พ.ต.ท.นพ.เสรี ธีรพงษ์
เวลาคนมีลูกยาก อยากมีลูก ส่วนใหญ่มักจะนึกถึงกันแต่การทำเด็กหลอดแก้ว
ความจริงแล้วมีหลายทางเลือกในการช่วยเหลือให้เกิดการตั้งครรภ์ และได้ผลพอสมควร ได้แก่
1. การฉีดเชื้ออสุจิ เข้าสู่อุ้งเชิงกรานโดยตรง (Direct Intraperitoneal Insemination ชื่อย่อ DIPI)
2. การนำเอา ไข่ และเชื้ออสุจิ เข้าไปใส่ไว้ในอุ้งเชิงกราน (Peritoneal Oocyte Sperm Transfer ชื่อย่อ POST)
3. การนำเอาไข่ และเชื้ออสุจิ ไปใส่ไว้ในโพรงมดลูกโดยตรง (Direct Oocyte Transfer)
ทุกวิธีการมีกระบวนการขั้นตอนช่วงแรกเหมือนกัน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การกระตุ้นไข่ โดยใช้ยากินหรือยาฉีด หรือทั้งสองชนิดร่วมกัน
เพื่อต้องการให้ได้ "ไข่" ที่จะนำมาใช้จำนวนหลายใบ ในระหว่างที่ "ไข่" จำนวนมากเหล่านี้กำลังเจริญเติบโต
จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดด้วยการดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดเป็นระยะๆ และเจาะเลือดตรวจฮอร์โมนที่ "ไข่"
สร้างขึ้น เมื่อ "ไข่"เหล่านี้มีขนาดโตมากกว่า 17 มิลลิเมตร ตั้งแต่ 2 ใบขึ้นไป จึงฉีดยา (Human Chorionic Gonadotropin)
กระตุ้นให้ "ไข่"ตกออกมาตามเวลาที่ต้องการ
ขั้นตอนที่ 2 การเตรียมเชื้ออสุจิ "เชื้ออสุจิ" ที่จะนำมาใช้ในวิธีการดังกล่าวขั้นต้นต้องผ่านกระบวนการ "คัดเชื้อ"
ตามวิธีตามมาตรฐานเสียก่อน เพื่อให้ได้ "เชื้ออสุจิ" ที่แข็งแรงและสามารถปฏิสนธิกับ "ไข่" ได้ทันที
อยากให้คนมีลูกยาก อยากมีลูก ลองทำความเข้าใจในแต่ละวิธีดูนะครับ
สืบเนื่องจากความไม่แน่ใจว่า การฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูกนั้น "เชื้ออสุจิ" อาจจะเดินทางไปไม่ถึงปีกมดลูก
เพื่อรอปฏิสนธิกับ "ไข่" ที่ตกออกมาจึงมีผู้คิดว่าหากนำเอา "เชื้ออสุจิ" เข้าไปไว้ในตำแหน่งอุ้งเชิงกรานที่ต่ำสุด (Culdesac)
ซึ่งเป็นบริเวณที่ "ปีกมดลูก" ทั้งสองข้างมักมาวางอยู่จะทำให้เกิดการปฏิสนธิง่ายขึ้น เพราะ "เชื้ออสุจิ"
จะว่ายเข้าไปใน "ปีกมดลูก" ได้ง่าย เมื่อ "ไข่" ถูก "ปีกมดลูก" จับดูดเข้าไปก็น่าจะมีการปฏิสนธิเกิดขึ้นทันที
Manhes และ Hermabessiere ได้รายงานเป็นครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.1985 (พ.ศ.2528)
โดยการใช้เข็มยาวปราศจากเชื้อโรคเจาะผ่านผนังช่องคลอดโดยมีอัลตราซาวนด์ช่วยชี้นำ
จากนั้นจึงฉีดเชื้ออสุจิที่ผ่านการ "คัดเชื้อ" แล้ว เข้าไปในบริเวณอุ้งเชิงกรานส่วนต่ำที่สุด (Culdesac)
ในช่วงเวลาที่ไข่ตก
ข้อบ่งชี้ที่เลือกใช้วิธีนี้
1. ภาวะมีบุตรยากที่หาสาเหตุไม่ได้
2. มูกปากมดลูกไม่เหมาะสม
3. ภาวะที่สามีมีเชื้ออ่อน
4. ผู้ที่ล้มเหลวจากการผสมเทียมโดยใช้ "เชื้ออสุจิ" จากชายอื่น
วิธีการฉีดเชื้ออสุจิที่ผ่านการ "คัดเชื้อ" แล้วเข้าสู่ช่องท้องบริเวณอุ้งเชิงกราน (DIPI)
