทุกคนพยายามเสาะแสวงหาข้อมูลต่างๆ ที่จะช่วยในการตัดสินใจว่า ถ้าต้องการทำแท้งควรทำอย่างไรดี และไม่ว่าจะทำแท้งหรือเก็บท้องไว้ ชีวิตตนเองจะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง ในกลุ่มที่มีความรู้น้อยมาก หรือไม่รู้อะไรเลย และไม่สามารถหาผู้พึ่งพิงให้คำปรึกษาได้ บางคนกว่าจะพบผู้ให้คำแนะนำ ระยะเวลาของครรภ์ก็ล่วงเลยมาแล้วจนไม่สามารถทำแท้งได้ ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ในกรณีเช่นนี้ มักเกิดกับผู้หญิงโสดที่มองหาทางออกไม่ได้ และบางรายที่เป็นท้องแรกกว่าจะรู้ว่าท้องจริงๆ เวลาก็ล่วงเลยไปมากแล้ว ดังรายของเด็กสาววัย 17 ปีที่ว่า "…ถ้าเป็นเดือนสองเดือนก็จะเอาออก แต่เราไปตรวจมันได้ 7 เดือนแล้วมันเอาออกไม่ได้แล้ว ตอนที่คิดทำแท้งก็เด็กมันดิ้นแล้ว หนูเองก็ไม่รู้ว่ากี่เดือน" หรืออีกรายวัย 19 ปีที่คล้ายคลึงกันมาก "…คิดไปก็เท่านั้นเพราะเราไม่มีประสบการณ์ เราไม่รู้จะไปทำแท้งที่ไหน คิดไปก็ไม่รู้จะไปที่ไหน ก็เลยไม่คิด ก็เลยปล่อยไว้อย่างนี้ แล้วลูกดิ้นรู้สึกได้เลยปล่อย"

ลองมาดูประสบการณ์ของผู้หญิงแต่งงานแล้วบ้าง ในกรณีของ "แดง" ซึ่งแต่งงานมีลูก 2 คน และเคยผ่านการกินยาขับเลือดมาแล้วสองครั้ง ก็มิใช่ว่าจะมีข้อมูลมากพอเมื่อเผชิญปัญหาอีกครั้ง เมื่อแดงท้องครั้งสุดท้ายและพยายามกินยาขับเลือดแล้วไม่สำเร็จ จนท้องได้สองเดือน แดงจึงตัดสินใจปรึกษากับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในตำบล เจ้าหน้าที่แนะนำให้ไปปรึกษาที่โรงพยาบาลชุมชน แต่เมื่อแดงไปโรงพยาบาลก็ถูกปฏิเสธว่า ไม่สามารถช่วยอะไรได้ แดงกลับมาที่เจ้าหน้าที่คนเดิมอีกครั้งพูดคุย และขอร้องจนเจ้าหน้าที่ใจอ่อน ยอมให้ชื่อคลินิกในตัวจังหวัดที่รับทำแท้ง และจากข้อมูลนี้เอง แดงเรียนรู้ว่าต้องใช้เงินเท่าไร เสียเวลานานแค่ไหน แดงก็ตัดสินใจไปรับบริการจากคลินิกเอกชนแห่งนั้น

กรณีของแดงเป็นตัวอย่างว่า ข้อมูลและคำปรึกษาหารือเป็นความต้องการพื้นฐานสำคัญอันดับต้นๆ สำหรับผู้หญิงที่ต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้องเมื่อไม่พร้อม ไม่ว่าเธอจะเป็นสาวโสด แต่งงานมีประสบการณ์การทำแท้งมาก่อนหรือไม่ก็ตาม

(2) บรรทัดฐานทางสังคม ความเชื่อ ค่านิยม และวัฒนธรรม เป็นปมปัญหาที่ผู้หญิงโสด เมื่อท้องไม่พร้อมต้องเผชิญมากที่สุด ผู้หญิงโสดหลายคนต้องเผชิญปัญหานี้อย่างโดเดี่ยวไม่กล้าปรึกษากับใคร ไม่เพียงแต่เพราะความอาย แต่เพราะลงโทตนเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นความผิดของตนเองด้วย ปัญหาที่ว่านี้เกิดกับผู้หญิงโสด ไม่ว่าจะยังอยู่ในวัยเรียน หรือทำงานมีอายุพอสมควรแล้วก็ตาม ปากคำของผู้หญิงหลายคนต่อไปนี้จะสะท้อนว่า ความคาดหวังและทัศนคติของคนรอบข้างมีผลยิ่งใหญ่อย่างไรต่อผู้หญิงโสดที่ท้องเมื่อไม่พร้อม

ที่ไปทำแท้งก็แบบอย่างนี้ไง พ่อแม่รู้ไม่ได้ ก็เลยต้องทำ (อายุ 20 ปี เรียนหนังสือ)

เราคิดว่าเราต้องเอาออก …เพราะว่าถ้าเกิดพ่อแม่เรารู้ เราไม่ได้เรียน อยากเรียนน่ะค่ะ และก็กลัวพ่อแม่รู้ และพอท้องขึ้นมานะ อายเขาอย่างนี้ ท้องตอนเรียนอะไรอย่างนี้ เป็นระเบียบของโรงเรียน เขาบอกว่าปวส. แต่งงานแล้วมาเรียนได้ ปวช.ก็ไม่แน่ใจนะคะ แต่บางคนเขาบอกว่ามีลูกแล้วก็เรียนไม่ได้ …ที่สหฯเขามีรอบค่ำ ปวช.เขามีลูกได้ เขามีแบบหยุดคลอดลูกอะไรอย่างนี้ (อายุ 17 ปี เรียนหนังสือ)

เพราะว่าเราไม่พร้อม กำลังเรียนอยู่แล้วก็ไม่กล้าบอกพ่อแม่ด้วย อ้อ ตอนที่เค้าเกือบรู้น่ะ เค้าบอกว่าแม่จะบอกว่าให้ไปเอาออก แต่ป๊านี่จะบอกว่าให้เก็บไว้ (อายุ 19 ปี เรียนหนังสือ)

ถ้าหนูท้องหนูก็ไม่ได้ทำงาน ก็ต้องนั่งอุ้มท้องอยู่ที่บ้าน เหตุผลหลักๆ คือหนูยังไม่อยากให้แม่รู้ ยังไม่พร้อมให้แม่รู้ …หนูคิดอยู่อย่างเดียว ถ้าเอาเขาไว้ก็ไม่ได้ มันคือจุดเดียวที่ตัดสินใจเด่นชัด ยังไงก็ต้องเอาออก จะเจ็บทรมานแค่ไหนก็ต้องเอาออกไม่รู้น่ะ หนูไม่อยากให้แม่ร้องไห้ หนูสงสารเขา หนูรู้ว่าถ้าเกิดแม่หนูรู้ แม่ก็ไม่ให้หนูเอาออก หนูไม่อยากให้แม่เสียใจ และหนูก็ไม่พร้อมที่จะให้แม่รู้ เพราะแม่เขาหวังในตัวหนูมาก เขาบอกว่าอะไรล่ะ เป็นคนเดียวนะที่แม่หวังอย่าทำให้แม่ผิดหวัง หนูก็จำมาตลอดน่ะ (อายุ 18 ปี กำลังทำงาน)

คิดแต่ว่าไม่กล้าไม่พร้อมคือ ไม่พร้อม กลัวทางบ้านรู้ กลัวพี่ว่า กลัวแม่ไม่สบายใจ กลัวเขาขายหน้า ไม่ได้ปรึกษาใครเลย ก็บางทีคิดจะหนีเขาไป กะว่าไปไกลๆ หนีพ่อแม่ไปก็คิดจะไปอยู่และก็คลอดลูก ยังไงก็ไม่ได้ไป คิดเฉยๆ ก็ไม่ได้ไป (อายุ 29 ปี ทำงาน)

กลัวพ่อแม่รู้ด้วย ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงไหวไหมด้วย กลัวว่าถ้าเกิด…ตอนนั้นก็คิดจะไปทำแท้งน่ะค่ะ แต่คิดอีกทีก็กลัวบาป คิดอยู่คนเดียว โห ร้องไห้ทุกวันเลย ก็อยากคุยกับแม่แต่ว่าตอนนั้นไม่ได้อยู่กับแม่ เพราะว่าไม่รู้จะคุยกับใคร (อายุ 20 ปี ทำงาน)
แต่ถ้าผู้หญิงเหล่านี้ได้รับคำปรึกษา และมีข้อมูลสนับสนุนสิ่งที่เกิดขึ้น ความกลัว ความกังวลใจ และการตัดสินใจก็อาจเปลี่ยนแปลงลองติดตามดูประสบการณ์ของผู้หญิงโสดที่ได้รับความช่วยเหลือ จากคนรอบข้างดูบ้างว่าเธอมีความรู้สึกอย่างไร
…ไปบอกครู บอกเลยว่าจะทำแท้ง แต่เค้าไม่ให้ทำ เพราะว่าเด็กมันหลายเดือนแล้ว ก็ไม่อยากทำแท้ง แบบมันบาปต่อเรา …เราก็ลืมไป คิดว่าไม่มีพ่อ คิดว่าพ่อมันตายไปแล้ว คนข้างบ้านก็บอกไม่ต้องเอาออก ถ้าคลอดมาก็ให้คนอื่นไป แต่เราก็ไม่กล้าเพราะเสียการเรียน อนาคตก็อยู่ไกลแล้วยังเป็นเด็กวัยรุ่นอยู่ ทีแรกครูเค้าให้ลาแค่อาทิตย์เดียว ให้มาอยู่ที่บ้านพักเด็กว่าจะอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่อยู่ก็ไปอยู่บ้าน แล้วครูก็มาถามหนูเลยบอกว่าไปก็ไป ยังดีกว่าไปอยู่บ้าน อายคนข้างบ้านเค้า (อายุ 15 ปี เรียนหนังสือ)

ตอนนั้นคิดว่าโอ เราจะเลี้ยงลูกไหวเหรอ เราตัวคนเดียวน่ะ เราตัวคนเดียวเราจะเลี้ยงลูกไหวเหรอ ไหนจะค่ากิน ค่าอยู่ ไหนเขาโตขึ้นเขาต้องเรียนอะไรอย่างนี้ไง พอกลับมาบ้าน จากที่เราเคยมีอคติว่าทุกคนไม่เข้าใจเรา แต่เป็นว่าเขาเอาใจใส่ดูแลเราอะไรอย่างนี้ ทำให้คิดว่าเขาคงไม่ปล่อยให้หลาน ให้ลูกเขาลำบากหรอก (อายุ 21 ปี ทำงาน)

