ขณะทำหน้าที่แจ๋วรับใช้สามีและลูก เธอเกิดปวดท้อง
ก็คิดว่าปวดถ่ายอุจจาระ ที่ไหนได้พอเบ่งก็มีถุงน้ำคร่ำหลุดออกมา
ทางช่องคลอด พร้อมทารกที่ยังมีชีวิตอยู่ภายใน
หมอบอกว่า เธอท้องแล้วหลุด เพราะปากมดลูกหลวมคราก !!
ฟังชื่อดูแปลกๆ จริงๆ แล้วผู้เขียนก็เพิ่งเคยได้ยินจากการซักถามประวัติของผู้ป่วย
ที่มาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล
ในขบวนการฝากครรภ์โดยเฉพาะการฝากครรภ์ครั้งแรกนั้น คุณแม่ที่เคยมีบุตรมาก่อน
คงมีประสบการณ์เหมือนถูกหมอ "สอบ" ไม่มีคำว่า "สวน" แบบตำรวจสอบผู้ร้ายซึ่งมีทั้งสอบและสวน
ทางการแพทย์ก็สอบและถามประวัติตั้งแต่ปัจจุบันย้อนไปหาอดีต บางกรณีไม่พอลามไปถึงปู่ย่าตายาย
อาจจะถึงทวดหรือมากกว่า ถ้ามีกรณีสงสัย เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรมในครอบครัว ประวัติระดู
เรื่องส่วนตัวล้วนๆ
ยิ่งถ้าเคยผ่านการคลอดบุตรมาก่อน ก็จะถูกซักเกี่ยวกับการคลอดที่ผ่านมาแทบจะทุกขั้นตอน
ของการตั้งครรภ์ครั้งก่อนเท่านั้นไม่พอยิ่งขบวนการคลอดก็ยิ่งถูกซักไซ้ชอนไชมีคำถาม
ที่อาจจะทำให้ผู้ที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์แต่ได้ยินงุนงง เช่น น้ำเดินไหม คงงง ทำไมของเหลว
อย่างน้ำเดินได้ ตกเลือด? น้ำหนักเท่าไร บวม? ปวดหัว ตามัว? (ยุค IMF ไม่น่าจะต้องถาม
บางคนคงคิดอย่างนั้น) เคยแห้งไหม พ่อแม่เคยเป็นครรภ์แฝดไหม ถามลามไปถึงบุพการีเลยฯ
ที่หมอต้องถาม เน้นคำว่าต้องถามเพราะต้องการทราบประวัติศาสตร์การคลอด
การเจริญพันธุ์ในครอบครัว เพราะการตั้งครรภ์การคลอด เป็นเหตุการณ์ที่มักจะซ้ำรอยประวัติศาสตร์
ถ้าพ่อแม่มีประวัติท้องแฝดโอกาสแฝดก็จะมีมาก การตั้งครรภ์ก็มักจะซ้ำๆ รอยเดิม ถ้าท้องก่อนๆ
มีความผิดปกติท้องต่อมาก็อาจจะซ้ำรอยได้ เช่น โรคครรภ์พิษ เป็นต้น อุบัติการเกิดซ้ำจะสูง
หรือการตกเลือดหลังคลอดก็เช่นกัน
ที่เป็นที่สนใจใคร่รู้ของคุณแม่คือ ความพิการของทารก หัวอกพ่อแม่ทุกคนก็ว่าได้คำถามแรก
เมื่อทารกคลอดออกมาแล้วจะมีต่อหมอผู้ทำคลอดคือ "ครบไหมหมอ" หมายถึง อาการครบ 32 คือ
ไม่มีความพิการ
ความพิการที่เคยเกิดในครอบครัวนั้นต้องทำการวิเคราะห์ความพิการว่า
เป็นชนิดที่จะสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมหรือไม่ เป็นชนิดที่ถ่ายทอดมากับพันธุกรรม
หรือโครโมโซมบอกเพศหรือไม่ เพราะจะทำให้โอกาสเกิดการถ่ายทอดความพิการแตกต่างกัน
แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีทางพันธุวิศวกรรมก้าวหน้ามากเราสามารถเจาะเอาเซลล์ของทารก
ไปตรวจหาพันธุกรรมได้ อาจจะจากสายสะดือทารก หรือจากชิ้นรกหรือจากน้ำคร่ำ
แล้วแต่ความเหมาะสม ถ้าพบว่าพิการเด่นชัดจากการตรวจพบความผิดปกติของหน่วยพันธุกรรม
ก็ต้องปรึกษาหารือกันระหว่างหมอและคนไข้ถึงการดูแลอาจจะต้องให้สิ้นสุดการตั้งครรภ์
หรือกล่าวให้เข้าใจง่ายคือทำแท้ง แต่ถ้าความพิการไม่มากไม่รุนแรง ก็อาจจะตั้งครรภ์ต่อ
คลอดแล้วค่อยแก้ไขหรือบางชนิดก็แก้ไขรักษาขณะที่ทารกยังอยู่ในครรภ์ก็มี
ที่กำลังเร่งประชาสัมพันธ์ทำตามโรงพยาบาลของรัฐคือ โครงการตรวจค้นหาความผิดปกติ
โรคธาลัสซีเมีย (Thallassemia) ซึ่งเป็นโรคที่มีความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง ในประเทศไทย
พบมากจนเป็นที่ที่แพทย์อื่นๆ ต้องมาศึกษาในประเทศไทย แต่เป็นการตรวจดักในพ่อแม่ที่ตั้งครรภ์
หรือกำลังคิดจะตั้งครรภ์ในโครงการนี้ เริ่มเมื่อไม่กี่ปีมานี้
อีกโรคของความผิดปกติที่รู้จักกันดีคือ โรคหนูดาวน์ หรือ Down's Syndrome คือโรคเชาว์ปัญญาต่ำ
พบในแม่ที่ตั้งครรภ์อายุมาก อายุเกิน 37 ปีขึ้นไปจะพบมาก แต่ตรวจพบได้โดยการตรวจหา
หน่วยพันธุกรรมผิดปกติจากเซลล์ทารกในน้ำคร่ำหรือจากแหล่งดังกล่าวข้างต้น
ปัจจุบันทำหัตถการตรวจนี้มากผิดปกติเพราะคุณแม่มักจะท้องตอนอายุมากแต่งงานช้าแล้วยังอั้นคุมกำเนิดอีก
โดยเฉพาะในยุค IMF มีผลชัดเจนมาก การมีลูกในยุค IMF ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องหลีกเลี่ยง
เพราะโอกาสตกงานสูงมาก
มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมาพบปรึกษาเรื่องภรรยาสงสัยจะท้องเพราะขาดระดู
ด้วยท่าทางกังวลมากผิดปกติซักถามไปได้ความว่าทำงานธนาคารเดียวกันทั้งคู่
และธนาคารกำลังมีการปลดพนักงาน และทั้งคู่ก็ระดับงานเท่าๆ กัน ถ้าออกก็คงต้องถูกออกทั้งคู่
ปรากฏว่าโชคดีถึงกับไชโยเมื่อตรวจพบว่าไม่ตั้งครรภ์ที่ระดูขาดหายไปนั้นเพราะความเครียด
วิตกกังวลก็เรื่องลูกเต้าซึ่งมี 2 คนแล้ว กำลังกินกำลังเรียน ทั้งภาระบ้าน ภาระรถ
ตามปกติของสังคมเมืองใหญ่ คุณผู้ชายถึงกับถอนหายใจและระบายให้ฟังเป็นปรัชญาว่า
"เมื่อมีภรรยาถึงรู้ว่านรกมีจริง แต่พอมีลูกแล้วก็รู้ว่ามีหลายขุม" นี่คงเพราะมีเมียน้อย