หลักการก็คือการนำ "เชื้ออสุจิ" ไปไว้ในตำแหน่งอุ้งเชิงกราน ที่อยู่ต่ำสุดในช่วงเวลาที่ "ไข่" ตก
- DIPI อาจจะทำโดยการเดาสุ่มเจาะผ่านผนังช่องคลอดเข้าไปในตำแหน่งที่ต้องการ
หรือภายใต้การชี้นำด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเลือกวิธีหลังมากกว่า
- คุณสุภาพสตรีจะอยู่ในท่านอนขึ้นขาหยั่ง ก่อนอื่นจะต้องทำความสะอาดช่องคลอดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
จากนั้นใช้อัลตราซาวนด์ตรวจดูผ่านทางช่องคลอด เพื่อหาตำแหน่งที่ต้องการ (Pouch of Douglas)
ซึ่งเราอาจจะมองเห็นของเหลวเล็กๆ น้อยๆ ในบริเวณนี้หลังจากนั้นใช้เข็มยาวที่ปราศจากเชื้อ
เจาะผ่านผนังช่องคลอดโดยมีอัลตราซาวนด์ส่องชี้นำ คุณหมอจะลองดูดเอาของเหลวที่เห็นจากอัลตราซาวนด์ออกมาก่อน
เพื่อให้แน่ใจว่าปลายเข็มอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว ฉีดเชื้ออสุจิผ่านเข็มยาวอันนี้เข้าไปจำนวนเล็กน้อย
คุณจะมีความรู้สึกเจ็บเสียวแปลบเวลาที่เข็มแทงผ่านผนังช่องคลอดในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น
หลังจากฉีดเชื้อแล้วก็สามารถกลับบ้านได้ทันที
ผลสำเร็จ
จากการรวบรวมข้อมูลของหลายๆ สถาบันพบว่า มีอัตราการตั้งครรภ์ร้อยละ 10.2 ต่อการรักษา 1 รอบเดือน
ซึ่งไม่มากไปกว่าฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูกปัจจุบันจึงมีที่ใช้น้อยมาก
|
รายงานครั้งแรกที่ Hallam Medical Centre ในกรุงลอนดอน โดยการนำเอา "เชื้ออสุจิ" ที่ผ่านการคัดเชื้อแล้ว
และ "ไข่" จำนวน 4 ใบ เข้าไปไว้ในอุ้งเชิงกรานในตำแหน่งที่ต่ำสุด (Pouch of Douglas)
ข้อบ่งชี้ที่เลือกใช้วิธีนี้
POST ใช้รักษาในสตรีที่ "ปีกมดลูก" ดีอย่างน้อยหนึ่งข้าง ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับ
1. ผู้ที่มีมูกที่ปากมดลูกเป็นอันตรายต่อตัวอสุจิ
2. ผู้ที่ "ไข่" มีการเปลี่ยนแปลงจนถึงขั้นปฏิสนธิได้แล้วแต่ไม่มีการตกออกมาจากรังไข่
3. ผู้มีลูกยากที่หาสาเหตุไม่ได้
4. ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่อต้าน "ตัวอสุจิ"
วิธีการนำเอา "ไข่" และ "เชื้อสุจิ" เข้าไปใส่ไว้ในอุ้งเชิงกรานส่วนที่ต่ำสุด
ภายหลังจากเจาะได้ "ไข่" ออกมาเรียบร้อยแล้ว ตรงบริเวณตำแหน่งอุ้งเชิงกรานส่วนต่ำที่สุด (Pouch of
Douglas) จะต้องได้รับการดูดและล้างด้วยน้ำยาเพาะเลี้ยงจนสะอาด จากนั้นเข็มที่ทำการเจาะดูด
จะต้องวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อทำหน้าที่เป็นทางนำเอาสายพลาสติกเล็กๆ ที่บรรจุ "เชื้ออสุจิ"
จำนวน 1 มิลลิลิตร และ "ไข่" จำนวน 4 ใบ ไปยังตำแหน่งดังกล่าวเมื่อทำการฉีดให้ "เชื้ออสุจิ" และ "ไข่" ทั้ง 4 ใบ
ผสมกันในอุ้งเชิงกรานตำแหน่งนี้แล้ว ทั้งเข็มและสายพลาสติกจะถูกถอนออกมาพร้อมๆ กัน