คิดว่าเราจะทำยังไงที่จะอยู่ในสังคมนี้ได้ โดยที่สังคมจะยอมรับว่าเราไม่ได้แต่งงานแล้วอยู่ๆ เราท้องขึ้นมา …คราวนี้ก็เริ่มปรึกษาพี่คนนี้ละ พี่คนที่ให้ยืมเงินเนี่ย (ท้อง) สามเดือนละ พี่…จะเอายังไงดี พี่เค้าก็บอกว่า แกอย่าเอาออกนะ มัน (ผู้ชาย) เลี้ยงไม่ได้แต่พวกฉันนะเลี้ยงได้ แกมาทำงานเถอะ แกหยุดไปหลายวันละ แกมาทำงานเถอะ บริษัทนี้แทงเรื่องลงมาแล้วว่า หยุดเกิน 3 วันให้ไล่ออก วันที่สาม วันนี้ต้องถูกไล่ออกละ เราก็เลยไปทำงาน แล้วเรื่องก็เงียบไป ก็เลยจะต้องพูดกับผู้จัดการฝ่ายแล้ว ว่าเรื่องมันเป็นอย่างนี้ แล้วเค้าก็เห็นใจ ก็คือเราต้องบอกเค้าแล้วว่าเราจะเอาลูกไว้ สาเหตุที่เราหยุดไปนี่เพราะอะไร ไม่เคยมีความคิดว่าจะเอาออก ถ้าเอาไว้ ทุกคนในฝ่ายจะต้องรู้นะ เสร็จแล้วเค้าก็มีการเรียกประชุม โดยที่เราไม่เข้าไป พอทุกคนออกมาก็จะทำเฉยๆ ก็คือรู้แล้วว่าเราท้อง (โสด มีเพสสัมพันธ์กับแฟน อายุ 30 ปี)

(3) สภาพทางเศรษฐกิจและสถานการณ์ทางการเงินของตนเองและหรือครอบครัว เป็นประเด็นที่ว่าผู้หญิงกล่าวถึงเสมอว่า เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจว่าจะยุติการตั้งท้องหรือไม่ ว่ากันโดยรวมแล้ว ถ้าผู้หญิงพิจารณาว่า ตนเองและสามีมีรายได้น้อย ก็มักจะตัดสินใจไปทำแท้ง แต่ตัวปัญหาการขาดเงิน ที่จะเป็นค่าใช้จ่ายในการทำแท้ง ก็เป็นผลต่อการเลือกใช้บริการว่า จะทำเอง ซื้อยา และไปคลินิก ซึ่งในบางรายการทำแท้งก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้เพราะมีเงินไม่พอ

ปัญหาทางเศรษฐกิจนี้รวมไปถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเงินอื่นๆ ด้วย เช่น มีปากท้องอื่นๆ ที่ผู้หญิงและหรือแฟนต้องรับผิดชอบ เช่น ลูก พ่อแม่ และน้อง เป็นต้น งานการที่ไม่มั่นคง สภาพการตกงานที่กำลังเผชิญอยู่ ปัญหานี้เกิดขึ้นทั้งผู้หญิงทุกสถานภาพเช่นกัน แต่ผู้หญิงที่แต่งงานมีครอบครัว หรือมีคู่อยู่กินด้วยกันดูมีปัญหาด้านนี้เด่นชัดมากกว่า ดังข้อเท็จจริงต่อไปนี้
ท้อง ไม่มีเงินไปทำอะไร ไม่มีเงินไปดูดออกอะไรก็ไม่มี ใช่ไหมคะ ไหนจะต้องลูกคนนี้อีก โมโหก็ทำเองเลย (แต่งงาน อายุ 31 ปี มีลูก 2 คน)

ยังไม่อยากเอาไว้ ยังไม่พร้อม แฟนก็ไม่ได้ทำงาน เราก็ไม่ได้ทำงาน แม่แฟนทำงานคนเดียวก็เลยคิดว่าจะไปเอาออกนะ …ก็แบบกับการที่เราตกลงกลับมา ตอนนั้นเรามีภาระซึ่งเราต้องส่งน้องเราด้วย น้องที่เป็นพ่อเดียวกัน คนนึงซึ่งเรียนอยู่ตอนที่เราทำงานที่กรุงเทพฯ เราต้องดูแลน้องคนนี้ มันเป็นอะไรที่เป็นหน้าที่ของเรา ซึ่งเราเป็นพี่อะไรอย่างนี้ ในเมื่อเราไม่อยากให้น้องเราเหมือนเราน่ะพี่ คือแบบไม่ได้เรียนหนังสือ น้องเรามีอนาคตดีกว่านะ ให้น้องเราได้เรียนโรงเรียนดีๆ เพื่อที่เขาโตขึ้น เขาจบมาจะได้มีงานดีๆ กลัวว่าเขาจะลำบากเหมือนเราน่ะพี่ คือน้องก็จะไม่ได้เรียน ก็คิดแบบต่างๆ นาๆ นะพี่ โฮทำยังไงดีอย่างนี้ (แต่งงาน อายุ 26 ปี มีลูก 2 คน)

อ๋อ อยู่กรุงเทพฯ ท้อง ท้องกับแฟนเนี่ย มี…แต่มันก็นานแล้วนะ …ก่อนที่จะมีลูกคนนี้คือตอนนั้นมันยังไม่พร้อมนะ อะไรเราก็ไม่มี ไม่มีซักอย่าง แล้วอยู่ที่โน่นค่าใช้จ่ายมันเยอะ มันไม่ไหว ก็บอกกับแฟนว่าเอายังไงดี จะเอาไว้หรือจะเอาออก เค้าก็บอกว่างั้นเอาออกก็ได้ เพราะเราก็ยังไม่มีอะไร เราก็ยังไม่พร้อมอะไรซักอย่าง ก็เลยตัดสินใจไปเอาออกเลย (แต่งงาน อายุ 24 ปี มีลูก 1 คน)

หนู…หนูก็ร้องไห้ ตอนแรกก็กลับมานอนคิด แฟนก็ไม่อยู่ คิดจะฆ่าแล้วตัวเอง จะฆ่าตัวตาย ไม่รู้จะทำอย่างไร แก้ปัญหา เราตอนนี้ก็ไม่มีเงิน ไม่มีเงินไปเอาออกน่ะ และก็กลัวอันตราย กลัวแบบ กลัวทำไปแล้วเป็นมะเร็งในมดลูก (โสดมีคู่อยู่ด้วยกันพ่อแม่ไม่รู้ อายุ 17 ปี)

โอ๊ย! ไม่เอาไว้แล้ว เพราะว่าเราก็ยังไม่มีอะไรเลย ลูกเต้าก็จะมาเลี้ยงลูกอ่อนอีกไม่ได้ หลานก็มีแล้วก็เลยตัดสินใจซื้อยา (แต่งงาน อายุ 44 ปี มีลูก 4 คนโตแล้ว)

ก็ชั่งใจอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ ก็ดูแฟนแล้ว การทำงานของเราแล้ว เราคิดว่าเราไม่พร้อมแน่นอน เพราะเงินเก็บอะไรก็ไม่มี เราก็พร่ำใจในเรา (แต่งงาน อายุ 35 ปี มีลูก 2 คน)

(4) ผู้ชายไม่รับผิดชอบ มิติของความไม่รับผิดชอบของผู้ชาย หรือการที่ผู้ชายเป็นสาเหตุของการท้องที่ไม่พร้อมนั้น โดยผู้หญิงไม่เต็มใจ หรือถูกบังคับ (คือกรณีข่มขืนซึ่งจะกล่าวในข้อต่อไป) เป็นมิติที่ถูกกล่าวถึงอย่างบางเบามากจากสังคม เมื่อเปรียบเทียบกับคำประนามผู้หญิงที่ทำแท้งในเชิงศีลธรรม และการถูกลงโทษ ตีตราจากสังคม และกฎหมายบ้านเมือง แต่มุมมองของผู้หญิงจำนวนมากที่ประสบปัญหานี้ เล่าขานถึงความไม่รับผิดชอบของผู้ชายที่มีส่วนร่วมในการทำท้องว่า เป็นปัจจัยสำคัญและหรือปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้ผู้หญิงตัดสินใจทำแท้ง ความไม่รับผิดชอบนั้นมีรูปแบบหลายประการ ได้แก่ ทุบตีภรรยา ไม่เลี้ยงดูครอบครัวและลูก มีภรรยาหลายคน หลอกผู้หญิงว่าเป็นโสด ไม่ทำงาน เล่นการพนัน ดื่มสุรา ภาพที่ว่านี้สรุปมาจากปากคำของผู้หญิงหลายคนดังนี้
รู้สึกว่าทุกปัญหาของมัน (ผู้ชาย) ทำไมเราต้องเป็นคนแก้ ทุกปัญหาของมันทำไมเราต้องเป็นคนรับ เรื่องเงินทองข้าวของมันไม่เคยให้เรา มันมีแต่เราของเราตลอด ตลอดตั้งหลายเดือน ตั้งเกือบปีที่เรารู้จักมันมา เราไม่เคยมีแบบรู้สึกดีเลย เป็นความรู้สึกดี ตอนแรกๆ เท่านั้นเองที่เรารู้สึกเหงาแล้วเรามีเพื่อน พอหลังๆ เรารู้สึกว่าเราโดนทั้งบีบทั้งบังคับ มันหยิกท้องเราริมถนนน่ะ มันไม่พอใจมันก็หยิกๆ ท้องเรา ยังมีแผลเป็นอยู่เลย จิกเข้าไปในเนื้อเลยนะ หยิกในเสื้อยืดน่ะ วันนั้นเราใส่เสื้อยืด มันก็หยิกน่ะ นั่นแหละเป็นอะไรที่ทำให้เราไม่อยากมีท้องกับมัน เป็นอะไรที่เราไม่อยากจะจำเลยด้วยซ้ำ (น้ำตาคลอด) วันนั้นนะ วันที่เราไปทำแท้ง เป็นวันที่เราอยากจะทำแท้งที่สุดในชีวิตเลย (โสดมีคู่อายุ 28 ปี)

พี่ว่าพี่พอแล้วสำหรับการที่จะนั่งเลี้ยงลูกคนเดียว พี่เหนื่อยแล้ว มันทรมาน เจ็บปวดมาก กับการที่เขาทิ้งเราไว้ที่หนึ่ง และเขาไปอยู่อีกทีนึง ความรู้สึกของลูกและความรู้สึกเรามันทรมาน พี่เป็นคนแบบว่าคือ ลูกพี่จะให้ใครไม่ได้ ผู้หญิงเรา เพราะว่าผู้ชายทุกวันนี้มันไม่มีความรับผิดชอบ มันทรมานมาก เจ็บ จนมันออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ (แต่งงาน อายุ 35 ปี มีลูก 2 คน)