ถ้ามีมากคงไม่เช่นนี้ อาจจะกลายเป็น มีภรรยาถึงรู้ว่าสวรรค์มีจริง พอมีลูกเลยได้รู้ว่า
สวรรค์มีหลายชั้น
นอกจากได้ปรัญาชีวิตแล้วในคู่นักธนาคารนี้ ได้ทราบถึงคำที่นำมาจั่วหัวเรื่องนี้ คือ
"ท้องแล้วหลุด" คุณเธอแบงค์เกอร์ผู้นี้แท้งบุตรท้องที่ 2 ขณะตั้งครรภ์ได้ 5-6 เดือน
เธอให้ประวัติการแท้งว่า เริ่มปวดท้องขณะทำงานบ้านวันหยุด ทำหน้าที่แจ๋วรับใช้สามีและลูก
เกิดปวดท้องคิดว่าปวดท้องถ่ายอุจจาระเพราะมีอาการปวดเบ่ง ที่ไหนได้พอเบ่งเพียงเล็กน้อย
ก็มีถุงน้ำคร่ำหลุดออกมาทางช่องคลอดพร้อมทารกที่ยังมีชีวิตอยู่ภายใน เธอได้ถูกรีบนำส่งโรงพยาบาล
ใกล้บ้านแพทย์ได้ให้การบอกเล่าว่าเธอท้องแล้วหลุด เพราะปากมดลูกหลวมครากและเธอได้รับการรักษา
แก้ไขปากมดลูกครากโดยการเย็บรั้งไว้ ในการตั้งครรภ์ครั้งต่อมาและก็ประสบความสำเร็จ
ในการตั้งครรภ์คลอดบุตรคนที่ 2 ได้อย่างมีคุณภาพคือแข็งแรงทั้งแม่และลูก
เธอมีประวัติของการคลอดที่ก่อให้เกิดการฉีกขาดของปากมดลูกในครรภ์แรก
เนื่องจากทารกตัวใหญ่
แม้จะไม่มากแต่ก็ผิดสัดส่วนกับช่องเชิงกรานของแม่ กล่าวคือ การที่จะคลอดได้ง่ายหรือยาก
หรือไม่ได้นั้นไม่ได้ขึ้นกับขนาดทารกอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับสัดส่วนของศีรษะและช่องเชิงกรานของผู้เป็นแม่
จะพบว่ามีไม่น้อยที่ทารกที่คลอดทางช่องคลอดมีน้ำหนักขนาดที่เรียกติดตลกว่าลูกช่างอาจจะ 4 กิโลกรัม
ขึ้นไปก็มีแม้แม่จะตัวไม่ใหญ่โต แต่ถ้าลักษณะเชิงกรานเหมาะสม คือกว้างขวางส่วนโค้งมีลักษณะดี
ดังที่ว่ากันว่าสะโพกผาย บั้นท้ายงอน มักจะเป็นแม่ที่ดีเพราะมักจะเป็นกลุ่มที่โครงสร้างเชิงกรานดี
จะคลอดบุตรได้ง่ายแม้จะรูปร่างใหญ่ แต่ถ้าเชิงกรานแคบไม่ได้สัดส่วนที่ดีก็จะทำให้ขบวนการคลอดเนิ่นนาน
และจะเกิดการบอบช้ำกับเนื้อเยื่อช่องทางคลอด และบางครั้งแพทย์ต้องช่วยขยายถ่างช่องทางคลอด
โดยการตัดเนื้อเยื่อ เช่นฝีเย็บหรือปากมดลูกหรือช่องคลอด แต่ก็จะต้องเย็บซ่อมให้
ในบางครั้งเช่นคุณแบงค์เกอร์นี้ในการคลอดมีการฉีกขาดของปากมดลูกเนื่องจากช่องเชิงกราน
อยู่ในเกณฑ์สัดส่วนไม่ดีนักต่อศีรษะทารก เกิดบาดเจ็บของเนื้อเยื่อปากมดลูกซึ่งลักษณะเช่นนี้
จะพบได้ในพวกที่ทำแท้งที่ต้องมีการขูดมดลูก หรือการคีบเอาชิ้นส่วนทารกออกจากมดลูกที่ไม่ถูกต้อง
มีส่วนน้อยที่เกิดจากความผิดปกติของเนื้อโครงสร้างปากมดลูกเอง
