มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc






ในบรรดายาหรือสารเคมีที่เกี่ยวกับสุขภาพที่ขายดี หรือมีผู้บริโภคสูงมาก คือยากลุ่มไวตามินต่างๆ ซึ่งมนุษย์บริโภค ทิ้งๆ ขว้างๆ แต่ละปีเป็นเงินจำนวนมากมายมหาศาล สร้างความ ร่ำรวยบนความรู้ไม่เท่าทันของประชาชนที่ถูกให้ข้อมูลที่ไม่กระ จ่างชัดหรือข้อมูลด้านเดียวจากบริษัทยา ถึงแต่ข้อดีของยา ซึ่งในข้อเท็จจริงไวตามินจัดเป็นสารที่ร่างกายต้องการปริมาณ เพียงเล็กน้อยมากจนทางวิชาการเรียกว่า เป็นกลุ่มสาร " TRACE ELEMENT " ซึ่งความต้องการของร่างกาย
มากมายคำถามกับยาคุม
จะเลือกใช้ยาคุมอย่างไรดี ?
กินแล้วคลื่นไส้ อ้วน ฝ้าเต็มหน้า ?
แล้วถ้าลืมกินล่ะ ?
ความรู้สึกทางเพศมากขึ้น ?
พบคำตอบได้ที่นี่

แต่ละวันวัดเป็นเศษพันของกิโลกรัม คำว่า TRACE ซึ่งหมายถึงร่องรอยบ่งบอกชัดเจนดีว่า ต้องการเพียงน้อยนิดอยู่แล้ว

และพบว่า บรรดาผู้ที่ซื้อหามาบริโภคล้วนแต่เป็นคนกลุ่มที่ไม่ขาดแคลนวิตามิน ผู้ที่ต้องการจริงจังคือผู้หิวโหยแถวๆ อาฟริกาที่เห็นในทีวีและผู้ป่วยเรื้อรังบางกลุ่มเท่านั้น ยิ่งปัจจุบันกำลังบูมเรื่องของอนุมูลอิสระ ซึ่งเชื่อว่าเป็นสาเหตุของการเกิดความเสื่อมความชราภาพ ของเซลล์และมะเร็ง ยิ่งกระพือให้มีการบริโภควิตามินเพิ่มมากขึ้น

ไวตามินมิใช่ปราศจากพิษก็หาไม่ ถ้าบริโภคเกินความต้องการของร่างกายก็จะถูกขับถ่ายออก ไม่ทางปัสสาวะก็อุจจาระ ในกรณีที่เป็นไวตามินที่ละลายในไขมันก็จะไปสะสมตามเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ เช่น สมอง ตับ ฯลฯ และมากเข้าก็อาจจะก่อให้เกิดพิษต่ออวัยวะนั้นๆ อาจจะรุนแรงแล้วถึงกับชีวิตได้ แต่พิษสงที่เห็นเด่นชัดคือ ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ เพราะทุกเม็ดวิตามินที่เราบริโภคจะถูกขับถ่ายทิ้ง อาจจะถึง 90 เปอร์เซ็นต์ บ้างอาจจะร้อยเปอร์เซ็นต์