คือ…แฟนนี่มีแฟนอยู่แล้ว คือมีภรรยาอยู่แล้วน่ะคะ อยู่ด้วยกันที่ทำงาน อยู่กันมาปีกว่าแล้ว คือเรามารู้ทีหลัง รู้ก่อนแต่ง ก็เลยว่าจะเคลียร์เขา ก็มาบอกกับพ่อแม่แล้วว่าเราจะแต่งงานกัน เขารับรู้แต่อยู่ๆ เราจับได้ว่าเขามีเมียอยู่แล้ว เราก็ขอเลิก เขาก็ไม่ยอมเลิก ก็เลยบอกว่า หมั้นไว้ก่อน และก็เคลียร์ตัวเองให้ได้ เคลียร์เรื่องแฟนให้ได้ ถ้าเคลียร์ไม่ได้ หนูเป็นคนถอนหมั้นเอง แต่อยู่ๆ เขาก็มาบอกว่าแต่งเลยนะ เลิกกันแล้ว เมียเขาไปทำงานที่อื่นแล้ว ก็จัดงานแต่ง เราก็มั่นใจว่าเขาไม่มาแสดงว่าเขาเลิกกัน แต่พอแต่งงานเสร็จ เขาก็มาบอกว่า เมียเขากินยานอนอยู่โรงพยาบาล ตอนนี้ก็เถียงกันค่าใช้จ่ายทั้งหมดของเมียเขาเกือบหมื่น เราเป็นคนจ่ายให้ เรารู้สึกผิดว่าเหมือนกับแย่งเขามา แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขามี และก็คือปัญหาที่เกิดคือหนี้สินเขา ก่อนแต่งเขาเป็นหนี้ประมาณ 80,000 บาท เขาไม่เคยบอกเรา แต่พอแต่งปุ๊บ หนี้น่ะ เขาบอกว่ากู้เงินมานะ มาให้พ่อแม่ แต่จริงๆ แล้วเขาใช้จ่ายอยู่แล้ว เราก็น้อยใจว่า ทำไมเงินก้อนนี้เราไม่เคยรู้เห็นเลย แต่จริงๆ แล้วเขาใช้จ่ายอยู่แล้ว เราก็น้อยใจว่า ทำไมเงินก้อนนี้เราไม่เคยรู้เห็นเลย ไม่เคยได้ใช้อยู่กับเขา คือเหมือนเขาสร้างหนี้กัน 2 คนแต่เขาเอาภาระมาให้เรา ทุกวันนี้คือให้เขาหักเงินเดือนแฟน และก็ใช้เงินเดือนอยู่กับเรา แต่เขาก็ยังแอบเอาเงินเราทีละ 1000 ทีละ 500 ไปให้ผู้หญิงข้างโน้น คือตอนนั้นก็คิดมากที่เริ่มท้อง ก็ว่า เออ เอาออกดีกว่า เผื่อปัญหาหลายๆ อย่างจะดีขึ้น เราขอแยกทางกับเขา แต่พอพูดกันก็มีปัญหากันตลอดเขาก็ร้องไห้ ไม่ยอมท่าเดียว ก็เลยตัดสินใจว่า ถ้าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อเราตัดสินใจเอาลูกไว้แล้วเราก็จะเลี้ยงเอง (แต่งงาน อายุ 25 ปี)

ตึกมันมี 7 ชั้น โดดลงมาจะตายไหม ผูกคอตายก็ไม่มีขื่อ คิดเลยล่ะ คิดอยู่อย่างเดียวว่าฉันต้องตายแน่เลย เค้ารับเราไม่ได้ เค้าไม่แต่งงานกับเรา เค้าบอกว่าถ้าจะเอาไว้ก็อย่างนี้ไม่แต่งงาน เราบอกว่า ถ้าเกิดเราคลอดลูกออกมาแล้วถ้าเกิดพี่ไปชอบผู้หญิงแล้วจะต้องแต่งงาน แล้วพี่จะทำยังไง ถ้าพ่อแม่ให้แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น ก็จะต้องแต่ง แล้วเธอก็เอาลูกมา แล้วตัวเธอก็ไป เค้าพูดอย่างนี้ เค้าก็บอกว่าก็เอาลูกมา ฉันเลี้ยง แล้วเธอก็ไป เราก็เริ่มแบบ แล้วฉันจะอยู่ไปทำไมอะไรอย่างนี้ (โสดมีเพศสัมพันธ์กับแฟน อายุ 30 ปี)

(5) กรณีถูกข่มขืน การข่มขืนเป็นความรุนแรงทางเพศที่ร้ายแรงมากที่สุด เพราะเป็นการทำลายความเป็นตัวตนของผู้หญิงให้ย่อยยับไป โดยเฉพาะในสังคมที่ยังคงตกอยู่ในกับดักที่ว่า หญิงดีต้องรักษาพรหมจรรย์ไว้จนถึงวันแต่งงาน ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนจึงมักมีบาดแผลในใจ และลงโทษตนเอง น้อยรายที่กล้าจะปรึกษาคนรอบข้าง สำหรับประเทศไทย การข่มขืนคือความรุนแรงทางเพศอันดับต้นๆ ที่ผู้หญิงไทยจำนวนมากต้องประสบ ผู้ข่มขืนส่วนใหญ่มากกว่า 3 ใน 4 เป็นผู้ใกล้ชิดกับผู้หญิง แม้ว่าการข่มขืนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและการท้องที่มาจากการข่มขืนตามกฎหมายอาญาแล้ว สามารถทำแท้งได้แต่ถ้าตีความตามกฎหมายโดยเคร่งครัด กว่าที่จะดำเนินคดีทางศาลจนถึงที่สุด อายุครรภ์ย่อมเลยกำหนดเก้าเดือนแน่นอน

ในการศึกษานี้พบผู้หญิงตั้งท้องเพราะถูกข่มขืน 5 คน เป็นเด็กนักเรียนสองคน และมีรายหนึ่งเป็นหญิงสาววัย 20 ปี ถูกพ่อจริงข่มขืนจนท้อง โดยที่แม่ไม่รู้เรื่อง กว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากประชาสงเคราะห์ อายุครรภ์ก็เลยมาจนมากกว่า 6 เดือน ไม่สามารถทำแท้งได้ ภาพรวมของสถานการณ์ที่ผู้หญิงทั้ง 5 คน ต้องประสบได้เสนอไว้แล้วในภาคผนวก สำหรับในที่นี้จะใช้ถ้อยคำของผู้หญิงทั้ง 5 คนสะท้อนถึงความรู้สึกตนเองว่า รู้สึกอย่างไรเมื่อรู้ว่าท้อง
พี่เขยข่มขืน เขากลับมาที่บ้าน หนูอยู่บ้านคนเดียว เพราะพ่อแม่อยู่กับพี่สาวที่โรงพยาบาล พี่สาวไปคลอดลูก เขากลับมาเอาของ แล้วก็มาทำหนู หนูไม่เป็นเมนส์ ท้องก็ใหญ่ขึ้น ก็เลยหนีออกจากบ้าน กลัวพ่อแม่กับพี่สาวจะรู้ เขาจะเสียใจ สงสารหลานที่เพิ่งคลอดด้วย ไม่รู้จะคุยกับใคร ครูก็ไม่กล้าคุยด้วย เดี๋ยวคนอื่นในหมู่บ้านจะรู้ว่าเราโดนข่มขืน โดยพี่เขยข่มขืน หมออนามัยก็ไม่ได้ไปหา ส่วนใหญ่ก็เห็นมีแต่ผู้หญิง แม่บ้านไปกัน ถ้าเป็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรายังเด็ก อายุ 15 ปี ก็ไม่ควรไป (อายุ 15 ปี ยังเรียนหนังสือ)

ก็ท้องกับพ่ออะไรอย่างนี้ ท้องกับพ่อ แล้วก็เรายังไม่แต่งงานแล้วก็เราไม่อยากท้อง เราไม่อยากท้องกับพ่อด้วยจะทำยังไงดี เราไม่อยากให้เด็กอยู่ กลัว พ่อ กลัวแม่กลัวญาติพี่น้องเค้าจะมาว่าใส่เราว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ (อายุ 20 ปี ต้องออกจากงานเพราะท้อง)

ช่วงนั้นก็แล้วแต่ผู้ใหญ่ เอาออกก็ได้ เอาไว้ก็ได้ แต่ว่าตอนนี้ที่ให้หนูไปทำที่ไหน หนูก็ไม่ไปแล้ว ตอนนั้นคืออยากเอาไว้ แบบมันก็มองไม่เห็นยังไงคะ หนูก็อยากเลี้ยงเอง อยากเอาเขาไว้ แต่พอผู้ใหญ่มาพูดต้องรอก่อนนะ อะไรอย่างนี้ ใครรู้เข้าอายเขา อะไรอย่างนี้ ก็ตามใจผู้ใหญ่ แต่ถ้าตอนนี้ หนูไม่เอาหนูรับได้ หนูเลี้ยงได้ (อายุ 14 ปี ยังเรียนหนังสือ)

อยากตายค่ะ แบบร้องไห้เลยอะไรอย่างนี้ ไม่อยากจะเชื่ออะไรอย่างนี้ ใครก็ไม่รู้เป็นพ่อเด็ก ก็ไม่รู้จักเขาเป็นแค่เจ้าของร้าน พ่อไม่รู้ หนูก็ยังเรียนอยู่และหนูก็โดนข่มขืนด้วย หนูไม่ได้รัก ไม่ได้ผูกพันธ์กับผู้ชายคนนั้นอะไรอย่างนั้นและก็หนูไม่ได้รักเด็กคนนี้เลย ตอนนั้นนะคะก็ไม่อยากจะเก็บเอาไว้เพราะว่า เหมือนกับทำลายอนาคตตัวเองไปเลย (โสด อายุ 17 ปี ทำงานเป็นลูกจ้างในบ้าน)
(6) ความมั่นใจในตัวเองของผู้หญิงต่อเรื่องชีวิตคู่และการเลี้ยงดูลูก เป็นประเด็นหนึ่งที่ผู้หญิงหลายคนให้ความสำคัญ เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้หญิงในกลุ่มนี้มีลักษณะเป็นตัวของตัวเอง และรู้ว่าตนเองต้องการอะไรบ้าง บางคนยังไม่ต้องการมีชีวิตคู่ หลายคนตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะทำแท้ง โดยไม่สนใจว่าผู้ชายจะรับรู้หรือไม่ เพราะรู้สึกถึงความไม่มั่นคงของการสร้างครอบครัวใหม่ ขณะที่บางคนตัดสินใจไม่ทำแท้ง แม้ผู้ชายจะไม่รับผิดชอบ เพราะรู้ว่าตนเองมีความสามารถพอที่จะเลี้ยงดูลูกได้
ไม่พร้อมนะ เรายังไม่อยากมีลูกตอนนี้ คือเรายังอยากเที่ยว อยากใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ก็กะมีซัก 27-28 นั่นแหละ ตอนนี้ยังไม่พร้อม (โสด อายุ 23 ปี ทำงาน)

