มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



น้ำคร่ำรั่ว อุดกระแสเลือด

น.พ.อานนท์ เรืองอุตมานันท์


มีคน ถามผมบ่อยๆ เหมือนกันว่า ทำไมถึงเลือกมาเป็นหมอสูติฯ ที่ผมเลือกมาเป็นหมอสูติฯ ดูจะเป็นหมอที่มีความสุขที่สุดในบรรดาหมอๆ ทั้งหลาย แม้ว่าต้องทำงานท่ามกลางความเจ็บปวดของผู้หญิง แต่ส่วนมากก็เป็นความเจ็บปวดที่จบลงอย่างมีความสุข ได้เห็นผลสำเร็จที่เกิดขึ้นมาได้ด้วยมือเรา ได้เห็นความสุข ความดีใจ ความภูมิใจ ความรักที่เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริงของคุณแม่ที่ได้เห็นหน้าลูก ที่เกิดมาครั้งแรกได้เห็นคุณพ่อเฝ้าดูคุณแม่ด้วยความห่วงใย ได้เห็นการแสดงความรัก ความห่วงใยกัน เพื่อฝ่าฟันความเจ็บปวด เพื่อที่จะไปถึงเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่รอคอย

หมอสูติฯ…แม้ว่าต้องนั่งทำงานอยู่ตรงหว่างขาของผู้หญิงทุกวัน แต่บรรยากาศในห้องคลอดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดี… และทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นไปอย่างมีความสุข

แต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แม้หมอสูติฯ จะดูแลเรื่องเกิดและมีเรื่องเจ็บมาแจมด้วยแทบทุกครั้ง แต่บางครั้งก็หนีเรื่องตาย ที่หมอทุกคนต่างภาวะนาอย่าได้ต้องประสบกับตัวเองเลยไม่พ้น

โรคแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตสูง ครรภ์เป็นพิษ ตกเลือด ติดเชื้อ ฯลฯ โรคแทรกซ้อนเหล่านี้เมื่ออยู่ในมือหมอสูติฯ รวมทั้งเครื่องมือแพทย์ที่สมบูรณ์ก็ไม่ค่อยจะหนักหนาสาหัสสักเท่าไหร่… อีกทั้งหมอสูติฯ เองก็รู้สึกภูมิใจที่สามารถดูแลคนไข้ให้ผ่านพ้นวิกฤติเหล่านี้ไปได้

เรื่องที่หมอสูติฯ หวั่นเกรงกันมาก ก็คือ น้ำคร่ำเข้าสู่กระแสเลือด

ปกติ น้ำคร่ำไม่ได้มีอันตรายต่อร่างกายเราหรอกครับ น้ำคร่ำจะบรรจุอยู่ภายในมดลูก เป็นน้ำสีใสๆ บางทีก็มีสีขุ่นเหมือนสีน้ำฟางข้าว ในน้ำคร่ำจะมีตะกอนของไขเด็ก ขี้ไคลเด็ก หรือบางครั้งก็อาจมีขี้เทาของเด็ก ปนอยู่ได้ถ้ามีการถ่ายขี้เทาออกมา น้ำคร่ำนั้นทำหน้าที่ห่อหุ้มปกป้องลูกน้อยในครรภ์ให้ปลอดภัย จากการกระทบกระเทือน ให้ลูกลอยอยู่ในน้ำเหมือนภาวะไร้น้ำหนัก อีกทั้งยังช่วยรักษาอุณหภูมิ ช่วยขับถ่ายของเสีย น้ำคร่ำบางส่วนก็คือปัสสาวะของเด็กเองด้วย

ระหว่างการเจ็บท้องคลอดมดลูกจะบีบตัวเป็นพักๆ การบีบตัวของมดลูกก็เพื่อให้เกิดแรงขับดันให้หัวของเด็ก กดลงบนปากมดลูก ปากมดลูกก็จะเปิดออกทีละนิดละหน่อย จนปากมดลูกเปิดหมด แล้วคุณแม่ก็เบ่งออกมาในที่สุด ระหว่างที่มดลูกมีการบีบตัว แรงด้นภายในมดลูกก็จะสูงขึ้น ปกติภายในมดลูกจะมีความดันประมาณ 60 มิลลิเมตรปรอท แต่บางครั้งอาจจะสูงขึ้นไปถึง 200 มิลลิเมตรปรอท

คราวนี้มาดูระบบเส้นเลือดของเรากันบ้าง แรงดันในเส้นเลือดของเราเกิดจากแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ ปกติคนเราจะมีความดันเลือดประมาณ 120/80 มิลลิเมตรปรอท แปลว่า ขณะที่มีการบีบตัวของหัวใจ ความดันภายในเส้นเลือดจะเท่ากับ 120 และพอหัวใจคลายตัวแรงดันภายในเส้นเลือดก็จะลดลงเหลือ 80