เมื่อมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นในกลุ่มที่ปากมดลูกครากหรือชำรุดนี้ระยะแรกๆ
ที่ขนาดถุงน้ำคร่ำยังเล็กก็จะไม่มีอาการผิดปกติเพราะน้ำหนักของถุงน้ำคร่ำและทารกยังไม่มาก
เมื่อขนาดของการตั้งครรภ์เพิ่มมากขึ้น ปากมดลูกซึ่งในสภาวะปกติจะมีโครงสร้างของกล้ามเนื้อ
และเอ็นยึดโยงแข็งแรงสามารถที่จะหดรัดตัวต้านไว้ได้ แต่เมื่อชำรุดทำให้ปากมดลูกจะถูกขยายออก
ถุงน้ำคร่ำก็จะค่อยๆ ยื่นออกมามากขึ้นตามน้ำหนักของทารกที่เพิ่มขึ้น เมื่อตั้งครรภ์ประมาณ 5-6 เดือน
น้ำหนักทารกและน้ำคร่ำก็อาจจะใกล้ 1 กก. ทำให้ปากมดลูกทนแรงกดไม่ได้ก็จะขยายออก
ถุงน้ำก็จะยื่นยาวออกมาในช่องคบอดมากขึ้นๆ จนในที่สุดก็จะหลุดออกมาทั้งถุงน้ำคร่ำ
อาจจะไม่มีการเจ็บปวดหรือมีบ้างขึ้นอยู่กับความกระชับของเนื้อเยื่อปากมดลูก ส่วนใหญ่จะแท้ง
ขณะตั้งครรภ์ไตรมาสที่สอง
การแก้ไขคือ ต้องให้การวินิจฉัยสภาวะความผิดปกตินี้ก่อนการตั้งครรภ์ซึ่งไม่ยุ่งยาก
และเมื่อได้วินิจฉัยแล้วก็จะแก้ไขโดยเมื่อตั้งครรภ์แล้วก็จะทำการเย็บรัดปากมดลูกด้วยด้ายพิเศษ
โดยรอบปากมดลูกและปล่อยไว้จนเมื่อครบกำหนดการตั้งครรภ์ หรือเมื่อเจ็บท้องคลอดก็จะตัดเอาไหม
หรือด้ายพิเศษที่เย็บออก
อันตรายของโรคนี้คือการเอาด้ายหรือไหมออกต้องรีบกระทำเมื่อเริ่มมีอาการปวดครรภ์คลอด
เพราะมิฉะนั้นมดลูกจะแตกซึ่งจะอันตรายถึงชีวิตได้
การรักษาแก้ไขก่อนการตั้งครรภ์สำหรับปากมดลูกครากหรือชำรุดไม่ค่อยนิยม
เพราะเกรงอาจจะรบกวนการปฏิสนธิได้ เพราะปัจจัยการทำงานของปากมดลูก
ในขบวนการปฏิสนธินั้นละเอียดอ่อน จึงนิยมที่จะรอให้ตั้งครรภ์แล้วให้การแก้ไขไม่ใช่รักษา
เพราะไม่หายเมื่อปล่อยให้คลอดแล้วถ้ามีการตั้งครรภ์ใหม่ก็จักต้องแก้ไขใหม่
สภาวะผิดปกติดังกล่าวนี้ ปัจจุบันพบได้น้อยลงมากและการทำแท้งในปัจจุบันด้วยวิธีโหดๆ
จากคลินิกเถื่อนลดลงมาก และที่เป็นปัจจัยสำคัญคือ การเข้าใจและใช้ขบวนการคุมกำเนิดอย่างแพร่หลาย
เนื่องด้วยการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง แต่ก็ส่งผลสะท้อนทางลบคือทำให้ไม่มีผู้ป่วยโรคดังกล่าวนี้สอน
หรือใช้สาธิตให้พวกนักเรียนแพทย์หรือแพทย์ประจำบ้านได้ดูมากนักกลายเป็นโรคหายาก
เธอผู้นี้เลยถูกยุให้ตั้งครรภ์เพื่อจะได้จองเธอไว้สอนเป็นการทำบุญทำกุศลทางอ้อม
หรือท่านผู้ใดเป็นสภาวะนี้อยากช่วยเหลือวงการแพทย์ก็ติดต่อมาได้ เรารอท่านอยู่!!
น.พ.วีระ สุรเศรณีวงศ์
|