รองลงมาจากยาวิตามินซึ่งใช้ได้ทุกเพศทุกวัยก็คือ ยาคุมกำเนิด แม้จะใช้เฉพาะคุณผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ต้องเน้นว่าส่วนใหญ่เพราะคุณผู้ชายนะยะก็ใช้กัน ประมาณว่ามีผู้ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดประมาณ ร้อยล้านคนทั่วโลก ตัวเลขนี้อาจจะเพิ่มขึ้นเป็นลำดับเนื่องจากยาคุมต้องใช้บริโภคทุกวันตลอดเดือน จึงทำให้อัตราการใช้สูงมากไม่แพ้ไวตามิน แต่ผลประโยชน์โดยรวมน่าจะมากกว่ามีเป้าหมายในการใช้เด่นชัด คือ คุมกำเนิด ตามชื่อชนิดของยา ยาคุมกำเนิดเป็นผลผลิตทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่มีคุณประโยชน์ต่อโลกมาก ทำให้ประชากรโลกไม่มากมายจนต้องเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เคยมีผู้กล่าวว่า ผู้ที่ทำให้สงครามโลกครั้งที่สาม ไม่เกิดจนนอสตราดามุสเสียหน้าไม่น้อยคือ ยาคุมกำเนิด เพราะปัจจัยหนึ่งของการทำสงครามคือ การแย่งทรัพยากรกันของมนุษยชาติ ถ้าคนเกิดมาจนเกินพอดีก็จะต้องทำสงครามแย่งชิงทรัพยากรกัน ประเทศไทยเราเป็นตัวอย่างที่ดีจนองค์การอนามัยโลกยกย่องและถือเป็นโมเดลในการศึกษา การควบคุมประชากรได้ประสบความสำเร็จ

ถ้าไม่มีการคุมกำเนิดในประเทศไทยปี 2543 นี้จะมีประชากรประมาณ 80 ล้านคน ลองนึกภาพดูว่าผู้คนจะยากลำบากเพียงใด ประเทศไทยคงพัฒนามาถึงจุดนี้ไม่ได้ด้วยความช่วยเหลือ จากองค์การอนามัยโลก ที่สนับสนุนอย่างต่อเนื่องบวกกับความชาญฉลาดของผู้บริหารยุคเมื่อ 40-50 ปีก่อน ได้เล็งเห็นถึงการควบคุมจำนวนประชากรปัจจุบันอัตราการเกิดประชากรอยู่ในกรณีที่เหมาะสม ยาคุมกำเนิดเป็นพระเอกในภารกิจนี้

ยาคุมกำเนิดในประเทศไทยเป็นยาที่มีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ส่วนหนึ่งมีบริการฟรีจากภาครัฐ และแพร่หลายมากแม้ตามร้านโชว์ห่วยหรือร้านขายของชำก็อาจจะหาซื้อได้ แต่จากประสบการณ์ในการปฏิบัติพบว่า ผู้บริโภคยาคุมส่วนมากไม่มีความรู้เกี่ยวกับยาคุม แม้บางคนจะบริโภคมาเป็นเวลาหลายปี แม้ฉลากยาก็ไม่เคยศึกษาหยิบมาอ่าน

ยาคุมกำเนิดที่ใช้ในปัจจุบันมี 2 ประเภท คือประเภทใช้กินและอีกประเภทใช้ฉีด หรือและฝังเข้าใต้ผิวหนัง แต่ชนิดกินจะได้รับความนิยมมากกว่าเพราะสะดวกและหาซื้อใช้ได้เอง ไม่ว่างซื้อด้วยตัวเอง วานลูกหลานไปซื้อหาก็ยังได้ ประเทศไทยเสรีเอามากๆ เรื่องยา ในบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่นจะได้ยาคุมต้องมีใบสั่งแพทย์จึงซื้อหาได้ราคาจึงแพงมาก เลยมีพ่อค้าหัวใสไปเที่ยวญี่ปุ่น ก็แอบพกพาไปขาย พอถูกตรวจดักจับได้ก็เป็นเรื่องเป็นราวรุนแรงไม่คุ้มกัน

ยาคุมกำเนิดจากประเทศทางสแกนดิเนเวียเมื่อ 70 กว่าปีมาแล้ว ในยาคุม 1 เม็ด จะมีฮอร์โมน 2 ชนิดบรรจุอยู่ ในอัตราส่วนที่คงที่ตลอดแผง (ที่กำลังนิยม) ซึ่งเมื่อบริโภคเข้าไป จะทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายสูงพอที่จะไปออกฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ ในบางชนิดของยาคุม อาจจะมีฮอร์โมนชนิดเดียวซึ่งกลไกการคุมกำเนิดก็จะแตกต่างออกไป