เหตุการณ์ต่างๆ ก็คงไม่น่าเศร้าอะไร หากเส้นเลือดดำเส้นเล็กแถวๆ ปากมดลูกไม่ปริแตก แค่เส้นเลือดเล็กๆ เส้นเดียวก็อาจหมายถึงชีวิตของแม่และลูกได้เหมือนกัน

ปกติหากเส้นเลือดมีการปริแตก เลือกก็จะไหลออกมาจากเส้นเลือดทางเดียว เนื่องจากมีแรงดันอยู่ภายในเส้นเลือดนั่นเอง ไม่มีทางใดเลยที่สิ่งแปลกปลอมจะไหลย้อนเข้าไปสู่กระแสเลือดได้ ยกเว้นแต่ในรายที่โชคร้ายบางรายเท่านั้น ที่มีเส้นเลือดดำเส้นเล็กๆ ปริแตกออกในถุงน้ำคร่ำ อาจจะเกิดขึ้นแถวๆ ปากมดลูก หรือบริเวณขอบรกหรือตรงไหนก็ได้ไม่มีใครรู้

มดลูกนั้นมันมีขนาดใหญ่กว่าหัวใจของเราตั้งเยอะ เวลามดลูกบีบตัวแรงๆ แรงดันภายในมดลูก ก็อาจจะสูงกว่าแรงดันภายในเส้นเลือด จุดสำคัญของเรื่องก็อยู่ตรงนี้เองล่ะครับ เมื่อเส้นเลือดดำปริแตก แทนที่เลือดจะไหลออกมาจากเส้นเลือดกลับไม่สามารถสู้แรงดันจากการบีบรัดตัวของมดลูกได้ น้ำคร่ำจึงไหลพรั่งพรูย้อนทางเข้าไปในกระแสเลือด ปริมาณของน้ำคร่ำอาจมากมายตราบเท่าที่มดลูกยังคงบีบตัวอยู่ วินาทีนี้คนไข้ก็จะมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เนื่องจากน้ำคร่ำที่ไหลย้อนเข้าไปจะไหลเข้าสู่หัวใจห้องขวา ซึ่งปกติแล้วหัวใจห้องขวาของเราจะทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปยังปอดเพื่อฟอกออกซิเจนแล้วกลับเข้าสู่หัวใจห้องซ้าย แล้วสูบฉีดเลี้ยงร่างกายหมุนเวียนกันไป เมื่อน้ำคร่ำเข้าไปถึงหัวใจห้องขวาก็จะถูกสูบฉีดไปที่ปอดทั้งสองข้าง แทนที่จะเป็นเลือดก็กลับกลายเป็นน้ำคร่ำ ทั้งไขของเด็ก เศษขี้ไคล ขนอ่อน ขี้เทา ก็จะกระจายไปอุดตันเส้นเลือดฝอยเล็กๆ ในปอดจนหมดสิ้นทำให้ปอดไม่สามารถทำหน้าที่หายใจได้อีกต่อไป"

"คนไข้ที่ตกอยู่ในภาวะนี้จะมี อาการหายใจได้ แต่เหมือนไม่ได้ หายใจ ก็คือสามารถหายใจมีลมเข้า ออกได้ แต่ปอดไม่สามารถเปลี่ยน ออกซิเจนได้ ก็จะมีอาการหอบ เขียว และมักเสียชีวิตอย่างรวดเร็วจาก การหายใจล้มเหลว แล้วก็มักจะมี ปัญหาเรื่องเลือดไม่แข็งตัวร่วมด้วย"

น้ำคร่ำ รั่วเข้าสู่กระแสเลือดนี้มีการ ศึกษากันมาเยอะว่า เกิดขึ้นจากอะไร หมอทุกคน ก็รู้ว่าโรคมันไปยังไงมายังไง แต่บางครั้งเราก็ช่วย อะไรไม่ได้ เพราะเมื่อน้ำคร่ำมันรั่วเข้าสู่กระแส เลือดแล้ว ก็จะกระจายไปตามเส้นเลือดเส้นเล็ก เส้นน้อยเป็นหมื่นเป็นแสนเส้น แล้วก็มีเศษไข เด็ก เศษขี้ไคล ขี้เทาไปอุดตันเต็มไปหมด คงเป็น การยากที่จะดูดน้ำคร่ำออกมาจากเส้นเลือดที ละเส้นจนหมด

ดังนั้น โอกาสรอดในสถาบันการแพทย์ สุดยอดของโลกก็ยังมีเพียง 14 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น โอกาสที่ทารกในครรภ์จะเสียชีวิตก็สูงเช่นกัน ส่วนมากถ้าเรารู้ว่าแม่เกิดภาวะนี้แล้ว เราต้อง ตัดสินใจให้ได้ในเสี้ยววินาทีว่าจะผ่าเด็กออกมา ได้ทันหรือเปล่า ถ้าทันเด็กยังไม่ขาดออกซิเจน ก็อาจช่วยชีวิตเด็กไว้ได้

