นพ.เสรี ธีรพงษ์
ในที่สุด วันเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง เป็นวันซึ่งเธอได้ให้กำเนิดลูกน้อยปกติ
เหมือนกับทารกธรรมดาทั่วๆ ไป ทำไม
ข้าพเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะ
คนไข้รายนี้เคยตั้งครรภ์ "ทารกไร้กะโหลกศีรษะ" (ANENCEPHALY) ถึง 2 ครั้ง 2 ครา
สตรีท่านใด เคยตั้งครรภ์ทารกผิดปกติแม้เพียงครั้งเดียว คงเสียใจไปตลอดชีวิต แต่เธอเคยตั้งครรภ์
"ทารกไร้กะโหลกศีรษะ" ซ้ำกันถึง 2 ครั้ง นับว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตจริงๆ
3 ปีก่อน ตอนที่ตั้งครรภ์แรกหลังจากแต่งงานมา 8 ปี ข้าพเจ้ารับหน้าที่ทำแท้งบุตรให้เมื่อวินิจฉัย
ได้ขณะอายุครรภ์เกือบ 20 สัปดาห์ ซึ่ง
กว่าจะแท้งบุตร คนไข้ต้องเจ็บครรภ์อยู่นานถึง 20 ชั่วโมง
และเมื่อแท้งบุตรไปแล้ว ทางญาติได้ให้เงินกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเพื่อนำศพทารกไปทำพิธีตามประเพณีไทย
คาดไม่ถึงการตั้งครรภ์ครั้งใหม่ในอีก 2 ปีต่อมา ซึ่งข้าพเจ้ามีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นจนจะเกิด
"ภาวะทารกไร้กะโหลก" ซ้ำ ทั้งๆ ที่เป็นการตั้งครรภ์ที่เกิดจากการทำ "ซิ๊ฟ" (ZIFT)
"ซิ๊ฟ" (ZIFT) เป็นกระบวนการหยอดตัวอ่อนเข้าไปในปีกมดลูกของคนไข้ โดยการเจาะท้องส่องกล้อง
ซึ่งเหตุที่ข้าพเจ้าจำต้องทำกรรมวิธีนี้เนื่องจาก คนไข้และสามีได้พยายามกันเองเป็นเวลากว่า 1 ปี
รวมทั้งข้าพเจ้าได้ช่วยเหลือต่อด้วยกรรมวิธี "ฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูก" เป็นเวลา 3 เดือน ก็ยังไม่ประสบผล
ความดีใจจากการตั้งครรภ์ยังไม่ทันสมใจอยาก คนไข้และสามีก็ต้องผิดหวังช้ำใจซ้ำ
เมื่อข้าพเจ้าตรวจดูทารกท้องที่ 2 ขณะอายุครรภ์ได้ 12 สัปดาห์ ด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์
แล้วพบว่าเป็น "ทารกไร้กะโหลกศีรษะ" (REPEATED ANENCEPHALY) ซ้ำ
แต่
เพื่อให้เกิดความมั่นใจเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ในอนาคต ข้าพเจ้าได้ส่งคนไข้และสามี
ไปรับคำปรึกษาแนะนำจากสูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง "ความผิดปกติของทารกในครรภ์"
ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ พร้อมทั้งเขียนจดหมายเรียนฝากอาจารย์แพทย์ท่านนั้น ช่วยทำแท้งให้ด้วย
คนไข้และสามีเดินทางไปพบอาจารย์แพทย์ท่านนั้นและได้รับการตรวจอัลตราซาวนด์ซ้ำ
ยืนยันพร้อมคำแนะนำอย่างละเอียด อย่างไรก็ตามบุคคลทั้งสองตัดสินใจขอกลับมาให้ข้าพเจ้าทำแท้งบุตร
การทำแท้งบุตร ขณะอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ต้องใช้กรรมวิธีขูดมดลูกภายใต้การดมยาสลบ
ข้าพเจ้าไม่ชอบการทำแท้ง แต่ครั้งนี้ถือว่า เป็นสิ่งจำเป็นและมีเหตุผล
ในส่วนกรรมวิธีขูดมดลูกข้าพเจ้าใช้เวลาเพียง 10 กว่านาทีเท่านั้น ได้ชิ้นเนื้อปนกับเศษรก
รวมกันประมาณ 10 กรัม มอบให้กับทางญาติ เนื่องจากก่อนทำการขูดมดลูก ทางญาติคนไข้ขอให้ข้าพเจ้า
ช่วยเก็บรวบรวมชิ้นส่วนต่างๆ ของทารกให้ เพื่อนำไปทำพิธีทางศาสนาที่วัดแถวใกล้บ้าน
หลังจากทำแท้งได้ 2 วัน ข้าพเจ้าได้รับเรียกทางวิทยุติดตามตัวให้โทรกลับไปหาสามีคนไข้
เนื่องจากคนไข้มีอาการปวดท้องมาก แท้งที่จริงเกิดจากความผิดพลาดในการขูดมดลูก
เพราะส่วนหัวของเด็กซึ่งเป็นส่วนที่แข็งที่สุดของร่างกายยังคงติดค้างอยู่ภายในโพรงมดลูก