เรารู้ว่าเขายังไม่พร้อมเหมือนกัน หมายถึงทั้งใจเค้าและก็ทั้งรายได้มันอยู่ในวัยที่ไม่พร้อม และก็เพิ่งเริ่มคบกันแค่ 2 ปี เราก็เลยไม่รู้สึกว่าเค้าต้องรับผิดชอบอะไรมาก ถ้าบอกก็ได้ ก็คงปวดหัวด้วยกันทั้งคู่ เพราะว่าเราก็คงแคร์ความรู้สึกของเขาเหมือนกันว่า บอกไปแล้วมันจะเป็นอย่างไร เราคงแคร์ตรงนั้นมาก เราก็เลยไม่บอก เราก็ไปทำเองดีกว่าเพราะเราคิดว่าเรารับตรงนี้ได้ ยังไงเราก็รับได้ (ร้องไห้) มันจะหนักหนายังไงก็รับได้ (โสด อายุ 27 ปี ทำงาน)

เพื่อนส่วนใหญ่ก็ว่า คิดดูให้ดีก่อนจะเอายังไง แต่ตอนนั้นเราก็ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าเราจะทำแท้ง ตัดสินใจคนเดียว คือเราก็นั่งสำรวจตัวเองดูนะว่าจะไปถามใคร ถามอะไร แต่ก่อนที่จะไปถาม เรารู้สึกว่าในใจเราก็คงแบบเอาออกแน่ เรารู้สึกว่า ถ้าเราไม่สามารถเลี้ยงลูกนะ ผู้หญิงไม่ควรมี สมมุตินะ ต่อให้ผู้ชายรับจะเลี้ยงหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าลำพังผู้หญิงเองไม่สามารถเลี้ยงดูได้ วันข้างหน้าระหว่างกับผู้ชายมันเกิดอะไรเกิดขึ้นก็ไม่รู้ ถ้าเราสามารถและก็เลี้ยงดูได้ เราก็ควรจะมี แต่ในวันนั้นเรารู้สึกว่า เราไม่สามารถ ถ้ามีแบบจะต้องพึ่งพาคนอื่น (โสด อายุ 29 ทำงาน)

คิดตั้งแต่ตอน 4 เดือนแล้ว คิดว่าเขาคงไม่ยอมรับหรอก เพราะว่ายังไงล่ะ… เรายิ่งรู้ว่าเขามีเมียแล้วเขาก็ต้องรักเมียเขามากกว่า เมียเก่าเขามีลูก 1 คนแล้ว เป็นผู้ชายโตแล้ว แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะทำแท้ง คือว่ามันมีแล้วจะไปทำแท้งได้อย่างไร ในเมื่อพ่อเขาไม่รับเราก็เลี้ยงเองได้ ตอนแรกก็คือ สมองอึ้งอื้อไปหมดเลย คิดว่าก็ไม่เอา ก็โมโหชั่วพัก ชั่วครู่ แต่ก็ไม่เอาออก ก็ภาวนาให้ลูกเราคบ 32 ทุกประการอะไรอย่างนี้ ให้ลูกเราออกมาสมบูรณ์ ไม่มีกรรม (โสด อายุ 23 ปี ว่างงาน)

(7) ปัญหาสุขภาพ เหตุผลทางสุขภาพที่ทำให้ต้องทำแท้ง นับเป็นประเด็นที่ถูกกล่าวถึงค่อนข้างน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับเหตุผล หรือสถานการณ์อื่นๆ ข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว สาเหตุหลักจากปัญหาทางสุขภาพของผู้หญิง และหรือของคู่สมรส ที่ทำให้เกิดความไม่พร้อมที่จะท้อง ดังนั้นเมื่อท้องขึ้นมาจึงมองหาหนทางในการยุติการตั้งท้องนั้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ก็ตัวเรา (สุขภาพ) ไม่ค่อยดีด้วยและก็เรามี (ลูก) 2 คนแล้ว ก็ไม่อยากได้และก็ตัวเองไม่ค่อยจะสมบูรณ์ด้วย ก็เลยไม่อยากได้ ถ้าเป็นคนที่ 2 ก็จะเอาไว้ (หัวเราะ) ตัวเราลำบาก เรายังไม่รู้ด้วยว่าจะรอดหรือไม่รอด เราท้องที่ 3 นี้ ตัวเองก็มดลูกไม่ดี และก็ผ่า เราก็ทนเจ็บ ก็เลย…คิดว่าตัวเองจะลำบาก (แต่งงาน อายุ 29 ปี ลูก 2 คน)

เด็กเกิดมาก็ไม่พร้อม เดี๋ยวเป็นโรคเดี๋ยวไม่สบาย ต้องรักษา เงินทองก็ไม่มี โรคเลือดหลานเป็น เรามีทางสายเลือด เป็นกรรมพันธุ์ ตัวร้อน เหลืองๆ ซีดและก็ต้องถ่ายเลือด ก็เอาเลือดคนอื่นเขาถ่ายกลัวเป็นกรรมพันธุ์ กลัวมี โรคนี้ใช้เงินเยอะ หาหมอก็ต้องหาหมอโดยตรง กลัวหลายอย่าง กลัวเป็นโรคเป็นโน่น เป็นนี่ และก็ทางแฟนเขาจะเป็นอะไรไม่รู้ เป็นไทรอยด์น่ะ เขาเคยเป็นตอนเด็กๆ กลัวมีปัญหาเรื่องเงิน ตังค์ก็ไม่มีอะไรอย่างนี้ ตอนนี้ก็ไม่มีรายได้อะไร ไม่มีใครทำงานกันทั้ง 2 คนเลย ไม่พร้อมจะมีลูกและก็เครียด (แต่งงาน อายุ 26 ปี)

ในจำนวนสถานการณ์ต่างๆ ทั้ง 7 ประเด็นนี้ ในความเป็นจริงส่วนใหญ่มิใช่สถานการณ์โดดๆ ที่ทำให้ผู้หญิงตัดสินใจเก็บท้องไว้หรือยุติการท้องในข้อเท็จจริงผู้หญิงมักกล่าวถึงปัจจัยความไม่พร้อมหลายด้าน ไปพร้อมๆ กันเช่น อยู่ในสภาพหย่า ลูกยังเล็ก งานยังไม่มั่นคง หรือผู้ชายไม่รับผิดชอบ ไม่มีเงิน และอายคน กลัวพ่อแม่เสียใจ เป็นต้นและดังกล่าวแล้วว่า มีผู้หญิงหลายคนที่ตัดสินใจทำแท้งแน่นอน พยายามลองด้วยวิธีการต่างๆ นานา ก็ไม่สำเร็จในบางคนตัวสถานการณ์ก็พลิกผันทำให้ความตั้งใจนั้นล้มเหลว ขณะที่บางคนพบผู้ช่วยเหลือให้ข้อมูลให้เงินจึงสามารถทำแท้งได้

สี่ ทัศนคติต่อการยุติการตั้งท้องที่ไม่พร้อม

ในการพูดคุยเรื่องทัศนคตินี้ แม้วิธีการตั้งคำถามจะพยายามแยกความคิดเห็นออกเป็นก่อน ที่จะเคยมีปัญหาตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์และหลังจากที่ประสบปัญหาแล้ว แต่ผู้หญิงที่เข้าร่วมโครงการ มักจะให้ความเห็นปะปนกันแยกออกได้ยาก โดยรวมแล้ว การให้ความเห็นในเรื่องทัศนคติต่อการยุติการตั้งครรภ์ ในสภาวะที่ผู้หญิงไม่ต้องการหรือตั้งใจที่จะมีท้อง สามารถจัดแยกออกได้เป็นสามกลุ่มใหญ่คือ ไม่เห็นด้วย กึ่งเห็นด้วย กึ่งไม่เห็นด้วย และเห็นด้วย ดังนี้

กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย

ในกลุ่มผู้หญิงที่เคยทำแท้งเอง บางคนยอมรับว่า ก่อนที่ตนจะมีปัญหาจะมองผู้หญิง ที่เคยทำแท้งอย่างประนามหยามเหยียด และคิดว่าผู้หญิงที่มีท้องที่ไม่ต้องการนั้นถึงอย่างไรก็ไม่ควรทำแท้ง เหตุผลหลักๆ ของกลุ่มนี้มีแกนกลางอยู่ที่ศีลธรรมและความกลัวต่อการผิดบาป เพราะมองว่าการทำแท้งคือการฆ่าชีวิต ดังนั้นผู้ตัดสินใจกระทำก็จะถูกมองด้วยว่าเป็นคนโหดร้าย ใจดำ สำหรับเหตุผลอื่นๆ ที่ไม่เห็นด้วยมองไปที่พฤติกรรม ที่มาของการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมนั้น เช่น ถ้าเป็นวัยรุ่นก็จะมองว่า เป็นกลุ่มรักสนุก ใจแตก ไม่คิดหน้าคิดหลัง ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็มองว่า ทำไมจึงไม่รู้จักหาทางป้องกัน เป็นต้น

ผู้หญิงที่เคยทำแท้งมาแล้ว จำนวนหนึ่งถึงอย่างไรก็ยังคงมองว่า การทำแท้งเป็นเรื่องไม่ดี ไม่ถูกต้อง ดังความเห็นต่อไปนี้ "ก็คิดนะ คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ทุกวันก็คิดอยู่แต่เราก็ไปทำในสิ่งที่ไม่ดี มันยังรู้สึกว่ามันโหดร้าย ยังไงซะมันก็เป็นการกระทำที่โหดร้าย ใจดำ รู้สึกอย่างนั้น (ร้องไห้)" ในขณะที่หลายคนเมื่อมาประสบปัญหาเองก็เปลี่ยนจากที่เคยประนามมาเป็นเกิดความรู้สึกเข้าใจ แต่ก็ยังคงรู้สึกเศร้าเสียใจอยู่ ดังความรู้สึกที่ว่า "คิดว่ามันไม่ดีหรอกค่ะ ฆ่าลูกมันเป็นบาป แต่คิดว่าความจำเป็นน่ะมันบังคับ ถ้าเกิดมันมาเกิดเป็นคน มันจะยิ่งบาปมากกว่านี้มากมายใช่ไหมคะ จะยิ่งบาปมากกว่าที่ตอนเราฆ่าตอนเล็กๆ ใช่ไหม …มันต้องจำเป็นจริงๆ (ร้องไห้)"