ที่จริงแล้วก็ไม่อยากเขียน เรื่องเศร้าแบบนี้ มาให้คุณแม่ได้อ่านหรอกครับ เดี๋ยวจะวิตกกังวล ไปจนเกินกว่าเหตุ โอกาสเกิดภาวะอย่างนี้ มันมีน้อยจริงๆ น้อยกว่านั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านแล้ว เครื่องบินตกใส่พอดีอีกต่างหาก

ตอนจบนี้ก็ขอภาวะนาแทนคุณหมอสูติฯ ทุกคน ขออย่าได้ไปประสบกับคนไข้ที่เป็นภาวะ น้ำคร่ำรั่วเข้าสู่กระแสเลือดนี้เลย เพราะแม้ว่า ได้ทำทุกอย่างอย่างดีที่สุดแล้ว หรือมีหมออยู่ ร้อยคนพันคนในตอนนั้นก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก

และขอภาวนาให้คุณแม่ทั่วทั้งประเทศไทย อย่าได้เกิดภาวะนี้แทรกซ้อนขึ้นมาในระหว่างการ คลอดเลยนะครับ
ครั้งหนึ่งในชีวิตหมอสูติฯ

โรคแทรกซ้อนที่ถือเป็นหายนะของชีวิตหมอสูติฯ และของคนไข้…หมอสูติฯ ทุกคนรู้จักกันดี และบอกไว้ ก่อนเลยว่า กลัวภาวะนี้มาก นั่นคือ "น้ำคร่ำรั่วไปอุด กระแสเลือด" ซึ่งพบได้ไม่มากนัก ตั้งแต่เป็นหมอสูติฯ มา ก็เคยเห็นเรื่องน่าเศร้านี้แค่ครั้งเดียวแต่ครั้งเดียว ก็เกินพอแล้วล่ะครับตอนนั้นยังเป็นแพทย์ฝึกหัดที่ ศิริราช คืนนั้นผมเป็นหัวหน้าเวรดูแลห้องคลอดสามัญ ทุกอย่างก็ดูสงบเงียบดี คนไข้ก็ผ่านพ้นการคลอดไป อย่างเรียบร้อยไม่มีปัญหา

แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ที่ห้องคลอดพิเศษ ถัดจากห้องคลอดสามัญไป คนไข้ที่เป็นคุณแม่ท้องแรก ซึ่งกำลังเจ็บท้อง เพื่อให้ปากมดลูกเปิดหมดอยู่ๆ ก็เกิด อาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ดูทุรนทุราย หน้าตา เขียวคล้ำเหมือนขาดอากาศหายใจ สีหน้าแววตา เหมือนวิงวอนให้ช่วยชีวิตเธอด้วย แต่ก็ไร้เสียงเล็ด ลอดออกมาจากปาก แม้เธอไม่อยากตาย เพราะยัง มีลูกอยู่ในท้องอีกคนที่ต้องคลอดออกมา แต่อีกไม่กี่ นาทีต่อมาเธอก็สิ้นใจ…

…หมอในตอนนั้น ทั้งหมอเล็ก หมอใหญ่ อาจารย์แพทย์ พยายามช่วยชีวิตเธอและลูกในท้อง ต่างผลัดกันปั้มหัวใจ ในเครื่องช่วยหายใจ ในที่สุดก็ ตัดสินใจกันว่าควรผ่าลูกในท้องออกมาทันที เผื่อจะ รักษาชีวิตลูกไว้ให้ได้ แต่เหมือนเธออยากจะดูแลลูก ของเธอเองมากกว่า คืนนั้นไม่ว่าเราจะทุ่มทั้งแรงกาย และแรงใจอย่างไร สุดท้ายก็ไม่อาจรักษาชีวิตของเธอ และลูกของเธอไว้ได้

คืนนั้นเพื่อนที่เป็นหัวหน้าห้องคลอดพิเศษได้ แต่นั่งซึม คอตก ในใจมีคำถามมากมาย มีภาพ มีแววตาของผู้หญิงคนนี้ เหมือนร้องขอให้ช่วยเธอ ด้วย…

ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปแค่ไหน เราก็ยังจำ วันนั้นได้
สิ่งลำบากใจของหมอสูติฯ อีกอย่างคือ เมื่อต้อง ไปบอกสามี ลูก หรือคนที่รอคอยเธออยู่ว่าเกิดอะไร ขึ้นบ้าง… "หมอขอแสดงความเสียใจด้วยนะ" ดู เหมือนตัวเราเองก็ไม่อาจหาคำพูดที่ดีกว่านี้มาพูดได้

"เกิดมาขออย่าให้ต้องมาเจอคนไข้ที่ถุงน้ำคร่ำรั่ว เข้าสู่กระแสเลือดเลย"


(update วันที่ 23 สิงหาคม 2543)


[ที่มา.. นิตยสารดวงใจพ่อแม่   ปีที่ 4 ฉบับที่ 41 มีนาคม 2542 ]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600