ส่วนประกอบของฮอร์โมนในยาคุม 2 ชนิดนั้นก็มีหลายรูปแบบหลายขนาด ซึ่งทำให้มีตัวเลือกในการเลือกใช้ให้เหมาะกับผู้บริโภคตามลักษณะของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน สูง ต่ำ อ้วน ผอม มีสิวมีฝ้า มีโรคประจำตัวบางชนิด ฯลฯ ซึ่งต้องการลักษณะของฮอร์โมนที่เหมาะสม แตกต่างกันทั้งประเภทของฮอร์โมนและปริมาณ เนื่องจากที่ต้องบริโภคอย่างสม่ำเสมอ และยาวนานจึงพบมีผลข้างเคียงหรือปัญหาในการใช้ยาได้บ่อย

  • คำถามที่พบได้ในการใช้ยาคุม ก็คือการเลือกใช้ยาคุมกำเนิดจะเลือกอย่างไร ?

ปัจจุบันยาคุมกำเนิดมีส่วนประกอบของตัวฮอร์โมนใกล้เคียงกันมากคือ มีขนาดน้อยมาก โดยเฉพาะยาใหม่ๆ จะมีขนาดฮอร์โมนต่ำมาก การจะเลือกใช้ควรปรึกษาแพทย์ หรือหน่วยบริการวางแผนครอบครัวซึ่งมีแทบทุกโรงพยาบาล ในทางปฏิบัติคุณสุภาพสตรี มักจะเลือกใช้ตามคำแนะนำ คำเล่าลือของเพื่อนฝูง แล้วลองผิดลองถูกจนเหมาะกับตัวเอง ถ้าไม่มีความรู้ก็ให้ใช้ยาคุมที่ทางกระทรวงแจกให้มาใช้แล้วค่อยเลือกชนิดที่ตัวเลขของฮอร์โมน ต่ำกว่าที่กระทรวงแจกให้ ซึ่งพอเปรียบเทียบดูได้จากร้านขายยาซึ่งมีมากมายหลายชนิด และควรจะอ่านฉลากยาก่อนใช้

  • จะกินยาคุมกำเนิดอย่างไร ?

ยาคุมกำเนิดมี 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ 21 เม็ด หรือ 28 เม็ด ในแผงหนึ่งไม่ว่าเป็นชนิด 21 หรือ 28 เม็ด ก็ให้ทานเม็ดแรกในวันที่ 5 ของระดูในแผงแรก เน้นว่าเมื่อเริ่มแผงแรกที่เริ่มใช้ยา เมื่อทานยาหมดการเริ่มแผงต่อไปจะแตกต่างกันไปถ้าเป็นชนิด 28 เม็ด ให้ทานแผงต่อแบบไม่ต้องพะวงว่าจะมีเลือดระดูหรือไม่ หรือมีเลือดระดูออกช่วงใด ถ้าเป็น 21 เม็ด เมื่อยาหมดให้เว้นไป 7 วัน จึงเริ่มยาชุดใหม่ต่อไปโดยไม่ต้องคำนึงถึงวันที่มีประจำเดือน

อีกวิธีคือกินตามคือกินตามวันในปฏิทิน เช่นวันที่ 1 ของเดือนเป็นต้นหรือวันเกิดของตัว ในกรณีที่วันที่ 5 ของวันระดูไม่ตรงกับวันดังกล่าวก็ไม่ต้องวิตกเริ่มทานยาแล้วคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การใช้ถุงยาคุมไว้ 7 วัน หลังทานยาคุมเม็ดแรกเพื่อรอให้ยาคุมออกฤทธิ์และแผงต่อไปก็ทานวันที่ๆ ต้องการได้ตลอดไป

ข้อควรพิจารณาคือต้องทานยาคุมตามลูกศร เพราะในชนิด 28 เม็ดนั้น 7 เม็ดสุดท้าย ของแผงยาคุมเป็นแป้งซึ่งไม่มีตัวยา ทำไว้เพื่อไม่ให้ลืมการกินยา

  • ถ้าลืมจะทำอย่างไร ?