มุมมองทางจริยธรรมดังกล่าวนี้ฟันธงได้ว่า เป็นมุมมองมาจากความเชื่อทางศาสนาโดยตรง เนื่องจากศาสนาทุกศาสนาไม่เห็นด้วยต่อการทำลายชีวิต จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่พบว่า ผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่เคยทำแท้งและเข้าใจลึกซึ้งถึงความจำเป็นจากการที่สถานการณ์บีบบังคับ ก็ยังคงลงโทษตัวเองอยู่ตลอดเวลา ดังเช่นคำบอกเล่าของผู้หญิงทีก่ำลังจะทำแท้งคนหนึ่งดังนี้ "แต่มีเขียนบันทึกว่า ขอโทษนะ ตอนนั้นคือแทนตัวว่าแม่แล้ว ก็บอกว่าขอโทษนะ ที่แม่เอาหนูไว้ไม่ได้เพราะแม่ยังไม่พร้อม แม่ต้องเรียนหนังสือ ถ้าเกิดวันนึงที่แม่พร้อม ขอให้ลูกมาเกิดเป็นลูกของแม่อีกนะ แล้ววันนั้นแม่จะเลี้ยงดูหนูอย่างดีจะไม่ให้หนูเป็นอย่างนี้"

ข้อค้นพบนี้สอดคล้องกับงานวิจัยเรื่องการทำแท้งทั้งในประเทศไทยและในประเทศอื่นๆ ดังเช่น เรื่องการโต้ตอบของผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ที่พบว่า ผู้หญิงหลายคนพยายามผ่อนคลายความรู้สึกผิดบาปนี้ โดยการตักบาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้สิ่งที่ตนเองเชื่อว่าเป็นชีวิตที่ถูกทำลายไป (นภาภรณ์ หะวานนท์ 2538) ในการทำงานให้บริการเรื่องนี้ในสหรัฐอเมริกาของกลุ่มที่เชื่อในเรื่องทางเลือกสำหรับผู้หญิงจึงมีคำแนะนำว่า ให้ผู้หญิงเตรียมพร้อมที่จะยอมรับความจริงต่อสภาพจิตใจของตนเองว่าจะรู้สึกอย่างไร หลังจากทำแท้งไปแล้ว และถ้ารู้สึกว่าตนเองสูญเสียหรือเศร้าก็แนะนำให้พยายามพูดคุยความรู้สึกดังกล่าวกับเพื่อนที่เข้าใจ หรือผู้ที่ทำงานให้คำปรึกษาโดยตรงในเรื่องนี้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้หญิงสามารถปลดปล่อยความทุกข์ และผ่อนคลายความรู้สึกยากลำบากที่ตนเองเผชิญอยู่ลงไปได้ (Wolhandler et al. 1992:370)

กลุ่มที่กึ่งเห็นด้วย และกึ่งไม่เห็นด้วย

นับเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เพราะหญิงไทยส่วนใหญ่ที่ต้องเผชิญกับปัญหา ตั้งท้องที่ไม่ต้องการมิได้ปลอดจากการถูกครอบงำความเชื่อการมองการทำแท้งไปในทางลบว่า เป็นเรื่องของการทำบาปกรรมดังนั้นเมื่อผู้หญิงกลุ่มนี้ต้องยุติการตั้งท้องตนเองลง จึงต้องต่อสู้กับความรู้สึกดั้งเดิมว่า การทำแท้งไม่ดีจะว่าดีอย่างเต็มปากเต็มคำกระไรได้ ทั้งนี้อาการอ้ำๆ อึ้งๆ กึ่งๆ เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยนี้ มาจากความคิดและความเชื่อทางศาสนาและศีลธรรมเช่นกัน ที่มาเห็นด้วยก็เพราะเข้าใจ ถึงสถานการณ์ความยากลำบากของผู้หญิงที่ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม ดังความเห็นต่อไปนี้
ก็รู้สึกว่า ตัวเองผิดนะแต่ว่ามันต้องทำ ยังไงก็คือตัดสินใจทำ และทุกครั้งก็เป็นยืนยันที่จะทำ รู้สึกเข้าใจเลยล่ะว่าคนที่มาทำน่ะบางคนไม่ได้อยากมาทำนะ …เห็นใจคนที่ไม่พร้อมจริงๆ เพราะเราอยู่ในจุดนั้นไง เรารู้เลยว่า ถ้าเรามีเด็กขึ้นมานี่ เราไม่สามารถจะเลี้ยงดูเค้าให้ได้ดี เราต้องมีภาระเพิ่มขึ้น ซึ่งเรารู้ตัวเองว่าเราไม่สามารถทำตรงนั้นได้ดี เลี้ยงดูเค้าให้ได้ดี เมื่อก่อนยอมรับว่าอาจจะแอนตี้ เพราะว่าทำไมต้องทำแท้งด้วยอะไรอย่างนี้ แล้วก็ชอบว่าคนอื่นว่าทำไมไม่ดูแลตัวเอง แต่ว่าพอมาเจอกับตัวเองแล้วรู้เลย
บาคนจึงคิดว่า ถ้าจะทำก็ไม่ควรทำให้เป็นเรื่องโจ่งแจ้ง เพราะอาจเป็นการส่งเสริมให้คนไร้ศีลธรรม หลายคนมองว่า แม้การทำแท้งเป็นทางเลือกที่ไม่ถูกต้องนัก แต่ก็ควรเป็นเรื่องจำเป็นเฉพาะสำหรับคนที่ไม่พร้อมจริงๆ เท่านั้น ดังนั้นถ้าคนที่พร้อมก็ไม่ควรทำแท้ง บางคนมองไกลไปว่า แม้การทำแท้งจะบาป แต่การปล่อยให้เด็กเกิดมา โดยไม่สามารถเลี้ยงดูได้ ก็เป็นการสร้างเวรกรรมเช่นกัน ดังความเห็นที่ว่า

เคยคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลยนะเป็นเรื่องบาป ถ้าพูดถึงว่ามโนธรรมนี่นะ ผิดศีลธรรมผิดมากๆ เลย แต่พูดถึงว่าอนาคตหรือปัจจุบันทันสมัยหน่อย ถ้าไม่สมควรก็อย่าเอาไว้เลย ดีสำหรับตัวเด็ก ดีกว่าสร้างเวรสร้างกรรมให้กับเด็ก ดูเด็กแต่ละคนเกิดมา ทอดทิ้งเขาเอาไว้ที่โรงพยาบาลอย่างนี้เอาเขาไปทิ้งถังขยะนี้ จะหักคอเขาฆ่าเขาในหนังสือพิมพ์สู้ไม่ให้เขามีซะเลยดีกว่า ให้เขามีชีวิตทำไมน่ะ
กลุ่มที่เห็นด้วย

เป็นกลุ่มที่มีความคิดหลากหลายเช่นกัน จำนวนมากเห็นด้วยเพราะคิดว่า เป็นเรื่องของความไม่พร้อม ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกยกมาพูดถึงอยู่เสมอในการพูดคุยในหัวข้อเรื่องอื่นๆ ด้วย ความไม่พร้อมในที่นี้ถูกให้ความหมายว่า เป็นเรื่องของตัวผู้หญิงคนนั้นโดยตรงว่ากำลังเผชิญอยู่กับปัญหาอะไรบ้าง ได้แก่ อาจเรียนไม่จบ ถูกออกจากงาน พ่อแม่เฆี่ยนตี ฝ่ายชายไม่รับผิดชอบ ยากจนและไม่สามารถเลี้ยงดูลูกได้ เป็นต้น ทั้งหมดนี้สามารถสรุปได้ดังคำพูดของผู้หญิงคนหนึ่งที่ว่า "ก็คิดว่าคนมันต้องจำเป็นจริงๆ ถึงไปทำ" และอีกคนหนึ่งที่กล่าวโยงไปถึงกฎเกณฑ์ของสังคม "ถ้าจะถามว่าการทำแท้งผิดไม่ผิด ตอบไม่ได้ มันต้องดูหลายกรณี แต่อย่ามาคัดค้านว่าไม่ให้ทำเลย มันไม่ถูกต้อง คุณบังคับเขาไม่ได้หรอก คุณไม่เจอปัญหาอย่างเขาคุณไม่รู้สึก มันคืออะไรที่เขาเจอมา จิตใจเขาเป็นไงสภาพเขาเป็นไงที่เขาเจอมา กฎเกณฑ์ของสังคมไม่นับถือเลย ไม่เชื่อในกฎเกณฑ์ของสังคมที่ไม่ค่อยมองคนเป็นคนน่ะ"

ที่น่าสนใจก็คือผู้หญิงที่เห็นด้วยหลายคนมองเรื่องนี้ว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลของผู้หญิง และเป็นทางเลือกของผู้หญิงดังความเห็นที่ว่า "มันเป็นสิทธิของแต่ละคนเขา แต่ว่าหนูไม่ค่อยคิดอะไรมากกับเรื่องนี้ รู้สึกว่าก็ในเมื่อมันมีขึ้นมาแล้ว แล้วเราไม่พร้อมน่ะ เราจะเอาไว้ได้เหรอ" หรือคือทางเลือกเพราะไม่มีทางอื่นๆ ให้เลือกได้ "จริงอย่างที่เราเคยคิดให้เขาน่ะ มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เราถึงได้ตัดสินใจตรงนี้ ถ้ามันมีจริงๆ แล้ว เราไม่ทำหรอก ใครจะอยากทำกฎหมายเขาก็ไม่ให้ ผิดกฎหมายและหาที่ทำยาก และตัวเราเองเราทำไปแล้ว สภาพจิตใจเราก็แย่ด้วย ไม่ใช่ว่าทำแล้วสุขภาพจิตใจเราจะดีนะเราทำไปแล้วกว่าเราจะทำใจได้น่ะคิดดู ไม่รู้ว่าจะใช้เวลาเท่าไร"

อาจมีคำถามว่า แล้วกลุ่มนี้ไม่ถูกครอบงำความเชื่อเรื่องความผิดบาปจากการทำแท้งหรือ คำตอบก็คือ หลายคนที่ให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องของปัญหาและหรือของทางเลือกก็ตามแต่ ก็ยอมรับว่ายังคงครุ่นคิดถึงเรื่องบาปกรรมอยู่ หรือสภาพจิตใจที่เศร้าสร้อยหลังจากทำแท้งไปแล้ว จำนวนหนึ่งใช้วิธีปลดปล่อยความรู้สึกผิด โดยการมองว่าสิ่งที่นำออกไปจากร่างกายนั้นไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิต หรือคือหนทางแห่งการแก้ปัญหา ดังคำพูดต่อไปนี้ "ค่ะเป็นแค่เลือดคือเมนส์เราไม่มาเดือนแรก มันก็ยังเป็นการขับเลือดเฉยๆ" หรือ "ก็คิดเหมือนกันว่าเอ๊ะ มันจะบาปไหม แต่ใจคิดอยู่อีกอย่าง มันก็ยังไม่โต มันก็แค่ก้อนเลือด มันก็เล็กๆ ใจก็ว่ามันคงไม่บาปมั้ง เป็นก้อนเลือด" หรือ "ถ้ามองในแง่ชาวพุทธก็โอเค ก็มีผิด แต่ถ้ามองในการแก้ปัญหาในสังคมปัจจุบันนี้ ถูก"