อย่างไรก็ตามไม่นานนัก คนไข้ได้แท้งส่วนนี้ออกมา อาการปวดท้องจึงทุเลาลง
สามีคนไข้ ได้พูดติดตลกบอกว่า " แท้งบุตรครั้งแรกที่ฝากเจ้าหน้าที่พิธีศพ คงทำพิธีแบบลวกๆ
จึงมาเกิดซ้ำ แท้งบุตรครั้งนี้ต้องทำพิธีแบบประณีตหน่อย ตอนแรกได้นำชิ้นส่วนของทารกที่ได้
จากการขูดมดลูกไปทำพิธีเผาและให้พระสวดมนต์ที่วัดสนามชัย แต่เผอิญผิดพลาดเพราะมีส่วนหัวของทารก
แท้งออกมาอีก คราวนี้ต้องนำไปทำพิธีที่วัดอื่น ไม่เช่นนั้นทางวัดเดิมจะต่อว่าเอาได้ " และกล่าวต่อไปว่า
" ความเชื่อถือโชคลางนั้น ไม่เชื่อ ก็อย่าลบหลู่ ถ้าเราไม่ทำพิธีสวดมนต์ส่งวิญญาณให้ทารกรายนี้จนสมบูรณ์
บางทีเขาอาจจะกลับมาอีกเป็นครั้งที่ 3 "
ถัดจากนั้นมา 4 เดือน คนไข้ตั้งครรภ์เอง และมาฝากครรภ์ คนไข้และสามียังคงกังวลใจอยู่
แต่เมื่ออายุครรภ์ได้ 12 สัปดาห์ ข้าพเจ้าตรวจดูด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์ทางหน้าท้องแล้วพบว่า "ทารกมีกะโหลก"
ครบสมบูรณ์ ทุกคนที่ทราบต่างพากันดีใจ บรรยากาศช่วงนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ
และการแสดงความยินดีต่อครอบครัวของคนไข้
ข้าพเจ้าพูดกับคนไข้และทางญาติว่า " ยินดีด้วยนะครับ เท่าที่ดูจากอัลตราซาวนด์ คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
แต่ถ้าจะให้แน่ใจจริงๆ ว่าทารกไม่มีโครโมโซมผิดปกติ ก็ต้องเจาะน้ำคร่ำไปเลี้ยงเพื่อตรวจหาโครโมโซม
ตอนท้องได้ 16 สัปดาห์ คืออีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ไม่ทราบว่าคนไข้และญาติจะว่ายังไง "
" แล้วการเจาะดูดน้ำคร่ำเพื่อตรวจโครโมโซมอันตรายหรือเปล่า " คนไข้ถาม
" การเจาะดูดน้ำคร่ำ ก็มีอันตรายเหมือนกัน ดังนั้นจึงต้องให้คนไข้ร่วมตัดสินใจกับหมอ ข้อดีคงรู้แล้วว่า
ช่วยบอกถึงกรณีทารกมีภาวะโครโมโซมผิดปกติ โดยเฉพาะ ภาวะปัญญาอ่อน (DOWN'S SYNDROME)
ที่ทุกคนกลัว แต่ข้อเสียคือ ทำให้แท้งบุตร, ติดเชื้อในน้ำคร่ำ, น้ำคร่ำรั่วออกมาตามรูเจาะ, เข็มแทงถูกทารก,
เข็มแทงถูกอวัยวะอื่นของมารดา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม กรรมวิธีเจาะดูดน้ำคร่ำ ต้องกระทำอย่างระมัดระวัง
พร้อมๆ กับดูอัลตราซาวนด์ไปด้วย ซึ่งช่วยลดอันตรายดังกล่าวข้างต้น " ข้าพเจ้าอธิบายข้อดี
ข้อเสียของการเจาะดูดน้ำคร่ำเพื่อตรวจโครโมโซม เพราะเป็นสิ่งที่คนไข้ต้องทราบก่อนตัดสินใจ
" ดิฉันไม่อยากเจาะดูดน้ำคร่ำกลัวเป็นอันตรายต่อเด็ก คุณหมอมีวิธีอื่นอีกไหม ที่พอจะช่วยบอกคร่าวๆ
เกี่ยวกับ ภาวะโครโมโซมผิดปกติในเด็ก " คนไข้ถาม
" มีครับ เทคนิคนี้เรียกว่า TRIPLE SCREENING เป็นการเจาะตรวจเลือดของแม่ไปตรวจหาสารเคมี 3 ตัว
คือ serum BhCG, Alfafetoprotein และ Estriol จากนั้น นำข้อมูลไปเข้าคอมพิวเตอร์
เทียบกับอายุครรภ์ (16-20 สัปดาห์) แล้วประมวลผลออกมาเป็นความเสี่ยง ถ้าผลออกมาว่า
ทารกมีอัตราเสี่ยงต่อภาวะโครโมโซมผิดปกติ เราจะต้องทำการเจาะดูดน้ำคร่ำไปตรวจหาโครโมโซมอีกที
ผลการตรวจหาโครโมโซมจากน้ำคร่ำถือว่าแน่นอน 100% ส่วนผลเลือดที่เจาะตรวจ TRIPLE SCREENING นั้น
บอกคร่าวๆ เกี่ยวกับความเสี่ยงเท่านั้น " ข้าพเจ้าอธิบายวิธีการทางการแพทย์ชนิดใหม่เกี่ยวกับความเสี่ยง
ของทารกต่อภาวะโครโมโซมผิดปกติ