การที่จะป้องกันการลืมกินยาแนะนำให้ทานเวลาใดเวลาหนึ่งตลอดไป แนะนำให้ทานหลังอาหารเย็นหรือก่อนนอน เพื่อลดผลข้างเคียงของยาไปด้วย คืออาการคลื่นไส้ซึ่งจะเกิดตอนนอนหลับพอดี กรณีที่ลืม 1 เม็ด ให้ทานยาทันทีที่นึกได้ และกินเม็ดต่อไปตามเวลาปกติ ถ้านึกได้ตอนจะกินยาก็ให้ทานเม็ดใหม่เพียงเม็ดเดียว ถ้าลืมรับประทานเป็นเวลาหลายวันควจะทานยาต่อไปเพื่อป้องกันไม่ให้มีเลือดระดูมาเร็วกว่าปกติ แต่จะไม่ให้ผลต่อการคุมกำเนิดควรจะใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างอื่นร่วม เช่น การใช้ถุงยางอนามัย หรือที่สุดท้ายคือการคุมกำหนัดเสียเลย

ในบางสภาวะทำให้เกิดการสูญเสียยา เช่น เกิดท้องเสียในช่วงของการทานยา หรืออาเจียนก็จะสูญเสียยา ให้ทานยาทันทีเมื่อหยุดอาการดังกล่าว แต่ถ้าท้องเสีย หรือไม่สบายเป็นอยู่หลายวันก็ให้ใช้มาตรการเช่นเดียวกับการลืมกินยาหลายวัน

  • ทานยาคุมแล้วคลื่นไส้ ?

เป็นผลข้างเคียงที่พบได้ใน 1-2 แผงแรกของการทานยาคุมจะหายไปในแผงที่ 3 ขึ้นไป ควรจะทานก่อนนอนและอาจจะใช้ยาแก้คลื่นไส้ร่วมด้วยหรือเปลี่ยนชนิดของยา

  • ทานแล้วอ้วนขึ้น ?

เป็นผลข้างเคียงของฮอร์โมนที่ทำให้มีการเพิ่มอาหารแต่ก็สามารถจะใช้หลักโภชนาการ เข้าแก้ไขได้และยังเกิดจากการที่มีการคั่งของน้ำในร่างกายมากขึ้นจะพบได้ว่าบางชนิดทานแล้ว รำลือว่าทำให้เต้านมขยายใหญ่ ซึ่งเกิดจากการคั่งของสารน้ำมากขึ้นนั่นเองอาจจะก่อให้เกิด การตึงเจ็บของเต้านม

  • ฝ้าขึ้นมากจากยาคุม ?

มีประมาณ 10-15% ที่จะเกิดฝ้าจากฤทธิ์ของฮอร์โมนไปกระตุ้นเม็ดสีของผิวหนัง และจะมากขึ้นเมื่อถูกแสงแดดจัดอาการนี้จะหายไปเมื่อหยุดยา

  • อาการเปลี่ยนแปลงความรู้สึกทางเพศ ?

ยาไม่มีผลโดยตรงแต่พบว่ามีผลทางอ้อมต่อสภาพจิตใจลดความกังวลต่อการมีบุตร ทำให้มีผลทางอ้อมให้มีความรู้สึกทางเพศเพิ่มขึ้น

จึงควรระมัดระวังอย่าให้คุณสามีได้อ่านบทความนี้ท่านอาจจะถูกบังคับให้ทานยาคุม โปรดระวัง!

น.พ.วีระ สุรเศรณีวงศ์

(update 12 มกราคม 2001)


[ ที่มา... นิตยสารแม่และเด็ก   ปีที่ 23 ฉบับที่ 341 กรกฎาคม 2543]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600