แต่ที่น่าสนใจมากที่สุดคือ มีผู้หญิงที่ไม่เคยคิดว่าเรื่องการทำแท้งนี้เป็นเรื่องของความผิดหรือความถูก เพราะเป็นสิ่งที่คนในหมู่บ้านทำกันทั่วไปและมองว่าเป็น "เรื่องธรรมดา" ไม่มีการตั้งคำถามกันว่า ผิดบาปหรือไม่ ผู้หญิงที่ให้ความเห็นนี้ เป็นผู้หญิงอยู่ในวัยเริ่มต้นอายุ 40 ปีเศษ พื้นเพมาจากจังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน และมาทำงานในกรุงเทพฯ มีประสบการณ์การทำแท้งที่ตัวแกใช้คำว่า "การบีบ" ดังนี้ "ครั้งแรกคิดว่าจะ (ไปเอา) ออกที่บ้านนอก จะไปบีบเฉยๆ แล้วก็กลับมาแต่ลูกแนะนำให้ไปทำหมันตอนหลังจะได้ไม่มีอีก เรื่องทำแท้งเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เคยคิด ไม่ได้คิด ไม่เคยคิดอะไรคิดแต่ว่าถ้ามีก็เอาออกเพราะเรามันแก่แล้ว"

ห้า บริการที่ผู้หญิงท้องเมื่อไม่พร้อมต้องการ

เนื่องจากการยุติการตั้งท้องโดยตั้งใจ หรือที่เรียกกันว่าการทำแท้งนี้ เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ผู้หญิงที่มีประสบการณ์การตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมและได้เลือกการทำแท้งเป็นการแก้ปัญหา เกือบทุกคนถูกบังคับทางอ้อมให้ใช้บริการเอกชนคือคลินิก โรงพยาบาล หรือสถานบริการของเอกชนในรูปแบบอื่นๆ มีจำนวนน้อยที่ตัดสินใจทำแท้งด้วยตนเองโดยวิธีการต่างๆ แต่ทุกคนตระหนักดีว่า ไม่ว่าจะเป็นการทำแท้งด้วยตนเอง หรือเข้าคลินิกหรือสถานบริการที่ดูดีอย่างไร ก็ยังคงมีโอกาสเสี่ยงต่ออันตราย ที่อาจกลายเป็นผู้ที่อาการแทรกซ้อนจากการทำแท้ง เช่น ตกเลือดและหรือเจ็บในช่องท้องอย่างรุนแรง ในกลุ่มหลังนี้เกือบทุกคนเช่นกันต้องหันมารับการรักษาจากโรงพยาบาลของรัฐ สำหรับในกลุ่มที่เลือกจะตั้งครรภ์ต่อไปจนคลอดแต่มีปัญหาเรื่องที่พักหรือปัญหาอื่นๆ เกือบทั้งหมดได้ไปอาศัยบ้านพักพิง ขององค์กรเอกชน การให้บริการที่รัฐมีอยู่จึงเป็นการบริการที่ปลายเหตุเน้นไปที่บริการตั้งรับ และรัฐไม่มีแนวคิดที่จะเปิดบ้านพักพิงให้กับผู้หญิงที่ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมนี้แต่อย่างใด

ในการพูดคุยถึงเรื่องความต้องการบริการต่างๆ ผู้หญิงที่เข้าร่วมโครงการเกือบทุกคนต้องให้รัฐ และสังคมวงกว้างมองเห็นความจำเป็นในเรื่องนี้ของผู้หญิงให้ผู้กำหนดนโยบายมองลึกลงไปถึงสาเหตุ แห่งปัญหาของผู้หญิงแต่ละคนและรับฟังปัญหาและเข้าใจในความไม่พร้อม สรุปรวมก็คือการทำแท้งต้องไม่ผิดกฎหมาย บริการที่มีต้องปลอดภัย ค่าใช้จ่ายไม่สูง เข้าถึงง่าย มีบริการให้คำปรึกษาก่อนและหลังทำ และมีบริการการดูแลหลังการทำแท้งด้วย

สำหรับข้อเสนอในรายละเอียดในการให้บริการหลายคนเสนอว่า การบริการทำแท้งน่าจะบริการโดยรัฐ ราคาไม่แพง และทำให้เป็นเรื่องถูกกฎหมาย ดังความเห็นต่อไปนี้

ถ้ามันไม่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายนะ มันก็น่าจะเปิดโรงพยาบาลซักแห่ง เพื่อที่แบบให้เราพอจะปรึกษาได้บ้าง และเป็นโรงพยาบาลแบบทำแท้งโดยตรง
และ
ถ้าอย่างคนที่แบบมีปัญหาด้านการเงิน แต่อยากทำจริงๆ แต่ค่าใช้จ่ายมันสูง ต้องใช้เวลาเก็บเงินเป็นเดือนขึ้นไป พอใช้เวลาเป็นเดือนเวลามันจะยืดยาวออกไป ก็ทำให้ท้องนานขึ้นหลายเดือน ซึ่งพอจะทำจริงๆ ก็ทำไม่ได้
และ
อยากจะให้ออกมาทำตรงนี้ให้มันถูกกฎหมายไปเลย ให้มันเป็นที่สำหรับผู้หญิงที่ไม่พร้อม สำหรับวัยรุ่น สำหรับครอบครัวที่ยังไม่อยากจะมีลูกอะไรอย่างนี้ อยากจะให้ (รัฐ) มารับผิดชอบตรงนี้มากกว่า เพราะว่าปัญหาตรงนี้ทุกวันนี้มันมากขึ้นเรื่อยๆ
ลักษณะสำคัญของสถานบริการจากรัฐที่ต้องการคือ บริการที่ไว้ใจได้ในความปลอดภัย หลายเสียงกล่าวว่าต้องการลักษณะที่เป็นโรงพยาบาลที่สะอาด สามารถให้บริการอย่างมั่นใจได้ว่า จะไม่มีการติดเชื้อและให้คำปรึกษาและคำแนะนำสำหรับผู้หญิงที่ปัญหาแตกต่างกันไป ดังความเห็นต่อไปนี้
หนูว่าน่าจะมีแบบ เอ้อ…เป็นสักทีนึ่งเลยที่สำหรับทำ เอาเป็นของแต่ละจังหวัดก็ได้ …ตั้งโรงพยาบาลซักโรงนึงมาเลยดีกว่า แบบคอยดูแลเรื่องนี้ คอยให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำ ให้ความช่วยเหลือคนที่แบบมีเงินน้อยมากกว่าก็ …หนูว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายนะ เพราะว่ามันเป็นสิทธิของแต่ละคนเขา สิทธิของครอบครัว…เอ้อ…บริการเอาออก ดูแลตั้งแต่เอาออกจนกระทั่งรู้สึกว่า สบายแล้วเราโอ.เค.แล้ว
และ คือให้เป็นโรงพยาบาล คือให้เรามั่นใจว่าไม่มีติดเชื้อ ไม่กลัวอะไรอย่างเนี้ย คือทุกคนมันอาจจะผิดพลาดได้ใช่ไหม อย่างเราครั้งเดียวเลย เราก็แบบไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ คือ เรา…มันผิดไปแล้ว เค้าน่าจะให้คนที่อย่างผู้หญิงทำแล้วสบายใจ ไม่กลัวติดเชื้อ ไม่กลัวติดโรคอะไร หนูเนี่ยกลัวติดโรคนะ …เจ้าหน้าที่จะคอยทำหน้าที่ในแผนกเนี้ย ในโรงพยาบาลควรพูดจาดีๆ เพราะๆ เข้าใจเรานะว่าเราต้องการแบบไหน
หลายคนเสนอเงื่อนไขในการทำแท้งในกรณีต่างๆ ที่รัฐพึงให้บริการทำแท้ง ได้แก่ อายุครรภ์ไม่เกินสามเดือน มีคู่หรือพ่อแม่มารับรอง เป็นครอบครัวที่มีลูกมากหรือไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ มีบริการให้คำปรึกษาอย่างเข้าใจปัญหาของผู้หญิง ที่ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม เป็นต้น

หลายคนย้ำถึงบริการให้คำปรึกษาหารือที่เป็นมิตร และที่แนะนำวิธีการป้องกันต่างๆ เพื่อยุติปัญหาที่อาจเกิดขึ้นอีก การให้คำปรึกษาทั้งก่อนและหลังการทำแท้งดังนี้ "อยากให้เขาให้คำแนะนำเราเรื่องก่อนทำ และให้คำแนะนำว่า เราจะรักษาตัวเราเองอย่างไร เราทำเสร็จแล้วเราจะทำยังไงบ้าง" และบางคนกล่าวว่า ถ้ามีคำอธิบายที่ดี รอบด้านก็อาจตัดสินใจอุ้มท้องต่อไป ดังเช่น "อย่างถ้าหนูไปเจอพยาบาลคนนี้ซะตั้งแต่แรก ก็จะเอาไว้ ยังไงก็ไม่เอาออกแน่ ใจจริงก็คือตอนแรกก็อยากจะเอาไว้"


บทวิเคราะห์


วาทกรรมว่าด้วยคำว่า "ไม่พร้อม"

ในการศึกษานี้พบว่า คำว่า "ไม่พร้อม" ถูกนำมาใช้บ่อยครั้งมาก ไม่ว่าจะเพื่ออธิบายเรื่องราวแสดงความรู้สึก ความคิดเห็น และเหตุผล ที่เกี่ยวโยงกับการท้องที่เกิดขึ้น ในแนวคำถามสัมภาษณ์ระดับลึกของโครงการวิจัยนี้ คณะวิจัยมุ่งไปที่การตั้งท้องไม่ต้องการ หรือการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ แต่ผู้หญิงทุกกลุ่มไม่ว่าจะผ่านการทำแท้งมาแล้วปลอดภัย หรือมีอาการแทรกซ้อน หรือยังท้องอยู่ และคลอดแล้วก็ตาม ผู้หญิงทุกวัย ทุกสถานภาพสมรส ทุกระดับการศึกษา และทุกอาชีพ พูดเหมือนกันหมดว่า ท้องที่เกิดขึ้นนั้น "เป็นความไม่พร้อม" และเพราะไม่พร้อมมันจึงว่า เป็นสาเหตุแห่งปัญหาที่เธอเหล่านั้นประสบอยู่ แต่ต่างคนต่างก็ให้ความหมายความไม่พร้อมที่แตกต่างกัน ไปตามสถานการณ์ของแต่ละคน วาทกรรมนี้สะท้อนถึงนัยสำคัญสองประการคือ