กรรมวิธีนี้กินเวลาประมาณ 15 นาที ก็จะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านในเวลา 1 ชั่วโมงถัดมา
ผลสำเร็จ
จากการรักษาพบว่า อัตราการตั้งครรภ์ร้อยละ 25 และอัตราการคลอดบุตรมีชีวิตร้อยละ 20 ต่อรอบการรักษา
ข้อได้เปรียบของ POST ที่มีต่อการฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูกและ DIPI คือ
1. เวลาที่นำ "ไข่" ออกมาต้องแน่นอนตายตัว
2. POST สามารถนำ "ไข่" ที่เหลือไปทำ "เด็กหลอดแก้ว" และแช่แข็งเพื่อนำมาใช้ต่อไปอีกในอนาคตได้
เมื่อเปรียบเทียบกับ "กิ๊ฟ" "POST" มีข้อได้เปรียบในส่วนที่คุณสุภาพสตรีที่ทำสามารถกลับบ้านได้เลย
โดยไม่จำเป็นต้องนอนพักโรงพยาบาล วิธีการง่ายกว่าและราคาถูกกว่า นอกจากนี้ยังไม่จำเป็นต้องดมยา
หรือเจาะท้องส่องกล้อง ซึ่งมีความเสี่ยงจากกรรมวิธีดังกล่าว ดังนั้น วิธีการนี้อาจจะเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคงต้องรอดูข้อมูลงานวิจัยอื่นๆ อีกหลายแห่งมาประมวลกันจึงจะเป็นข้อสรุปที่ถูกต้องแน่นอน
|
การตั้งครรภ์ครั้งแรกที่ใช้วิธีการนำเอา "ไข่" และ "เชื้ออสุจิ" เข้าไปใส่ไว้ในโพรงมดลูกโดยตรงนั้น
ได้รับการรายงานโดย CRAFT และคณะ เมื่อปี พ.ศ.2525 (ค.ศ.1982) กรรมวิธีนี้ประกอบด้วยการเพาะเลี้ยง
"ไข่" ที่เจาะออกมาเป็นเวลา 6 ชั่วโมงและอีก 1 ชั่วโมงเป็นการเตรียม "เชื้ออสุจิ" จากนั้นก็นำเอา "ไข่"
และ "อสุจิ" ในอัตราส่วน "ไข่" 1 ใบ ต่อ 20,000 ตัวอสุจิใส่เข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรง
ข้อบ่งชี้ที่เลือกใช้วิธีนี้
วิธีการนี้สามารถใช้ได้ในทุกกรณีของผู้ที่มีข้อบ่งชี้ทำ "เด็กหลอดแก้ว" วิธีการแต่ดั้งเดิมนั้นให้ผลสำเร็จน้อย
ในปัจจุบันจึงได้มีการปรับปรุงกรรมวิธีให้ต่างไปจากเดิมโดยทีมงานของ Hallam Medical Centre กล่าวคือ "ไข่"
จะถูกลอกเอาเนื้อเยื่อหนา (Cumulus) ที่หุ้มล้อมอยู่รอบๆ ออกไปแล้วจึงหยอด "ตัวอสุจิ" ลงไปในหลอดแก้วที่บรรจุ "ไข่" นั้น
ต่อเมื่อมองเห็น "ตัวอสุจิ" เกาะติดกับ "เปลือกไข่" แล้วจึงทำการย้ายเข้าไปไว้ในโพรงมดลูกซึ่งจะกินเวลา
ทั้งหมดประมาณ 5 ชั่วโมง นับจากเมื่อเจาะ "ไข่" ออกมา
ผลสำเร็จ
ในรายงานของ Craft และคณะ พบว่ามีการตั้งครรภ์เพียง 2 รายใน 31 รายเท่านั้น ในขณะที่
Hallam Medical Centre พบมีการตั้งครรภ์ร้อยละ 18.64 ต่อรอบเดือน
กรรมวิธีนำเอา "ไข่" และ "ตัวอสุจิ" หรือ "ไข่" ที่มี "ตัวอสุจิ" เกาะติดที่เปลือกไข่ ไปใส่ไว้ในโพรงมดลูก
เป็นวิธีการที่ลอกเลียนแบบการทำ "เด็กหลอดแก้ว" แต่ง่ายกว่า
ผลสำเร็จจากการศึกษาของผู้ที่มารับการรักษาจำนวนมากจะพบว่า มีอัตราการตั้งครรภ์ร้อยละ 20 ต่อรอบเดือน
ดังนั้น จึงถือว่าเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งของการทำ "เด็กหลอดแก้ว" ได้
|
|