" อย่างนั้นดิฉันขอเลือกวิธีเจาะเลือด TRIPLE SCREENING ดีกว่า " คนไข้ตัดสินใจเลือกใช้บริการแบบใหม่
" คราวหน้า เมื่อมาฝากครรภ์คุณไปที่แผนกเจาะเลือด เจ้าหน้าที่ทางห้องปฏิบัติการ
จะเจาะเลือดส่งไปตรวจ หลังจากนั้นต้องรอผลอีกประมาณ 2 สัปดาห์ ขอให้คุณโชคดี " ข้าพเจ้าบอกกับคนไข้
พออายุครรภ์ครบ 16 สัปดาห์คนไข้มาตามนัด นอกจากได้รับการตรวจเลือดหา TRIPLE SCREENING แล้ว
ข้าพเจ้ายังได้ตรวจดูอัลตราซาวนด์ทางหน้าท้องอีกครั้งหนึ่งและอธิบายไปด้วย "นี่เป็นส่วนหัวของเด็ก
ขนาดของกะโหลกศีรษะเท่ากับ 16 สัปดาห์ พอๆ กับอายุครรภ์จริง นี่เป็นหัวใจ ส่วนนี่เป็นปอด, บริเวณท้อง,
กระเพาะปัสสาวะ แขนขาของเด็กก็สมบูรณ์ดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง"
เมื่อผลเลือดของมารดาปรากฏออกมาว่า ทารกไม่มีความเสียงต่อภาวะโครโมโซมผิดปกติ
ข้าพเจ้าได้โทรศัพท์ไปแจ้งให้คนไข้และญาติทราบ ทุกคนดีใจมาก
" อย่างไรก็ตามผลเลือดของมารดาช่วยบอกความเสี่ยงต่อภาวะโครโมโซมผิดปกติของทารก
ได้ระดับหนึ่งเท่านั้น คงต้องติดตามการตั้งครรภ์ต่อไปว่า มีความผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนหรือไม่
ความผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ก็อาจช่วยบอกได้เหมือนกันว่า ทารกผิดปกติ
แต่ตอนนี้ขอให้สบายใจในเบื้องต้นก่อนก็แล้วกัน " ข้าพเจ้าอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ TRIPLE SCREENING
คนไข้มาฝากครรภ์สม่ำเสมอและไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ ระหว่างการตั้งครรภ์ เมื่ออายุครรภ์ครบ 38
สัปดาห์ ข้าพเจ้าได้ผ่าตัดคลอดบุตรให้
ทารกเป็นเพศหญิง สุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรงดี น้ำหนักแรกคลอด 3,200 กรัม
หลังคลอดในวันถัดมา ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมคนไข้ คนไข้แข็งแรงดี สามีและทางญาติกล่าวคำขอบคุณ
ข้าพเจ้าอย่างมาก ข้าพเจ้ากล่าวตอบว่า
" ไม่ต้องขอบคุณหรอก ภาวะทารกไร้กะโหลกศีรษะ ไม่ได้เกิดขึ้นทุกการตั้งครรภ์
และไม่ใช่ภาวะผิดปกติทางโครโมโซม ทุกคนพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว ในที่สุดเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง
ลูกสุขภาพแข็งแรงดี เป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนปรารถนา "
คนไข้บอกว่า " กว่าจะมาถึงวันนี้ เรารอคอยมานานตั้ง 11 ปี "
ข้าพเจ้าได้กล่าวต่อไป เพื่อไม่ให้คนไข้และสามีเสียกำลังใจว่า
" การตั้งครรภ์แต่ละครั้งเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากว่า จะมีปัญหาอะไร ภรรยาผมเอง ตั้งครรภ์แรก
พออายุครรภ์ได้ 8 สัปดาห์ ได้ดูอัลตราซาวนด์แล้วพบว่า เป็นการตั้งครรภ์ที่ไม่มีตัวเด็ก (BLIGHTED OVUM)
จึงต้องทำแท้งโดยการขูดมดลูก ใครจะไปรู้ว่า ทำไมถึงมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับเรา
บางที
อาจเป็นเรื่องของวาสนาโชคชะตา ซึ่งฟ้าได้ลิขิตไว้แล้ว "
หากทุกสิ่งถูกลิขิตไว้ เราก็ไม่ควรไปกังวลกับอนาคตว่า จะเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าเชื่อว่า
แท้ทุกสิ่งจะถูกลิขิตไว้แล้ว แต่มนุษย์สามารถลิขิตเขียนเส้นทางใหม่ได้โดยการทำความดี
ไม่มีใครหลีกหนีกฎแห่งกรรมไปได้ ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ไม่เชื่อ ก็อย่าลบหลู่
|