หนึ่ง สถานการณ์ที่พร้อมสำหรับคนๆ หนึ่ง ไม่ใช่สถานการณ์พร้อมของคนอีกคนหนึ่ง แม้อยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันก็ตาม คนยังอาจให้ความหมายของคำว่า "ไม่พร้อม" ต่างกันไป ดังนั้นคนเราไม่สามารถและไม่ควรจะใช้มาตรฐานความ "พร้อม" ของตนตัดสินใจสถานการณ์ความพร้อมของผู้อื่น และ สอง "ความไม่พร้อม" เป็นการให้ความหมายใหม่ของการท้องที่ไม่ต้องการว่า มิใช่เป็นเรื่องของความเลวร้าย ความผิดพลาด ความรักสนุก ความไม่ใส่ใจ ความชุ่ย และหรือความเลว ความหมายใหม่ที่ให้โดยผู้หญิงที่ท้องเมื่อไม่พร้อมเอง ดูจะไปในแนวว่าเป็นเพราะผลแห่งจังหวะชีวิต และชะตากรรม ไม่เจอเองจะไม่รู้ ปานนั้น

ผู้ชายกับการท้องที่ไม่พร้อม

รากเหง้าสำคัญของปัญหาการตั้งท้องที่ไม่พร้อมในสังคมไทยประการหนึ่งก็คือ เรื่องวัฒนธรรมทางเพศของไทยเองที่สั่งสมตอกย้ำให้พฤติกรรมทางเพศของผู้ชายมุ่งเอาเปรียบ และทำร้ายผู้หญิงเป็นด้านหลัง ปรากฏการณ์ข่มขืนเด็กและผู้หญิงเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุด ของการภาพการทำร้ายผู้หญิงทางเพศในสังคมไทย ในการศึกษานี้ได้ให้ภาพรายละเอียด ของตัวอย่างมากมายของความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างหญิงชายในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ ที่นำไปสู่การท้องเมื่อไม่พร้อมขึ้นนับแต่ความไม่รับผิดชอบของผู้ชาย การหลอกลวงผู้หญิง และการมีภรรยาหลายคน ผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งงานจำนวนมากมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกกับคู่รัก โดยไม่เต็มใจและเป็นไปอย่างฝืนใจ แต่สังคมไทยเองตั้งคำถามกับพฤติกรรมเหล่านี้ของผู้ชายไทยน้อยมาก ในทางตรงกันข้ามยังมีแนวโน้ม ที่จะยกย่องผู้ชายที่เอาเปรียบ และทำร้ายผู้หญิงซึ่งยิ่งเป็นการสร้างแรงเสริมและตอกย้ำให้ชายไทย ยังคงพฤติกรรมดังกล่าวไว้

เราคงไม่สามารถสร้างเพศสัมพันธ์อย่างมีความรับผิดชอบและมีความสุขในชีวิตคู่ได้ ถ้ากระแสหลักของวัฒนธรรมทางเพศของชายไทยยังไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งนั่นก็หมายความถึงว่า การแก้ปัญหาการท้องเมื่อไม่พร้อมอย่างรอบด้านก็ยังคงไม่เกิดขึ้นจริง

ความเข้าใจผิดเรื่องการทำแท้ง

ความเข้าใจผิดสำคัญที่ต้องรีบแก้ไขอย่างเร่งด่วนในสังคมไทยเกี่ยวกับรื่องการทำแท้งคือ

1) เมื่อผู้หญิงตั้งท้องตอนไม่พร้อม ผู้หญิงไม่ได้คิดจะทำแท้งเสมอไป และหากผู้หญิงคนใดตัดสินใจจะทำแท้งจริงๆ ก็ใช่ว่าจะวิ่งแล่นออกไปทำแท้งได้เลยเสมอไป ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่านี้ การที่ใครคิดแบบเหมารวมว่า ถ้าท้องแล้วไม่อยากได้ปุ๊บ ผู้หญิงจะเฮโลมาทำแท้งปั๊บ แล้วจะกลายเป็นทำแท้งกันเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมืองเป็น "แท้งเสรี" นั้น จึงเป็นความคิดและคำพูดที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนรากฐานของความจริง คนจะต้องหยุดคิดว่าการทำให้การทำแท้งถูกกฎหมายคือ การทำให้เกิดการทำแท้ง "เสรี" เพราะการทำให้การทำแท้งถูกกฎหมายไม่ได้หมายถึงการทำให้เกิด "แท้งเสรี" แต่หมายถึงการให้ทางเลือกแก่ผู้หญิงที่ท้อง แต่ไม่พร้อมจะมีลูก ได้สามารถยุติการท้องที่ไม่พร้อมท้องนั้นได้อย่างปลอดภัย ส่วนผู้หญิงที่เลือกที่จะไม่ยุติการตั้งท้องที่ไม่พร้อมนั้น ก็สามารถทำได้ และควรมีทางเลือกให้ผู้หญิงที่ต้องการเก็บท้องไว้ด้วย เหมือนกับมีทางเลือกที่จะสามารถทำแท้งได้อย่างปลอดภัยในกรณีที่ผู้หญิงต้องเลือกอย่างนั้นจริงๆ นี่ไม่ใช่เรื่องการสนับสนุนให้คนทำแท้ง แต่เป็นเรื่องของการคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนที่ยังไงก็จะทำแท้งอยู่แล้ว ได้ทำแท้งอย่างปลอดภัย

2) การตั้งท้องไม่จำเป็นต้องเกี่ยวพันกับความเป็นแม่เสมอไป อย่าเรียกผู้หญิงท้องว่า "แม่" หากผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นแม่ อย่าเรียกสิ่งมีชีวิตในท้องว่า "ลูก" เพราะนั้นอาจจะเป็นได้ตั้งแต่เซลกลุ่มหนึ่ง ตัวอ่อน ทารกแรกเกิด หรือเด็ก ความเป็นแม่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่งตั้งท้อง เช่นเดียวกับที่ความเป็นพ่อ ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เพียงเพราะผู้ชายคนหนึ่งทำให้ผู้หญิงตั้งท้อง ความเป็นแม่และความเป็นพ่อเกิดขึ้นเมื่อคนๆ หนึ่งพร้อมที่จะอุ้มชูฟูมฟักดูแลลูกที่เกิดมาอย่างเต็มกำลังความสามารถด้วยความรักและเอาใจใส่ จนกว่าลูกจะเจริญเติบโตและสามารถจะดูแลตัวเองต่อไปได้


ข้อเสนอ


ทางเลือกที่ว่านี้ สรุปมาจากประสบการณ์ของผู้หญิงที่ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมที่อาสาให้ข้อมูลแก่โครงการ "บันทึกประสบการณ์ของผู้หญิงที่ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม" ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1) ให้มีบ้านพักเพื่อให้ผู้หญิงอยู่อาศัยระหว่างรอคลอดทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย ผู้หญิงบางคนต้องปกปิดครอบครัว เพื่อน และสังคมทั่วไปว่ากำลังท้องอยู่ ผู้หญิงเหล่านี้ต้อการที่อยู่อาศัยระหว่างรอคลอด ปัจจุบันบ้านพักในลักษณะนี้ เป็นขององค์กรพัฒนาเอกชน ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพและสามารรับผู้หญิงที่มีปัญหาได้ในสัดส่วนที่น้อยกว่าความต้องการที่แท้จริง รัฐบาลยังไม่มีบริการบ้านพักลักษณะนี้ บ้านพักของกรมประชาสงเคราะห์ทั้ง 7 แห่งทั่วประเทศไทยภายใต้หน่วยงาน ของกรมประชาสงเคราะห์ ไม่ใช่บ้านพักที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้ที่อยู่แก่ผู้หญิงท้องที่ไม่พร้อมโดยตรง แต่เป็นบ้านพักที่จัดขึ้นมารองรับเด็กที่ไม่มีที่อยู่ แล้วกลายมารองรับผู้หญิงที่ไม่มีที่อยู่ในกรณีจำเป็น หากผู้หญิงเลือกที่จะไม่ทำแท้งและยังไม่ต้องการให้ครอบครัวรับทราบ

ดังนั้นทางเลือกเรื่องบ้านพักอาศัยระหว่างรอคลอดที่กระจายอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ จะสามารถตอบสนองความต้องการส่วนหนึ่งของผู้หญิงได้ ในกรณีที่ผู้หญิงคลอดแล้วและไม่สามารถรับเด็กไปเลี้ยงดูเป็นลูกต่อไป บ้านพักควรขยายบริการไปสู่การรับเลี้ยงเด็กชั่วคราวเพื่อรอให้แม่ของเด็กพร้อม หรือมีบริการยกมอบบุตรให้ผู้อื่นที่พร้อมมากกว่า ปัจจุบันแม้พบว่ายังไม่มีหน่วยงานใดที่ทำงานครบวงจรเช่นนี้ แต่ก็เป็นที่ประจักษ์ว่า องค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านนี้อยู่ ได้สร้างระบบส่งต่อบริการระหว่างองค์กรที่เข้มแข็งและรัดกุม นับว่าเป็นการทำงานด้วยใจรักที่มีประสิทธิภาพ และสามารถนำไปเป็นต้นแบบที่ดีได้

2) เมื่อผู้หญิงประสบภาวะตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม ผู้หญิงจะต้องมีที่พึ่งพิงเพื่อพูดคุย ถึงภาวะที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้ว ตรงนี้หมายถึงบริการรับฟังปัญหา และให้ข้อมูลแบบรอบด้าน แก่ผู้ที่มีปัญหาโดยเคารพในสิทธิและความต้องการของผู้หญิงที่เป็นเจ้าของปัญหานั้นๆ บริการที่พึ่งพิงเพื่อพูดคุยและรับฟังข้อมูลแบบรอบด้านนี้ ควรเป็นบริการที่เข้าถึงได้ง่าย นั่นคือจัดให้เป็นบริการขั้นพื้นฐานที่เมื่อผู้หญิงท้องไม่พร้อม สามารถนึกถึงบริการนี้ แล้วเดินเข้าไปรับบริการได้เลย จากนั้นไม่ว่าผู้หญิงจะตัดสินใจทำแท้งหรือเก็บท้องไว้ ต้องมีบริการต่อเนื่อง เช่น บริการส่งต่อ หรือบริการให้ข้อมูลที่จำเป็นทีผู้หญิงต้องการ บริการเช่นนี้จะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่ใช่ "บริการให้คำปรึกษา" แบบไทยๆ ที่หมายถึงการนั่งฟังเจ้าหน้าที่พูดอะไรยาวๆ ตามนโยบาย ตามระเบียบปฏิบัติและตามทัศนคติของตน แล้วชักจูง โน้มน้าว จนถึงบังคับให้เจ้าของปัญหาปฏิบัติตามโดยไม่ฟังความต้องการของเจ้าของปัญหา

3) แม้ผู้หญิงที่เป็นนางสาวสามารถตั้งท้องและมีลูกได้ และลูกของผู้หญิงที่เป็นนางสาวมีสิทธิใช้นามสกุลของแม่ ได้ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่กฎระเบียบปลีกย่อยของหน่วยงานบางแห่งทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชนยังไม่อนุญาติให้ผู้หญิงสามารถกระทำการดังกล่าวได้ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมักอ้างถึงเหตุผลด้านวินัยข้าราชการ และกฎระเบียบขององค์กร เพื่อให้ผู้หญิงที่เป็นนางสาวที่ท้องเมื่อไม่พร้อมที่เลือกที่จะไม่ทำแท้งสามารถมีลูกโดยไม่มีพ่อ โดยไม่ผิดนัยข้าราชการหรือผิดกฎองค์กรใดๆ ควรมีการพัฒนาทัศนคติเชิงบวกและสร้างความเข้าใจ ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในเรื่องนี้ในระดับกว้างให้มากขึ้น หากพบว่ามีวินัยข้าราชการและกฎระเบียบองค์กรใดๆ ที่ละเมิดแล้ว ควรต้องปรับระเบียบข้าราชกรและองค์กรต่างๆ ให้ลูกที่เกิดจากแม่ที่เป็นนางสาวได้รับสิทธิประโยชน์ จากรัฐและองค์กรเช่นเดียวกับลูกที่เกิดจากแม่ที่เป็นนาง ดังตัวอย่างที่ดีจากกองทุนประกันสังคม ที่ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถขอรับเงินรายเดือนจากกองทุนประกันสังคมเพื่อนำเงินมาเลี้ยงดูลูกได้ และเบิกค่ารักษาพยาบาลและค่าเล่าเรียนของลูกได้โดยกองทุนไม่จำกัดว่าลูกจะมีพ่อหรือไม่ นับว่าเป็นปรากฏการณ์ต้นแบบที่ดี อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นเช่นกันว่า บริการนี้ไม่ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ เช่น แรงงานภาคเกษตรกรรม แรงงานภาคบริการ แรงงานที่รับงานมาทำที่บ้าน คนงานตามบ้าน เป็นต้น

4) บริการด้านการคุมกำเนิดที่ดำเนินการโดยรัฐ ต้องขยายไปสู่กลุ่มผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน ข้อค้นพบจากการบันทึกประสบการณ์ของผู้หญิงระบุว่า ในกรณีที่ไม่ได้แต่งงาน ผู้หญิงมักจะไม่ใช้วิธีคุมกำเนิดใดๆ เมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ส่วนผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะเลือกใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ข้อค้นพบนี้ทำให้สามารถประเมินได้ว่า ผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งงาน เข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับการคุมกำเนิดและวิธีคุมกำเนิดแบบต่างๆ ได้น้อยกว่าผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว หากความรู้เรื่องการคุมกำเนิดเป็นวิธีการหนึ่งที่เชื่อว่า จะช่วยป้องกันการตั้งท้องที่ไม่พร้อม และการทำแท้ง ผู้ที่เกี่ยวข้องในการให้ความรู้เรื่องการคุมกำเนิด ต้องพิจารณาให้ความรู้ชุดนี้อย่างจริงจัง และครอบคลุมบุคคลทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครอบคลุมถึงกลุ่มผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน เช่น วัยรุ่นหญิงทั้งในโรงเรียน ตั้งแต่ระดับมัธยมต้นขึ้นไป และวัยรุ่นนอกระบบโรงเรียนด้วย

5) ยังเป็นเรื่องที่ต้องสืบค้นหาความจริงต่อไปว่า การที่นักเรียนต้องถูกให้ออกจากโรงเรียน เพราะตั้งท้องนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นเหตุอันเนื่องมาจากระเบียบปฏิบัติของกระทรวงศึกษาธิการ หรือเป็นเพราะนโยบายเฉพาะของแต่ละสถานศึกษา การให้ข้อมูลแก่วัยรุ่นหญิงเพื่อชะลอการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก เพื่อให้เพศสัมพันธ์เกิดขึ้นเมื่อพร้อมและเต็มใจและเพื่อให้มีเพศสัมพันธ์อย่างรับผิดชอบและรู้จักป้องกันนั้น เป็นข้อมูลที่สำคัญและจำเป็นที่สถานศึกษาควรให้แก่นักเรียนของตนเพื่อป้องกันการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม และลดการทำแท้ง บุคลากรกระทรวงศึกษาธิการทุกระดับโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระดับที่ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับนักเรียนโดยตรง ควรมีความรู้และทักษะในการให้ข้อมูลส่วนนี่แก่นักเรียน และยกเลิกวิธีคิดที่ตัดโอกาสทางการศึกษาของนักเรียนหญิง ที่อาจมีส่วนผลักดันให้นักเรียนหญิงตัดสินใจปกปิดความจริง และหาทางออกจากปัญหาด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

สิ่งที่ดีที่สุดนอเหนือไปจากการไม่ตัดสิทธิความเป็นนักเรียนของนักเรียนหญิงที่ตั้งท้อง คือการอนุญาตให้นักเรียนที่จำเป็นต้องหยุดชั่วคราวเพื่อตั้งท้องและคลอดนั้น มีสิทธิในการเก็บคะแนนระหว่างเรียน และเข้าสอบปลายภาคเพื่อรับการพิจารณาเลื่อนชั้นเรียนตามปกติด้วย คณะครูที่พิจารณาความสามารถทางวิชาการ ของนักเรียนที่ประสบปัญหาต้องทีทัศนคติที่ดีต่อการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมและให้โอกาสแก่นักเรียน ในการพิสูจน์ตัวเองด้านวิชาการ

6) เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์ทุกระดับชั้นมีความสำคัญ มีอิทธิพล และสามารถทำให้ผู้ป่วยที่อยู่ในความดูแลของตนรู้สึกดีหรือไม่ดีได้ โรงเรียนแพทย์ พยาบาล และโรงเรียนการสาธารณสุขที่ผลิตบุคลากรทางการแพทย์ทุกแขนงที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการทางสูตินรีเวช และสุขภาพจิตแก่ผู้หญิงที่ประสบปัญหาตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมและทำแท้ง จึงต้องมีหลักสูตรอบรมนักศึกษาของตนให้เกิดความเข้าใจและมีทัศนคติที่ดีต่อการให้บริการผู้หญิงที่ประสบปัญหา เพื่อให้นักศึกษาเหล่านี้มีพื้นฐานจิตใจที่มีวุฒิภาวะ สำเร็จการศึกษาออกมาเป็นบุคลากรสาธารณสุข ที่มีความพร้อมทางด้านจิตใจสามารถจัดการความรู้สึกส่วนตัวที่มีต่อเรื่องการทำแท้งได้อย่างมีสติ แล้วให้บริการที่เหมาะสมและจำเป็นต่อผู้หญิงที่ประสบปัญหาได้

7) ในกรณีที่ผู้หญิงได้ตัดสินใจที่จะทำแท้ง บริการที่เกิดขึ้นต้องเป็นบริการที่สะอาด ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และผู้หญิงต้องสามารถเข้าถึงบริการนั้นอย่างสะดวก ทั้งในด้านราคาของบริการที่ได้รับและด้านที่ตั้งของสถานบริการ เช่น กระจายอยู่ทั่วไป หาง่าย ถูกต้องตามกฎหมาย และผู้ให้บริการมีทัศนคติที่ดีต่อการให้บริการ เช่น ไม่ประนามด่าทอผู้หญิง ไม่ลวนลามทางเพศเพราะมองว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี บริการที่เกิดขึ้นนี้ควรดูแลผู้ประสบปัญหาทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ และดูแลครอบคลุมไปถึงช่วงหลังการทำแท้งระยะหนึ่งด้วย

8) เจตนารมณ์ของกฎหมายโดยทั่วไปคือการมุ่งเอาผิดผู้ทุจริตเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สาธารณะ ผู้หญิงที่ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อมแล้วตัดสินใจไม่เก็บท้องไว้ไม่ใช่ผู้ทุจริต หากแต่เป็นผู้อยู่ในสภาวะที่มีปัญหา และกำลังพยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับเนื้อตัวร่างกายและชีวิตของตนเอง นอกจากนี้ การเอาผิดผู้หญิงที่ตัดสินใจไม่เก็บท้องไว้ ไม่สามารถทำให้ผู้หญิงในสาธารณะระงับการทำแท้งของตนได้ ในทางตรงกันข้ามข้อค้นพบจากการศึกษาระบุว่าผู้หญิงที่ทำแท้งมีทัศนคติต่อการทำแท้งเปลี่ยนไป เมื่อตนเองต้องตัดสินใจทำแท้งเอง ผู้หญิงรู้สึกเข้าในผู้หญิงคนอื่นที่ได้ตัดสินใจทำแท้งไปแล้วมากขึ้น ด้วยเหตุผลเบื้องต้นนี้กฎหมายว่าด้วยเรื่องการทำแท้งควรเป็นกฎหมายที่คุ้มครองพลเมืองผู้หญิง ที่ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม ควรเอื้อสิทธิประโยชน์ให้เกิดแก่เจ้าของปัญหา มิใช่ตัดสิทธิ ซ้ำเติมหรือลงโทษผู้ที่ประสบปัญหาทั้งนี้เพื่อให้กฎหมายช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยและการตาย จากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย


เอกสารอ้างอิง


กฤตยา อาชวนิจกุล. 2542. ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน: เรื่องที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้. เอกสารประกอบการสัมมนาเรื่อง "ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน" จัดโดย The Population Council กลุ่มศึกษาปัญหายาและสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ณ ห้องกรุงธน โรงแรมโรยัลรเวอร์ กรุงเทพมหานคร วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม 2542.

นภาภรณ์ หะวานนท์. 2538. การตอบโต้ของผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์. เชียงใหม่: ศูนย์สตรีศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

สงวน ลือเกียรติบัณฑิต. 2542. ปัญหาเกี่ยวกับการใช้ยาคุมกำเนิดหลังร่วมเพศ. เอกสารประกอบการสัมมนาเรื่อง "ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน" จัดโดย The Population Council กลุ่มศึกษาปัญหายา และสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ณ ห้องกรุงธน โรงแรมโรยัลรเวอร์ กรุงเทพมหานคร วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม 2542.

Wolhandler et al. 1992. 'Abortion ' in Our Bodies, Ourselves. New York: The Boston Women's Health Book Collective.

กนกวรรณ ธราวรรณ
The Population Council, Bangkok


[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600